Mobile Version / สำหรับโทรศัพท์มือถือ ยินดีต้อนรับท่านผู้มาเยือน www.peoplecine.com ท่านยังไม่ได้ log in นะครับ
[1]
เรื่องราวของ Shaolin Temple
เริ่มต้นด้วยการบวชเข้าเป็นพระวัดเส้าหลินของหนุ่มน้อยคนหนึ่ง
ที่ดูเหมือนเขาจะมีปัญหาในการรับศีลข้อที่ว่า "ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต" ...
หลังจากนั้นหนังจึงเล่าเรื่องย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้น
ในยุคที่สภาพบ้านเมืองจีน กำลังอยู่ในช่วงระส่ำระสายหลัก
ชาวบ้านถูกเกณฑ์ไปสร้างเมืองหลวงใหม่ให้กับขุนศึกผู้มักใหญ่ใฝ่สูง
ชาวบ้านที่ถูกบีบบังคับใช้แรงงานคนหนึ่งพยายามแข็งข้อ
แม้จะมีฝีไม้ลายมืออยู่บ้าง แต่ก็พ่ายแพ้ให้กับเหล่ากองทัพ ที่มีทั้งจำนวน,
อาวุธ และความชำนาญในการต่อสู้ที่มากกว่า
สุดท้ายชาวบ้านผู้กล้าหาญก็ถูกฆ่า
แต่อย่างน้อยเขาก็ยังช่วยให้ลูกชายคนเดียวของตัวเองหนีรอดไปได้
กับเรื่องราวพื้น ๆ มีตัวเอกเด็กหนุ่มชาวบ้าน
ผู้ตกเป็นเหยื่อของภัยสงครามการแย่งชิงอำนาจ เสี่ยวลิ้มยี่
ก็เหมือนหนังกังฟูในยุค 70s - 80s ทั่วๆ ไป ที่มีเนื้อเรื่องเรียบง่าย
พอจะเปิดพื้นที่สำหรับการระดมฉากต่อสู้
และคิวบู๊ให้ดำเนินต่อเนื่องไปตลอดทั้งเรื่อง
หนังใช้เวลาไม่นานก็พาตัวเองเข้าสู่วัดเส้าหลิน
ที่นั้นเด็กหนุ่มได้รับการถ่ายทอดวิชามวย และเพลงอาวุธต่าง ๆ
ซึ่งสำหรับเขานี่คือโอกาสชั้นที่จะได้นำไปสู่การล้างแค้น
แต่สุดท้ายนอกจากหนี้ชีวิตของบิดาแล้ว เขากลับมีโอกาสช่วยเหลือ “หลี่ซื่อหมิน ” ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ถัง ให้รอดพ้นจากภัยอันตรายด้วย
การอนุญาตให้ เสี้ยวลิ้มยี่ ได้เข้าไปถ่ายทำในจีน
พร้อมนำแสดงโดยยอดนักกีฬาระดับสมบัติของชาติ
คือส่วนสำคัญที่ทำให้หนังเรื่องนี้พิเศษจากงานเรื่องอื่น ๆ
ในยุคเดียวกันทั้งหมด
ในทางตรงกันข้ามนี่ยังแสดงออกถึงเจตนารมเปิดประเทศในยุค 80s ของพญามังกร
ที่ตอนนั้นดูจะแสดงออกถึงความต้องการทำความรู้จักกับโลกภายนอกให้มากขึ้น
เรื่องราวของวัดเส้าหลินในหนังเรื่องนี้
ก็ดูจะมีความแตกต่างจากหนังเส้าหลินมากมายหลายร้อยเรื่อง
ที่เคยถูกสร้างมาในฮ่องกง หรือไต้หวัน หนังไม่ใช้ฉากหลังเป็นยุคราชวงศ์ชิง
ที่ว่าด้วยต่อสู้เชิงต่อต้านของ กบฏชาวฮั่น กับรัฐบาลแมนจู
แต่เป็นเรื่องราวที่ย้อนอดีตไปไกลกว่านั้น ในสมัยต้นราชวงศ์ถัง
กับเนื้อหาที่ว่ากันด้วย การสร้างชาติของชาวฮั่น ซึ่งก็ดูจะไปกันได้ดี
กับการเป็นหนังที่สนับสนุนโดยรัฐบาลจีนอยู่แล้ว.
ตามปกติแล้วหนังกังฟูในช่วงปลายยุค 70 จนถึงต้นยุค 80
นั้นมักจะมาคู่กับคำว่า "ทุนต่ำ" แต่นั่นไม่ใช่สำหรับ Shaolin Temple
ที่ดูมีการลงทุน สร้างออกมาอย่างประณีต แม้ เสี่ยวลิ้มยี่
จะไม่ได้เป็นหนังกำลังภายในสุดโปรดเรื่องหนึ่งของผู้เขียน
แต่ก็ยอมรับว่าหนังชุดนี้มีดีอยู่ไม่น้อย
จุดเด่นที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือ การเล่าเรื่องอย่างไม่รีบร้อน
มีความกลมกล่อมอย่างหนังกำลังภายในยุคเก่าตามความถนัดของผู้กำกับ
หนังยังใช้ประโยชน์จากการถ่ายทำในจีนแผ่นดินใหญ่ได้อย่างคุ้มค่า
ฉายภาพทัศนียภาพอันสวยงามของประเทศจีน ทั้งน้ำตก, แม่น้ำ
รวมถึงสิ่งปลูกสร้างสำคัญอย่าง กำแพงเมืองจีน
สร้างความแตกต่างให้กับหนังอย่างเห็นได้ชัด ภาพที่ออกมาดูยิ่งใหญ่อลังการ
บนฉากหลังแปลกตา แตกต่างจากฉากซ้ำซากในหนังกังฟูฮ่องกงยุคนั้นโดยสิ้นเชิง
ว่ากันที่คิวบู๊ Shaolin Temple มีมวยกังฟูที่สวยงามให้ชม
เป็นการแสดงหมัดมวยในแบบเดียวกับกีฬาวูซู ที่เน้นความต่อเนื่องของท่าทาง,
มีฉากรำมวย โชว์เพลงอาวุธให้ดูกันอย่างยาวเหยียด ...
ต้องยอมรับว่านักแสดงมีทักษะความสามารถกันทุกคน
แต่เมื่อถึงฉากพะบู๊ต่อสู้เอาชีพก็ทำได้ถึงพริกถึงขิงดี
แม้หนังจะไม่ได้นำเสนอธรรมะอันลุ่มลึกน่าขบคิดอะไร
แต่ก็มีหลายฉากหลายตอนที่พอจะแสดงให้เห็นการตีความหลักคำสอนอยู่บ้าง
โดยเฉพาะการแสดงให้เห็นถึงความยากลำบาก ในการรักษาคำสอน
และเดินตามทางพุทธศาสนา ในสถานการณ์อันยากลำบาก
ทั้งในฉากตลกโป๊กฮาที่พยายามหาเหตุผลให้กับการบริโภคเนื้อสัตว์และ
สุราของเหล่าพระสงฆ์ จนไปถึงฉากตึงเครียดที่พูดถึงคำถามที่ว่า
พระสามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการฆ่าฟัน
ในสถานการณ์ที่จำเป็นที่สุดได้หรือไม่ ... และแบบใดจึงจะเรียกว่า
"ความจำเป็น" ... หนังมีคำตอบที่ชัดเจนเป็นเหตุเป็นผลดี
อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ทุกคนเห็นด้วย แต่ก็เป็นเหตุผลที่น่ารับฟัง
นอกจากความน่าสนใจของตัวหนังแล้ว Shaolin Temple
ได้รับการบันทึกว่านี่คือผลงานการแสดงครั้งแรกในชีวิตของ หลี่เหลียนเจี๋ย
ที่ในวัย 20 ปีเขาถือเป็นนักกีฬาวูซูระดับแถวหน้าของประเทศ
แต่สำหรับวงการบันเทิงแล้ว เป็นวัยที่เขาไม่เคยผ่านการแสดงใด ๆ มาก่อนเลย
Shaolin Temple ใช้เวลาถ่ายทำยาวนานถึงเกือบสองปี
ผ่านช่วงเวลาอันเลวร้าย ของสภาพอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การทำงานในละแวกแม่น้ำเหลือง
และมีหลายฉากหลายตอนที่เหล่านักแสดงต้องลงไปเล่นกันในน้ำ
ทุกคนต้องแสดงสีหน้าสีตาสนุกสนานเพลิดเพลิญกับการเล่นน้ำ
แต่ความจริงแล้วนั่นคือวิบากกรรมครั้งใหญ่
คนทำงานทั้งเบื้องหน้า และหลังฉาก ทีมงานส่วนใหญ่
ก็เรียกได้ว่ามีประสบการณ์ที่น้อยมาก หลีเหลียนเจี๋ย เองก็ยังยอมรับว่า
กองถ่ายหนังเรื่องแรกของเขานั้นแทบจะทำหนังไม่เป็นกันเลย
กับการถ่ายทำอันยาวนานถึงเกือบสองปี, สภาพอาการอันเลวร้าย,
ประสบการณ์ทำหนังที่น้อยมาก หลี่เหลียนเจี๋ย
ยังยอมรับว่าเขามีความสุขกับการถ่ายทำหนังเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย
เพราะได้พักจากการฝึกฝนกังฟูอันเข้มงวดที่ตรากตรำอยู่นานหลายปีตั้งแต่เด็ก
จนโต กับการฝึกฝนวันละ 8 ชั่วโมงเต็ม ที่ใคร ๆ
ก็รู้กันดีว่านักกีฬาจีนในยุคคอมมิวนิสต์นั้นฝึกซ้อมกับหนักหนาสาหัสแค่ไหน
แต่สำหรับ Shaolin Temple
นั้นพระเอกยอดนักบู๊บอกว่าทุกอย่างผ่อนคลายกว่ามาก
แม้จะต้องตื่นนอนตั้งแต่ตี 5 หรือ 6 โมงเช้า
แต่การทำงานก็ไม่ได้ตึงเครียดอะไรมากนัก
เมื่อจบการถ่ายทำในแต่ละวันเหล่านักแสดงวัยรุ่นจำนวน 30 - 40 ชีวิต
ก็จะมาร่วมเล่นกีฬาอย่าง ฟุตบอล หรือ บาสเกตบอล กัน ...
แม้เวลาจะผ่านไปนานหลายปี หลี่เหลียนเจี๋ย ยังคงยืนยันว่า เสี่ยวลิ้มยี่
คือความจำที่ "งดงาม" สำหรับเขา.เสมอมา.......
และในวันที่ 1-2 มีนาคม 2557 อันใกล้จะถึงนี้ ผมจะนำเสนอภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นสู่จอกลางแปลง 12 เมตรสโคปมาให้รับชมกันอีกครั้งในการฉายภาพยนตร์แบบย้อนยุค ในงานทำบุญ 100 วันคุณแม่ของผมผู้ล่วงลับไปแล้ว..ใครที่อยากจะรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ในแบบอารมณ์กลางแปลงกันอีกสักครั้ง..ไม่ควรพลาดชมครับ.
เสี้ยวลิ้มยี่จะกลับมาแบบอลังการงานสร้างครับ แบบฉบับ บลูเรย์ 1080p ที่ได้รับการอนุเคราะห์จาก "หนุ่มนิรนาม" หนึ่งในทีมงาน JUB CLASSIC DIGITAL (ที่ถูก samsonite ล็อคคอเข้าทีม 55555 จริงแล้วเป็นความประสงค์ของเจ้าตัวเองครับที่มีความต้องการอยากเป็นส่วนเล็กๆ ในคารขับเคลื่อนโครงการอนุรักษ์หนังในอดีต)
เรื่องนี้ผมดูครั้งแรกที่โรงหนังกรุงเกษมฟิล์มข้างหัวลำโพง...เสียงจีนมีซับไทยครับ..จำได้ว่าวันนั้นปิดเทอมจะนั่งรถไฟกลับบ้านที่อุดรก็เลยแวะไปดูหนังรอเวลากลับบ้าน...บัตร 30 บาท นั่งดูหน้าจอเลย เหอเหอ...
ยุคนั้นหนังเรื่องนี้ดังมากครับ...เวลาไปใหนๆก็จะเจอเพื่อนๆพูดถึงหนังเรื่องนี้กันครับ...น่าเสียดายที่โรงหนังกรุงเกษมถูกทุบทิ้งไปแล้ว...เศร้าจัง...
เลือกหน้า [1] จำนวนหัวข้อทั้งหมด 7
ถูกเปิด: ถูกคลิ๊กแล้ว: 112736023
ตอนนี้มีผู้เข้าชม : 1 ล่าสุด :Julirag , Jabeabe , Clarazkamic , KennethsAmara , SherinkaTrelf , BoxerBral , DavidoosGot , Vilianarab , Vikisrx , JustinzeDew ,