Mobile Version / สำหรับโทรศัพท์มือถือ ยินดีต้อนรับท่านผู้มาเยือน www.peoplecine.com ท่านยังไม่ได้ log in นะครับ เข้าใช้งานระบบ / สมัครสมาชิก/ ลืมรหัสผ่าน
รูป
หนังไทยในอดีต ทุกยุค ทุกสมัยเจ้าของ ผู้ตอบหลังสุด
-Photo Book of Mitr Chaibuncha 2020.. 1/1/2563 1:34
-ห้องหนังไทย.. 27/10/2554 13:41
-หลานม่า.. 14/4/2567 15:38
-หลานม่า..... 21/2/2567 19:22
-"สิงห์ล่าสิงห์".. 29/12/2566 15:29
-"ชุมทางเขาชุมทอง"ยังไม่มีคนตอบ
-ชู้ .. 29/12/2566 15:11
-มนต์รักนักพากย์ พ.ศ. 2566.. 22/10/2566 19:14
-ภาพยนตร์ไทย ประจำปี พ.ศ. 2500.. 19/10/2566 16:38
-มนต์รักนักพากย์ .. 1/10/2566 17:42
-บังเอิญรักข่อยฮักเจ้า.. 18/3/2566 2:07
-"วัยอลวน5".. 7/1/2566 1:48
-หนุมาน WHITE MONKEY.. 16/11/2565 14:15
-มายาพิศวง (Six Characters)ยังไม่มีคนตอบ
-SAMARITAN Trailer (2022)ยังไม่มีคนตอบ
-บุพเพสันนิวาส ๒ ยังไม่มีคนตอบ
เลือกหน้า [1] [2] [3] [4] [5] [6] [7] [8] [9] [10] [11] [12] [13] [14] [15] [16] [17] [18] [19] [20] [21] [22] [23] [24] [25] [26] [27] [28] [29] [30] [31] [32] [33] [34]
จำนวนหัวข้อทั้งหมด 534

๑๐๐ หนังไทยที่คนไทยควรดู


หนังไทยที่คนไทยควรดู
ในมิติ
ภาพยนตร์ยังให้เกิดปัญญา
หอภาพยนตร์แห่งชาติ นับถือว่า ภาพยนตร์เป็นประดุจรัสมีแฉกหนึ่งของพระไตรรัตน์ ภาพยนตร์ไม่ว่าดีหรือเลว แต่หากเรารู้จักดู หรือดูดีๆ ก็เกิดปัญญา ดุจดังบาลีภาษิต ปญญายตถํ วิปสสติ การเห็นเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา ดูดีๆมีปัญญา ดูด้วยปัญญาพาให้เห็นแจ้ง
หอภาพยนตร์แห่งชาติ จึงเปรียบดังอารามหรือวัดแห่งศาสนาภาพยนตร์ ซึ่งมีโรงหนังเป็นโบสถ์ โรงเก็บฟิล์มเป็นหอไตร พิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์เป็นวิหาร การจัดกิจกรรมฉายภาพยนตร์ของหอภาพยนตร์แห่งชาติ เป็นไปเพื่อ ยังให้เกิดปัญญา
เพื่อสนับสนุนการดูภาพยนตร์เพื่อยังให้เกิดปัญญา หอภาพยนตร์แห่งชาติ จึงจัดกิจกรรมฉายภาพยนตร์ทุกค่ำวันศุกร์ ที่ห้องประชุม สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ท่าวาสุกรี และบ่าย ๓ โมงวันเสาร์ที่ โรงหนังอลังการ หอภาพยนตร์แห่งชาติ ศาลายา ถนนพุทธมณฑลสาย ๕ เรียกชื่อว่า "ภาพยนตร์ปุจฉา-วิสัชนา" ซึ่งเป็นรายการฉายหนังให้ดูแล้วฟังคิดถามตอบ โดยมีพิธีกรและวิทยากรผู้สันทัดกรณีมาร่วมถามร่วมตอบอย่างที่เรียกว่า ปุจฉา - วิสัชนา
หนังไทยที่คนไทยควรดู
กรอบคิดคือ ในบรรดาพยนตร์ที่เป็นมรดกภาพยนตร์ของชาติหรือเป็นทรัพย์สินทางปัญญาอย่างหนึ่งของชาติ ซึ่งยังมีภาพยนตร์นั้นเหลืออยู่ให้เราได้ชื่นชมในปัจจุบัน หากคัดเลือกเป็นตัวอย่างสัก ๑๐๐ เรื่อง เป็นบัญชีภาพยนตร์ที่คนไทยควรดู เพื่อให้เข้าใจตัวเอง เข้าใจสังคมไทย เข้าใจหนังไทย และชื่นชมหนังไทย ในรอบหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา

๑. เป็นผลงานสร้างโดยคนไทย
๒. เป็นตัวอย่างหรือตัวแทนให้คนไทยได้เรียนรู้จักตัวเอง รู้จักสังคมไทย ทั้งในอดีต ปัจจุบัน ทั้งดี และเลว ทั้ง
จริง และเท็จ
๓. เพื่อให้คนไทยได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทย
๔. เพื่อให้คนไทยได้ชื่นชมภาพยนตร์ไทย ทั้งที่เป็นมหรสพสินค้าขายความบันเทิง เป็นเครื่องมือสื่อสาร เป็น
งานศิลป เป็นมรดกทางภูมิปัญญาของชาติ


ความเห็น

[1] [2] [3]

[4] [5] [6] [7] [8]


คะเคียนคะนอง หนังผีไทยยุคเก่าที่หาดูได้ยาก และ หน้ากลัวที่สุดในสมัยนั้น




ช่างมันฉันไม่แคร์ เริ่มขึ้นมาด้วยเสียงแซกโซโฟนที่แหบโหยในทำนองของเพลงโอเวอร์ เดอะ เรนโบว์ ซึ่งหงา (สุรชัย จันทิมาทร) เอามาเรียบเรียงเสียงใหม่ โดยมี ม.ล. พันธุ์เทวนพ เทวกุลเป็นผู้ใส่คำร้อง เนื้อเพลงยังคงพูดถึงความใฝ่ฝันของคนที่อยากจะก้าวข้ามไปให้ถึงที่ที่มีแต่ความสุขอันอยู่สุดปลายของสายรุ้งตามเนื้อหาเดิมของเพลงโอเวอร์ เดอะ เรนโบว์ เสียงดนตรีบางท่อนที่เป็นเสียงเดี่ยวๆ ของแซ็กโซโฟนให้ความรู้สึกหวานระคนเศร้า โดดเดี่ยวและเหงาๆ สำหรับใครก็ตามที่เคยมีความรู้สึกเหงาใจยามเดินสวนกับฝูงคนบนถนนสายจอแจ คงจะรับรู้ความรู้สึกจากดนตรีท่อนนี้ได้ดี

ตัวละครสองตัวถูกปล่อยออกมาบนเส้นทางชีวิตซึ่งอยู่กันคนละมุมของสังคมกรุงเทพฯ เบิร์ด (ลิขิต เอกมงคล) เป็นจิ๊กกะโล่หนุ่มผู้มีรูปร่างดี มีอาชีพขายตัวอยู่ในบาร์แห่งหนึ่ง พิม (สินจัย หงษ์ไทย) เป็นสาวปราดเปรียว และมือทองของบริษัทโฆษณาแห่งหนึ่ง เส้นชีวิตของคนทั้งสองเดินทางมาบรรจบพบกันโดยบังเอิญ เพราะพิมกำลังต้องการนายแบบโฆษณากางเกงชั้นในสุภาพบุรุษและเบิร์ดก็ต้องการเงิน หลายคนอาจประหลาดใจที่ผู้สร้างกำหนดให้โฆษณาชิ้นแรกที่พระเอกหนุ่มของเราได้รับเป็นโฆษณากางเกงชั้นใน ผมเองตอนแรกก็รู้สึกเช่นนั้น แต่พอมานึกๆ อีกที ก็รู้สึกเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง เพราโฆษณาชนิดนี้ต้องการความเป็นหนุ่มซึ่งก็เหมาะกับพระเอกของเราที่มีอาชีพขายความเป็นหนุ่ม โฆษณาชนิดนี้ไม่ต้องการคนที่มีสติปัญญามากนัก ซึ่งก็เหมาะกับพระเอกของเราอีก และที่สำคัญที่สุดก็คือเป็นการปูความรู้สึกให้คนดูได้รับรู้ถึงความโง่เง่าไร้สาระของวงการโฆษณาอันจะส่งลูกต่อไปยังความคิดสำคัญของตัวนางเอกในตอนท้าย
เพลงประกอบหนังก็เป็นอีกจุดเด่นหนึ่ง เพลงหลักของเรื่องที่พูดถึงความใฝ่ฝันในชีวิตอันงดงามนั้น (ต้องขออภัยจริงๆ ครับที่จำชื่อไม่ได้จริงๆ เพราะมัวแต่ไปนึกถึงเนื้อร้องของเพลงโอเวอร์ เดอะ เรนโบว์ เสียเพลิน) สุรชัยร้องได้ดีมาก แม้ท่อนที่เป็นดนตรี (โดยเฉพาะแซ็กโซโฟน) ก็ให้อารมณ์ความรู้สึกดีและสอดแทรกในระหว่างเรื่องได้อย่างมีจังหวะจะโคน ส่วนเพลง ดอกไม้ให้คุณ ซึ่งสุรชัยร้องในเรื่องนี้เหมือนจะทวงความเป็นเจ้าของจากดนุพลก็ฟังดูดีเช่นเดียวกับเพลง ช่างมันฉันไม่แคร์ ตอนจบของเรื่อง

ช่างมันฉันไม่แคร์คงจะเป็นหนังขายดีในหมู่ผู้มีรสนิยมแบบชนชั้นกลางซึ่งปากกัดตีนถีบกันอยู่ในเมืองที่มีถนนจอแจมากมาย และมีคนเดินสวนกันขวักไขว่ แต่ทุกคนรู้สึกแปลกแยกออกจากกัน ถนนที่มีกลิ่นอาหารลอยปะปนอยู่กับกลิ่นเอียนของควันรถและแสงไฟสีส้มสลัวในยามค่ำคืน ที่นี่มีชีวิตคนอยู่มากหลายที่ถูกชะตากรรมอันเกิดจากกลไกการบริโภคพัดพาให้ดำเนินไปเหมือนตกอยู่ภายในวังวน




ฟังเพลงเพราะ ๆ จากเรื่องนี้ครับ

http://www.oknation.net/blog/print.php?id=55829

เรื่องย่อ

ขวัญ และ เรียม เป็นหนุ่มสาวแห่งทุ่งบางกะปิ ที่มีความผูกพันกันมาตั้งแต่เด็ก แม้ว่า กำนันเรือง พ่อของเรียม จะถือเอา เขียน พ่อของขวัญเป็นศัตรู อันเนื่องมาจากปัญหาการช่วงชิงความรักในอดีต และการที่กำนันเรืองแพ้ความ กรณีรุกที่นาของเขียนในเวลาต่อมา
กำนันเรือง และเขียนมีบุคลิกและปูมหลังแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง กำนันเรืองรับสืบทอดจากพ่อ ทั้งมรดกที่นา และตำแหน่งกำนัน ไม่เคยทำนาเอง ได้แต่จ้างคนทำและให้เช่าที่รักที่นาเพียงเพราะ มันให้ผลประโยชน์และเป็นสมบัติเอาไว้ขายกินได้ ขณะที่เขียนแม้จะเคยประพฤติ ทางนักเลงในวัยหนุ่ม แต่เมื่อมีเมียมีลูกก็กลับเนื้อกลับตัวได้ เขียนรักและหวงแหนที่นาด้วยจิตวิญญาณของชาวนาโดยแท้
กำนันเรืองเคยหลงรักแม่ของขวัญอยู่ข้างเดียว ดังนั้นจึงผูกใจเจ็บเขียนตลอดมา ขณะเดียวกัน พิศเมียของกำนันเรืองก็เคยรักเขียน ซึ่งกำนันเรืองก็ตระหนักดี และกลายเป็นปมที่ทำให้ไม่อาจญาติดีกับเขียน แม้จนเมื่อต่างล่วงสู่วัยกลางคน แม่ของขวัญตายตั้งแต่ขวัญยังเด็ก แต่ขวัญไม่เคยลืมว่าพ่อรักแม่ และทำทุกอย่างเพื่อแม่อย่างไร ด้วยความที่ยึดถือพ่อเป็นแบบอย่าง ขวัญเติบโตขึ้นเป็นคนหนุ่มที่ห้าวหาญ มีชั้นเชิงในทางนักเลง ควบคู่กับการเป็นชาวนาที่ขยันขันแข็ง ที่สำคัญคือ เมื่อรักใครแล้วก็จะทุ่มเทให้ทั้งชีวิต อย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
ขวัญเป็นวีรบุรุษของเรียมมาตั้งแต่เด็ก แม้จะมีโอกาสพบกันไม่มาก เรียมมีความฝังใจในทางลบกับครอบครัวของตัวเอง จากการที่เห็นแม่ยอมพ่อทุกอย่าง และพ่อก็ปฏิบัติต่อแม่ราวกับเป็นสมบัติในครัวเรือน ไม่ใช่อย่างคนที่รักและอาทรต่อกัน เธอตั้งใจที่จะไม่เป็นอย่างแม่ ความรักต่อขวัญ ได้ก่อร่างขึ้นบนความรู้สึกพื้นฐานนี้
อุปสรรคความรักของขวัญ-เรียม นอกจากปัญหาระหว่างครอบครัว คือการที่กำนันเรืองติดการพนันงอมแงม มีหนี้สินพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ กับบ่อนไก่ชนที่เมืองมีน อาศัยที่รู้ว่า จ้อย ลูกชายเจ้าของบ่อนชอบเรียม ก็ขอผ่อนผันมาเป็นลำดับ เพื่อจะไม่ต้องเอาที่ไปจำนองอย่างไม่มีราคา ในที่สุดเมื่อไม่อาจผ่อนผันได้อีก ก็ตัดสินใจยกเรียมให้จ้อยเป็นการล้างหนี้
ความกดดันจากการถูกบังคับให้แต่งงาน ทำให้เรียมยอมตกเป็นของขวัญ

ทั้งคู่ไปสาบานจะรักกันยืนนานที่ศาลเจ้าพ่อไทร อันเป็นที่เคารพของคนทั้งหมู่บ้าน แต่แล้วกำนันเรืองก็ตามไปพบ เริญ พี่ชายของเรียมลอบฟันขวัญจนบาดเจ็บ เรียมถูกลงโทษอย่างหนัก และจ้อยก็เป็นคนจัดการพาตัวเรียมไปฝากไว้กับ คุณนายทองคำ ซึ่งเป็นญาติของตนในกรุงเทพฯ เป็นการชั่วคราว ก่อนที่จะแต่งงานกัน
เมื่อรู้ว่าถูกพรากคนรัก ขวัญบุกไปถึงเมืองมีน เพื่อคาดคั้นเอาความจริงกับจ้อย แต่กลับฆ่าจ้อยตายด้วยอารมณ์รุนแรง อาศัยที่ตัวเองบาดเจ็บ จนไม่น่าเชื่อว่าจะลุกไปไหนได้ และจ้อยก็มีศัตรูในเรื่องการพนันอยู่มากมาย ขวัญจึงรอดพ้นการตกเป็นผู้ต้องหา ในคดีฆ่าคนตายอย่างหวุดหวิด ขวัญเข้ากรุงเทพฯ ตามหาเรียม ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าบ้านคุณนายทองคำอยู่ที่ไหน หลังจากตามอยู่ 3 เดือน ก็ต้องกลับบางกะปิ ไปช่วยพ่อทำนาด้วยความหม่นหมอง
ข้างเรียมสิ่งที่ได้รับรู้จากกำนันเรือง คือ ขวัญกลายเป็นผู้ร้ายฆ่าคนตาย หนีหัวซุกหัวซุนไปจากบางกะปิ และคงไม่มีทางกลับมาอีกแล้ว ต่อจากนี้ชีวิตเรียมควรจะอยู่แต่ในกรุงเทพฯ เพราะกำนันเรืองยกเรียมให้คุณนายทองคำ แลกกับเงินก้อนใหญ่ เท่ากับขายลูกขาดไปแล้ว คุณนายทองคำเอง ก็รักเมตตาเรียม และตั้งใจจะเลี้ยงอย่างลูกแท้ๆ ดุจเดียวกับ โฉมยง ลูกสาวของตนที่เสียชีวิตไป
เรียมได้พบว่ากรุงเทพฯมีสิ่งดีๆ มากมาย คุณนายทองคำเป็นเหมือนแม่คนใหม่ ที่ให้ชีวิตใหม่กับเธอ ไม่เพียงให้การศึกษาเพิ่มเติม เปลี่ยนแปลงรูปโฉม แต่ยังชักนำให้รู้จักผู้ชายคนใหม่ และคุณสมชาย ลูกคหบดีผู้มั่งคั่ง ก็ดูจะเพียบพร้อมเกินไปด้วยซ้ำ สำหรับผู้หญิงบ้านนอกอย่างเธอ
ชีวิตของขวัญและเรียม เหมือนจะถูกแยกไปคนละทาง แต่ก็กลับมาบรรจบกันอีกจนได้ เมื่อพิศ แม่ของเรียมล้มเจ็บและตายลง เรียมขออนุญาตคุณนายทองคำไปอยู่บางกะปิชั่วคราว เพื่อจัดการงานศพ เธอได้รู้ความจริงว่า ขวัญไม่ได้หนีไปไหน ยังรัก และรอเธออย่างซื่อสัตย์มั่นคง ทั้งยังตั้งใจจะเข้ากรุงเทพฯ ไปตามหาเธออีกจนกว่าจะเจอ
เรียมถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องตัดสินใจ ขวัญไม่ยอมสูญเสียเธอไปอีกแล้ว และคุณสมชายที่กำลังเดินทางตามมาจากกรุงเทพฯ

เรื่องจบลงแบบ โศกนาฎกรรม เช่นเดียวกับ โรมิโอ แอน จูเลียต เมื่อขวัญถูกแทงตาย จากการต่อสู้ และเรียม ก็ฆ่าตัวเองตายตามไป




ภาพยนตร์ที่มีนักแสดงคู่ขวัญ ซึ่งมีผลงานการแสดง
ร่วมกันมากที่สุดคู่หนึ่งในวงการบันเทิง
กำกับการแสดงโดย
สักกะ จารุจินดา

นำแสดงโดย
จินตหรา สุขพัฒน์,สันติสุข พรหมศิริ,เกียรติ กิจเจริญ,
เกรียงไกร อุณหะนันทน์ พิมพ์พรรณ บูรณพิมพ์,พรพรรณ สังข์สินชัย,
นฤมล นิลวรรณ

เรื่องย่อ

เกิดอุบัติเหตุทำให้นับเดือน และต้นสลับร่างกัน จากชายหนุ่มที่แข็งแรงเป็นนักกีฬาโรงเรียน กลายเป็นคนนุ่มนวลสะอาด และเรียนเก่ง ผิดกับนับเดือนที่เคยรักสวยรักงาม เรียนเก่ง กลายเป็นผู้หญิงห้าว และทะลึ่ง ทั้งสองทำตัวจนเป็นที่สงสัยของเพื่อนๆ เมื่อไปทัศนาจรกัน นับเดือนในร่างต้นจึงถูกแกล้งเสมอ โดยมีนับเดือนคอยช่วย ทั้งสองต้องศึกษาชีวิต และร่างกายของกันและกัน ทำให้ทั้งสองเข้าใจกันมากขึ้น และพยายามหาวิธีคืนร่างกายก่อนที่พ่อของต้นจะย้ายบ้าน นับเดือนในร่างต้นน้อยใจต้นที่ไม่สนใจ ต้นตามไปง้อ และทะเลาะกันจนตกเขา เหตุมหัศจรรย์เกิดขึ้นอีกครั้ง ทั้งสองกลับคืนร่างเดิม และกลายเป็นเพื่อนรักกันตลอดไป





กว่าจะรู้เดียงสา
ผู้แต่ง : โบตั๋น

เรื่องย่อ : ครอบครัวของทิพย์เป็นผู้ดีเก่า มีคุณแม่เป็นคนดูถูกคนจน เมื่อทิพย์อายุ 15 ย่าง 16 ได้รู้จักกับหนุ่มดาวโรงเรียนชื่อ ไชยา ทั้งสองคนมักพบปะกันประจำโดยทางบ้านไม่รู้ พี่ชายไชยาเปิดร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ และมักทะเลาะกับไชยาประจำ ทำให้เขาเบื่อที่บ้านมาก เมื่อทิพย์ไปเที่ยวน้ำตกกับไชยา ทั้งคู่ก็ได้เสียกัน จนท้องขึ้นมาและหนีไปอยู่ด้วยกัน พ่อแม่ของทิพย์ตามไปที่ร้านของพี่ชายไชยาและกล่าวว่าโทษให้ ทั้งคู่หนีไปอยู่กรุงเทพฯ สมรผู้หญิงหากินพาไปเช่าบ้านอยู่ ทั้งสองต้องแยกกันหางานทำ แต่ทิพย์ก็มีปัญหามาโดยตลอด สมรพยายามเกลี่ยกล่อมให้ทิพย์ทำงานเป็นผู้หญิงหากินและเอาไปฝากไว้ที่บ้านของแม่เล้า เมื่อทิพย์คลอดลูก ก็โดนพาไปขายที่หาดใหญ่ ทิพย์ต้องทำงานและเลี้ยงลูกไปด้วย จากนั้นหมอสุริยา ญาติของทิพย์ ได้มาตรวจร่างกายในซ่อง จึงพยายามหาทางช่วยทิพย์ แต่ทิพย์ต้องการให้ลูกออกไปได้ก่อน ทิพย์ตัดสินใจผูกคอตาย สุริยาส่งเด็กให้กับพี่ชายทิพย์เลี้ยง แม่ของทิพย์จึงรู้ว่าทิพย์จากไปแล้ว




 รถไฟฟ้า มาหานะเธอ

สภาพจราจรในปี 2552 ยังเป็นปัญหาหนักอกของคนกรุงเทพ ด้วยแม้จะมีถนน สะพาน ทางด่วนใหม่ ๆ ผุดขึ้นหลายต่อหลายสายผิวจราจรเหล่านั้นก็ยังติดขัด และไม่เพียงพอต่อความต้องการ

ถนนใน กทม. ก็เหมือนหนุ่มหล่อแสนดี ที่มีน้อยและไม่เคยเพียงพอต่อความต้องการ เหมยลี่ (คริส หอวัง) เป็นสาวอายุ 30 ปีที่มีพฤติกรรมป่วนประจำตัวอย่างหนึ่ง คือ การเมาในงานแต่งงานเพื่อน เพราะมันช่างตอกย้ำซ้ำเติมชีวิตโสดสนิทไร้ชายใดมาแผ้วพานของลี่ วันหนึ่งหลังลากสังขารกลับจากการส่งเพื่อนสาวสุดซี้เข้าห้องหอ ลี่ขับรถเสยเข้ากับแผงโจ๊กในตลาดโต้รุ่ง ส่งผลให้รถเก๋งคันงามของเธอถูกป๊าผู้ต่อต้านแอลกอฮอลล์ทุกชนิดขายทิ้ง โทษฐานเมาแล้วขับ

ชีวิตที่ไม่มีชายหนุ่มคอยไปรับไปส่งอย่างลี่ จึงต้องออกไปผจญการจราจรสุดโหดของเมืองบางกอกเพียงลำพัง แต่ละวันลี่ต้องปากกัดตีนถีบ ขึ้นมอเตอร์ไซค์ ต่อรถตู้ โบกแท๊กซี่ โหนรถเมล์ ฯลฯ สารพันความเมื่อยล้าจากการเดินทางแบบเมก้าฮิต ทำให้เวลานอนของลี่แปรปรวน คืนหนึ้งลี่ตื่นขึ้นมากลางดึกและแอบขึ้นไปกินเบียร์บนดาดฟ้า โชคดีปนร้าย ลี่บังเอิญไปเจอลูกจ้างชายหญิงกำลังแสดง "หนังสด" กันอยู่ กลายเป็นคดีอื้อฉาวกลางดึกที่นำพาให้ลี่ได้พบกับ ลุง (เคน ธีรเดช) วิศวกร Maintenance แห่งรถไฟฟ้า BTS

การที่ได้พบกับผู้ชายชื่อแปลกคนนี้แบบไม่เมา ในคืนต่อมาทำให้ลี่เริ่มรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาเป็นครั้งแรกในสามสิบฝน ในหัวลี่อัดแน่นด้วยคำถามผู้ชายที่ทั้งขาว ทั้งหล่อ ทั้งเท่ ไหงถึงมาซ่อนตัวทำงานรถไฟฟ้ากะดึกอยู่อย่างนี้" ลี่รู้สึกราวลุง คือขุมทรัพย์ที่เธอบังเอิญไปพบลายแทงเข้า หากเธอไม่ลงมือทำอะไร ไม่ทำในสิ่งที่ใจต้องการ เธออาจกลายเป็นหญิงโสดคนสุดท้ายในกรุงเทพมหานคร

ลี่ตัดสินใจทำในสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนเคยคิดแต่ไม่กล้าลงมือ นั่นคือ การจีบผู้ชายก่อนแต่ทุกอย่างมันก็ไม่ง่ายสำหรับมือใหม่หัดจีบอย่างลี่ ไหนจะเวลาไม่ตรงกัน จนเหมือนอยู่คนละโลก ไหนจะถูกเพลิน (แพท อังศุมาลิน) สาวน้อยข้างบ้านหักหลัง แปรพักตร์จากครูไปเป็นคู่แข่งความรัก ไหนลุงจะมีถ่านไฟเก่าเป็นถึงนางเอกละครหลังข่าวอันดับหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะต้องผจญภัยอุปสรรคไหน ๆ ลี่ก็ไม่คิดถอดใจ




อยากได้ยินว่ารักกัน (Feeling FILM)


คนที่คุณรัก เคยบอก รัก คุณหรือเปล่า ???

เรื่องราวของสอง คนที่คุณอาจจะเคยพบเคยเจอในชีวิตประจำวัน คนที่เคยอยู่ในกลุ่มของเพื่อนๆ ของคุณ ผู้ชายที่ไม่มีอะไรโดดเด้ง โดดเด่น นอกจากคำว่า "ธรรมดา" และสิ่งที่ตอกย้ำความธรรมดาอันแสนธรรมดาของสองก็คือ การได้เกิดมาพร้อมกับก้าว เพื่อนสนิทของสองที่ขั้วตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง "กีฬาเด่น หน้าตาดี ฝีมือเด้ง เป็นคนดัง" คติประจำใจของก้าว

ที่สองได้แต่ก้มหน้าก้มตารับชะตากรรมทุกทีเมื่อเดินคู่กับสองตั้งแต่เด็กยันโต จนเมื่อเวลาผันผ่าน สองในวัยรุ่น สามารถสะบัดหนีออกจากก้าวได้รวมทั้งหนีกิจการครอบครัวนั่นก็คือวงดนตรีงานแต่งของครอบครัว เพื่อตามล่าฝันของตัวเองให้ได้ นั่นก็คือการเป็นหนึ่งในวงดนตรีที่ยิ่งใหญ่ แต่ว่าฝันก็คือฝัน วงสองเป็นได้แค่วงเล่นในร้านหมูกระทะ และที่ซ้ำร้ายยิ่งกว่าก็คือ สองต้องมาเจอกับก้าว อีกครั้ง

แหม...โชคชะตาคงอยู่คณะชวนชื่น มันถึงมาเล่นตลกกับสองไม่ว่างเว้นเลยยังดีที่ในชีวิตของสองได้มารู้จักกับหนอ

หนอ หญิงสาวที่กำลังผิดหวังจากความรัก แม้อารมณ์ไม่คงที่ แต่ความน่ารักนั้นคงทน...มาก สองได้เจอกับหนอ เพราะเพลงที่หนอตามหา อยากได้ยินว่ารักกัน และเพลงๆ เดียวกันนี้ กลับทำให้ มุมมองเรื่องความรักของทั้ง 3 เปลี่ยนไป

ก้าว ผู้ที่รอคอยที่จะเจอคู่แท้

สอง ผู้ที่อยากจะได้ยินคำว่ารักจากคนที่เขารัก

หนอ หญิงสาวที่อยากจะพิสูจน์ว่า รักแท้นั้น(ต้อง) มีอยู่จริง
อยากได้ยินว่ารักกัน ภาพยนตร์รักลึกซึ้งที่เรื่องราวอาจไม่แตกต่างจากหนังทั่วไป แต่สิ่งที่พิเศษกว่าหนังเรื่องอื่น ตรงที่หนังเรื่องอื่น เล่าเรื่องราวผ่านพระเอก นางเอก ในขณะที่หนังเรื่องนี้ เล่าผ่านบุคคลที่สาม บุคคลที่ต้องเจ็บช้ำเพราะการอกหัก หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า "ผู้ด้อยโอกาสทางความรัก" ซึ่งในประเทศนี้มีน้อยซะที่ไหน แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่มีใครคิดจะเล่าเรื่อง หนังเรื่องนี้จึงเหมือนการให้กำลังใจ คนที่ผิดหวังทั่วโลก ที่อยู่บนโลกใบนี้ ด้วยการเล่าผ่านมุมมองของผู้กำกับ อลงกต เอื้อไพบูลย์ มือเอ็มวีที่มีผลงานโดดเด้ง และเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ เชื่อได้ว่า อยากได้ยินว่ารักกัน ย่อมมีมุมมองใหม่ๆ บนเรื่องราวเก่าๆ ได้ดี

และสิ่งที่พิเศษยิ่งขึ้นก็คือ การแสดงครั้งแรกของนักแสดงที่ถือว่า มีคนต้องการตัวมาแสดงมากที่สุด กาย นวพล ลำพูน ทายาทนักแสดงชื่อดัง อำพล ลำพูน และ มาช่า วัฒนพานิช และการแสดงครั้งแรกของนักแสดงใหม่ บิ๊ก ดีเจแห่งคลื่น เอฟเอ็มแมกซ์ เมย์ นักแสดงโฆษณาดีแทค ทศกัณฑ์ พร้อมด้วยการวางไมค์มาเล่นหนังครั้งแรกของ ตุลย์ อพาร์ทเม้นท์คุณป้า ขวัญใจเด็กแนว และนักแสดงสมทบอีกคับคั่ง พร้อมกันนั้นยังมีเพลงประกอบภาพยนตร์ อยากได้ยินว่ารักกัน โดย ดา เอนโดรฟิน ตัวสำรอง โดย แคลเลอรี่ บลา บลา หนังเรื่องนี้ จึงเป็นหนังพิเศษที่หลายๆคนตั้งตาคอย เพื่อที่จะได้ยินคำว่ารักจากพวกเขา อย่างเต็มหัวใจ




เธอทักว่า "สะบายดี" (สวัสดี)

ผมตอบว่า "สบายดี" (สบายดี)

แต่เราก็รู้สึกแบบเดียวกัน


เรื่องย่อ สะบายดี หลวงพะบาง

สอน(อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม) ช่างภาพหนุ่มลูกครึ่ง ถูกบ.ก.ส่งให้ไปถ่ายรูปที่ประเทศลาว โดยที่ตัวเขาเองก็ไม่เต็มใจนัก เพราะถึงแม้ว่าเขาจะมีเชื้อสายลาวอยู่ด้วย แต่ก็ไม่มีข้อมูลหรือเคยไปเมืองลาวเลยสักครั้งเดียว

สอนมาถึงเมืองปากเซ เขาว่างจ้างไกด์ชื่อน้อย(คำลี่ พิลาวง) พาเดินทางถ่ายรูปในแถบลาวใต้ ไปน้ำตกหลี่ผี,คอนพะเพ็ง เลยไปถึงสี่พันดอนที่เป็นเกาะแก่งในแม่น้ำโขง แต่ว่าไกด์สาวเพิ่งทำงานเป็นครั้งแรก จึงพาหลงทางไปตลอด พวกเขาต้องต่อรถ ลงเรือ ไปที่ต่างๆ อย่างทุลักทุเล และสอนก็จำใจต้องไปบ้านเก่าของพ่อตามที่สั่งไว้ เมื่อไปถึง สอนกลับพบว่าญาติพี่น้องที่ห่างเหินกันไปเป็นสิบปีต่างจำเขาได้ และให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น จนสอนเริ่มมองว่าลาวเป็นบ้านอีกที่หนึ่งของตน

สอนรู้สึกชอบพอน้อย เขาจึงทำดีกับเธอ แต่ทว่าเมื่อมีความสนิทสนมเกินเลยระหว่างลูกทัวร์กับไกด์ น้อยเริ่มเป็นฝ่ายถอยห่างและหลบหน้าเขาไป สอนค้นหารากเหง้าความเป็นลาวในตัวเขาเอง และต้องหาทางพิสูจน์ให้น้อยเห็นว่าเขาไม่ใช่แค่นักท่องเที่ยวที่มาสร้างความรักเพียงชั่วคราว แล้วทิ้งเธอไปที่อื่น

เกี่ยวกับ สะบายดี หลวงพะบาง

"สะบายดี หลวงพะบาง"เป็นการโคโปรดักชั่นระหว่าง บริษัท สปาต้าร์ครีเอทีฟ(ประเทศไทย) กับ ลาวอาร์ตมีเดีย (ประเทศลาว)

ก่อนหน้านั้นในประเทศลาว มีการผลิตภาพยนตร์มาอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่มากนัก แต่ล่ะปีก็มีเกินสิบเรื่อง โรงภาพยนตร์ในเมืองต่างๆ เช่น เวียงจันทร์,สะหวันนะเขต,ปากเซ,หลวงพะบาง ก็มีการฉายภาพยนตร์ของลาวและของไทยรวมทั้งประเทศอื่น

จนกระทั่งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ.2518 การผลิตภาพยนตร์ก็หยุดไป เมื่อลาวเปิดประเทศอีกครั้งในปี พ.ศ.2535 มีการค้าขายกับประเทศต่างๆ แต่ว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์ยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้ อาจจะเนื่องมาจากเครื่องมือในการผลิตภาพยนตร์ที่ยังไม่พร้อม ตลาดภายในประเทศยังเล็กจนไม่มีผู้ลงทุน จึงมีเพียงหนังที่ถูกสร้าง โดยรัฐเพียงสามเรื่อง อันประกอบด้วย "เสียงเพลงจากทุ่งไหหิน","บัวแดง" และหนังจากทุนเวียดนามเรื่อง "ขรัวพญาช้าง"

ในแวดวงเกี่ยวกับสื่อบันเทิงในประเทศลาว มีการผลิตเพลงและหนังสือเท่านั้น ที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง

ภาพยนตร์เรื่อง "สะบายดี หลวงพะบาง" เป็นผลงานทุนสร้างจากเอกชน เรื่องแรกในรอบ 35 ปี การถ่ายทำเริ่มเดินทางจากปากเซ ซึ่งเป็นเมืองหลักทางภาคใต้ของลาว ต่อด้วยเวียงจันทร์ ซึ่งเป็นดังเมืองหลักในภาคกลางของเขา แล้วก็หลวงพะบาง ซึ่งเป็นภาคเหนือ เมืองที่เป็นดั่ง มรดกโลก

ภาพยนตร์เรื่องนี้จะถ่ายทอดวัฒนธรรม ผู้คน บ้านเมือง และสถานที่ท่องเที่ยวภายในประเทศลาว ในแบบที่คนภายนอกยังไม่เคยเห็นมาก่อน




เพชรตัดหยก เป็นภาพยนตร์ไทยออกฉายเมื่อปี พ.ศ. 2525 สร้างโดยค่ายโคลิเซี่ยมฟิล์ม กำกับโดย คมน์ อรรคเดช ที่นำนักแสดงดังจากฮ่องกงคือ ฉีเส้าเฉียน มาแสดงประกบกับ สรพงศ์ ชาตรี และ ม.ล.สุรีย์วัลย์ สุริยง โดยเนื้อเรื่องเป็นการต่อสู้ของคนภูเขา




"บุญเพ็งหีบเหล็ก" เป็นภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นจากเรื่องจริงของฆาตกรคนหนึ่ง ฆาตกรรายนี้มิได้อยู่ไกลจากเราเลยครับ เขาอยู่ในประเทศไทยนี่แหละและเป็นนักโทษรายสุดท้ายในประวัติศาสตร์ไทยนับจากปี2475เป็นต้นมาที่ตายไปโดยไม่มีศีรษะอยู่บนบ่า"บุญเพ็ง" หากเรียกเฉยๆ คงอาจไม่มีใครทราบได้นะครับ ว่า เขาคือใคร............................หลายคนอาจคิดว่า เขาเป็น หมอดูที่หน้าหยก กิริยานอบน้อม และมีความเฉลียวฉลาดแต่....................................!!!หากเรียกว่า "บุญเพ็ง หีบเหล็ก" หลายคนคงจะทราบดีนะครับฆาตกร ฆ่าหั่นศพหญิงสาวในย่านบางลำภู ช่วง พุทธศักราช 2461 "บุญเพ็ง" พระนอกรีตที่ถูกจับสึกเพราะทำผิดวินัยสงฆ์ต่อมาตั้งตนเป็นอาจารย์ มีคาถาอาคมทำเสน่ห์เมตตามหานิยมให้ผู้ที่เชื่อในเรื่องของคุณไสย และลงมือสังหารเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายคนแล้วคนเล่าเพียงเพื่อต้องการทรัพย์สมบัติมาเป็นของตน โดยอำพรางคดีด้วยการหั่นศพใส่หีบเหล็ก และในที่สุดวิญญาณอาฆาตเหล่านั้นก็แสดงอาถรรพ์ให้ทกคนได้เห็น จนในที่สุด "บุญเพ็ง" ก็ถูกจับและศาลตัดสินประหารชีวิตด้วยการกุดหัวเป็นคนสุดท้าย เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 242 ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตยในขณะที่ต่างประเทศได้ให้ความสนใจถึงขนาดตั้งฉายาของ"บุญเพ็ง หีบเหล็ก"ว่า"THE MURDERESS IRON BOX "หรือฆาตกร ผู้อำพลางด้วยหีบเหล็ก


+


เพื่อนแพง หนังไทยคุณภาพชั้นดี ผลงานกำกับของ เชิด ทรงศรี ผู้ฝากผลงานมาแล้วที่ลือลั่นอย่างแผลเก่า เพื่อนแพงเป็นเรื่องความรักสามเส้าระหว่างเพื่อน แพง และ ลอ ออกฉายเมื่อปี 2526 และประสบความสำเร็จทั้งรายได้และรางวัลพระสุรัสวดี ในปีนั้น เนื้อเรื่องมีองค์ประกอบในเรื่องความรัก ความเชื่อ ความซื่อสัตย์ ตลอดจนบทพูดบทสนทนาที่ลึกซึ้ง กินใจ สามารถสะกดจิตคนดูให้มีความรู้สึกร่วมกับหนัง ส่งผลให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก


+


มหัศจรรย์แห่งรัก (ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล, พ.ศ.253

ผลงานที่รวมนักแสดงฝีมือเยี่ยมกว่า 10 ชีวิต และเป็นหนังแนวที่เรียกว่า Ensemble ของ ไทยเพียงไม่กี่เรื่อง และนำเสนอออกมาอย่างน่าสนใจ พล็อตเรื่องว่าด้วยความรักหลากหลายรูปแบบและมุมมอง ของเพื่อนๆ กลุ่มที่ขึ้นมาเยี่ยมเพื่อนอีกคนที่เชียงใหม่

หม่อม หลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล ร้อยเรียงเรื่องราวเพื่อจะตอบประเด็นที่ว่า ความรักหาได้มีรูปแบบตายตัวแน่นอน บ่อยครั้งมันคาดเดาไม่ได้ มีทั้งความเจ็บปวดและความสุขคละเคล้ากันไป สินจัย เปล่งพานิช, ศรัณยู วงษ์กระจ่าง, สันติสุข พรหมสิริ, วิลลี่ แม็คอินทอช และนุสบา วานิชอังกูร นำแสดง

บทเพลงประกอบภาพยนตร์

กระวนกระวายสับสน
หวั่นไหวเพราะใครบางคน โดยไม่มีสาเหตุ
ปล่อยมันเป็นไป และเพียงเราลองเปิดใจ
จะพบว่ามีบางคนพิเศษ
เกิดขึ้นในใจเปลี่ยนโลกทันใด

มหัศจรรย์แห่งรัก สร้างสรรค์พลังอันยิ่งใหญ่
ต่างคนอยู่ไกลแสนไกล กลับมาอยู่เคียงชิดใกล้
ก่อฝันในใจ ด้วยรักและความผูกพัน
เมื่อเธอสบตากับฉัน ต่างพบว่าใจเราไหวหวั่น
เป็นนาทีที่สำคัญ จดจำต่อไปแสนนาน
ตราบวันผ่านผันภาพยังไม่จางไม่เลือนลางจากหัวใจ

ดั่งเหมือนถูกแรงดึงดูด ใจเธอกับฉันไว้เคียงคู่กัน
หากเมื่อใดที่กายต้องห่าง
จะอ้างว้างเพียงใดเงียบเหงาในใจเท่าไร

มหัศจรรย์แห่งรัก สร้างสรรค์พลังอันยิ่งใหญ่
ต่างคนอยู่ไกลแสนไกล กลับมาอยู่เคียงชิดใกล้
ก่อฝันในใจ ด้วยรักและความผูกพัน
อบอุ่นดั่งดวงตะวัน อ่อนหวานละมุนดังแสงจันทร์
เมื่อเราเอื้อมมือถึงกัน โลกคล้ายหยุดหมุนชั่วกาล
จะมีเพียงฉันและเธอข้ามผ่านขอบเขตวันอันสวยงาม

จะมีเพียงฉันและเธอข้ามผ่านขอบเขตวันอันสวยงาม

--------------------------------------------------------------------------------

เพลงนี้เป็นเพลงที่เราชอบมั่กมาก
ฟังทีไรรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของความรักซะจริง
"มหัศจรรย์แห่งรัก สร้างสรรค์พลังอันยิ่งใหญ่ ต่างคนอยู่ไกลแสนไกล กลับมาอยู่เคียงชิดใกล้"




นางนวล (ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล, พ.ศ.2530)

จากบทละครเรื่อง The Seagull ของ อันตัน เชคอฟ นักเขียนบทละครชื่อก้องชาวรัสเซีย ถูกดัดแปลงให้เป็นภาพยนตร์ไทยน้ำดีโดยมีฝีมือของ หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล (หม่อมน้อย) โดยกวาดต้อนนักแสดงชื่อดังมาปะทะบทบาทกันอย่างสนุกสนาน ตั้งแต่ ภัทราวดี ศรีไตรรัตน์, ใหม่ เจริญปุระ, ธิติมา สังขพิทักษ์ และลิขิต เอกมงคล

เรื่อง ราวของปมขัดแย้งระหว่างแม่และลูกชาย โดยมีตัวละครเด็กสาวชาวบ้านที่เข้ามาโหมความบาดหมางให้ลุกโชนขึ้นไปอีก นี่เป็นงานที่จัดจ้านอีกชิ้นของผู้กำกับที่เน้นเรื่องการแสดงอย่างหม่อมน้อย


+


รักเอย (จริงหรือที่ว่าหวาน)
เรื่องย่อ

เอน ทรีนี้เป็น counterpart ของเอนทรีก่อนหน้า รักเอยฉบับรีเมคของคุณปึ๊ด (ธนิตย์) ถูกสร้างขึ้นเพื่อทริบิวท์ให้กับฉบับเดิมของ มจ.ทิพยฉัตร ฉัตรชัย อย่างไม่ต้องสงสัย เวอร์ชั่นเดิมออกฉายในปี พ.ศ. 2521 นำแสดงโดย พิศาล อัครเศรณี และ เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์ ผมน่าจะได้ดูผ่านจอแก้ว จำไม่ได้จริง ๆ เพราะหนังของท่านในยุคนั้นมีหลายเรื่อง ทำให้ไม่มีภาพชัด ๆ ในหัวเลย แต่เพลงจากภาพยนตร์เรื่องนี้ยังอยู่ในหน่วยความจำขนาด 486 ของผมอยู่ (เก่าและช้ามาก) ได้แก่เพลง รักเอย หนี้รัก และ ความรักไม่รู้จบ ถ้าเป็นคนร่วมรุ่นคงยังต้องซาบซึ้งกับทั้งสามเพลงอยู่เป็นแน่ ยกเว้นแต่หัวใจจะด้านชา และขาดความละเอียดอ่อนของสุนทรียภาพในการเสพดนตรี (ว่าไปนั่น)

ฉบับรีเมคนี้ "เงียบ" มากแม้แต่คุณปึ๊ดผู้กำกับเองก็ยังทราบว่าหน้าหนังน่ะไม่ขาย ดูชื่อดาราที่คาสติ้งมาเล่นจะมีแต่ นิ๊ง (กุลสตรี) เท่านั้นที่เป็นที่รู้จัก ส่วน รวิชญ์ ในปี 39 ถือว่ายังหน้าใหม่มาก แต่ผมก็ตั้งหน้าตั้งตารอชมในโรงให้ได้เมื่อได้ทราบข่าวว่ามีการสร้าง หนังในสไตล์ของ มจ. ทิพยฉัตร ฉัตรชัย เป็นแนวโรแมนติค เน้นภาพวิวทิวทัศน์ประกอบเรื่อง รวมถึงเพลงประกอบภาพยนตร์ที่มีความไพเราะ คุณปึ๊ดคงไม่ต้องการตีความใหม่ แต่พยายามโคลนนิ่งออกมาด้วยว่าส่วนตัวคงไม่ใช่ไม่มีความคิดสร้างสรรค์แต่ ต้องการทำหนังสไตล์นี้ให้ ผู้ชมชาวไทยได้ชมในช่วงก่อนเปลี่ยนผ่านทศวรรษ 2530 เป็น 2540



ถ้า ผมเขียนถึงหนังผมจะไม่ชอบเขียนเรื่องย่อประกอบเพราะมันไม่ได้ช่วยผู้อ่าน เท่าใดนัก สำหรับผมถ้าไม่ได้ดูหรืออ่านรีวิวก่อนแล้วไปดูมันไม่เวิร์คน่ะ มันจะขาดความใสในความคิด ต้องไปดูก่อน อันนี้อยากจะบอกว่าวิธีนี้ควรจะใช้ในการเสพงานศิลป์ทุกประเภท แต่คุณต้อง สะสมไมล์มาก่อน การอ่านรีวิว หนัง เพลง หนังสือ ฯลฯ เหมาะสำหรับการเริ่มต้นแต่พ้นจุดหนึ่ง ไปควรเฟดตัวเองออกมาแล้วอ่านงานรีวิวทีหลัง

"รักเอย" ฉบับนี้เป็นอย่างไรชอบและอินระดับหนึ่ง ชอบธีมที่ว่าในชีวิตจริงคนเราอาจจะมี ความรู้สึกว่าโลกนี้มีสีชมพูได้มากกว่าหนึ่งครั้ง แล้วแต่จังหวะของมันจะว่าอยู่ในช่วงใด แล้วคุณมีคนอื่นอยู่ก่อนหรือไม่ คุณจะตัดสินใจอย่างไร มีปัจจัยมากมายที่ทำให้มีคำตอบได้ หลาย ๆ แบบ อีกธีมหนึ่งที่คู่ขนานกันไปคือ ความรักที่ต้องเสียสละ ซึ่งตัวหนังเล่าเรื่องราวตรงนี้ ชัดกว่าธีมแรก อีกจุดหนึ่งที่ชอบมากคือ คุณปึ๊ดบังคับให้นักแสดงใช้เสียงจริงร้องเพลงในหนัง คุณภาพการร้องเป็นเรื่องรองแต่การทำให้คนดูเชื่อเป็นของจริง งานด้านกำกับภาพเหมือนอยู่
ในโลกของหนังไทยปลายยุคเจ็ดศูนย์ แต่สวยและคมกว่ามาก (ต้องชมในโรงภาพยนตร์นะ) ถึงแม้ว่าซีนที่มีเพลงประกอบจะตัดต่อภาพเร็วเกินความจำเป็น

+


เรื่องราวในภาพยนตร์จะดำเนินฉากในชั้นศาล การต่อสู้ระหว่างทนายสาว (นาถยา) ที่ดูเป็นที่สบประมาทของทนายเฒ่าเจ้าเล่ห์ (ชลประคัลภ์) ทนายค่าตัวราคาแพงที่ฝ่ายผู้พันว่าจ้างมาเพื่อให้ชนะคดีนี่โดยเฉพาะ ทนายนาถยาจะต้องหาหลักฐานมาต่อสู้กับทนายเฒ่าที่มีประสบการณ์ว่าความที่ไหนแล้วไม่มีแพ้อย่างเหงื่อตกทีเดียว หนังเรื่องนี้เข้มข้นมากในฉากกว่าโต้วิวาทะของสองทนาย ที่หากใครอยากเป็นทนายนั่นต้องดูเป็นตัวอย่างเลยว่า...ทนายนั่นไม่ใช่แค่สู้ด้วยพยานหลักฐานของลูกความเท่านั้น แต่ต้องสู้โดยการใช้จุดแข็งของลูกความและจุดบอดของฝ่ายตรงข้ามให้เป็นประโยชน์ ใครมีไหวพริบกว่าก็ได้เปรียบทีเดียว


+


เตือนใจ ภาพยนต์แนวฆาตกรรม สยองขวัญ สะเทือนอารมณ์ ที่อดุลย์โปรดักชั่น พลิกแฟ้มอาชญกรรม นำมาสร้างเพือตีแผ่ภัยอันตรายในสังคมไทยในยุคหนึ่ง


+


ชื่อเรื่องภาษาไทย : อารีดัง

ผู้กำกับ : แจ๊สสยาม

ผู้อำนวยการสร้าง : เกียรติ เอี่ยมพึ่งพร

ผู้เขียนบท : บทประพันธ์ของ พลาย มะลิวัลย์, แจ๊สสยาม บทภาพยนตร์โดย อนันต์ ชลวนิช

ผู้แสดง :

จตุพล ภูอภิรมย์ เป็น ร.อ.พงษ์พันธ์ เทวาพิทักษ์
วาสนา สิทธิเวช เป็น ลีลานุช น้อยนิด
มิส.ชอง ซุน-มี เป็น โอบุน-ริ
มิน วู เป็น ร.อ. ชู วาน-ฮอง
ไกรลาศ เกรียงไกร เป็น ร.ท.โชติ พลอยแสง
คาง เค-ซิก เป็น โอ ชอง-แฮง

เรื่องย่อของ ภาพยนตร์ "อารีดัง" มีอยู่ว่า ในระหว่างสงครามเกาหลีปี 2496 หน่วยทหารไทยของ ร.อ. พงษ์พันธ์ เทวาพิทักษ์ ได้ทำการรบอย่างห้าวหาญ แต่แล้วในคืนวันหนึ่ง หน่วยของผู้กองพงษ์พันธ์ที่พึ่งซุ่มโจมตีข้าศึกได้รับชัยชนะถูกข้าศึกที่รอดตายตามมาซุ่มยิงด้วยปืนกลจนตายเกือบหมด เหลือแต่ผู้กองพงษ์พันธ์ซึ่งถูกยิงบาดเจ็บ และร้อยโทโชติ พลอยแสง ที่ได้นำผู้กองพงษ์พันธ์มารักษาตัวที่หมู่บ้าน โทนัมดวง ตำบลอารีดัง ซึ่งเป็นที่อยู่ของ โอบุนริ นางเอกของเรา และแน่นอนว่าผู้กองพงษ์พันธ์ได้มาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านของ โอบุริ โดยเธอเป็นผู้พยาบาลจนเกิดความรักต่อกัน และแต่งงานกันทั้งๆ สงคราม แม้ว่าร.อ.ชู วาน ฮอง (ซึ่งพงษ์พันธ์คิดว่าเป็นคนรักของโอบุนริ แต่เธอบอกว่าเป็นแค่พี่ ) จะไม่ค่อยเห็นด้วยนัก ต่อมาเมื่อวันที่ 27 กรกาคม ค.ศ. 1953 สงครามได้สงบลง พระเอกของเราได้กลับเมืองไทยโดยไม่สามารถนำครอบครัวโอบุนริกลับมาด้วย (ถ้าเป็นสมัยนี้ สายการบินโลว์คอสต์ อาจเป็นคำตอบได้) จึงได้แต่สัญญาว่าจะกลับมารับภายใน 3 เดือน เอาเข้าจริงๆ ผู้กองเจอปัญหาติดงานราชการอยู่เรื่อย ไม่มีจังหวะจะไปหาลูกเมียได้ จน 3 ปีผ่านไป พงษ์พันธ์ตัดสินใจออกจากราชการ และเดินทางไปรับโอบุนริ แต่ก็ยังเจออุปสรรคอีกเป็นชุด ไม่ว่าคุณแม่ประสบอุบัติเหตุ พาครูลีลานุชไปเที่ยวร้านอาหารเกาหลีก็โดน ชู วาน ฮอง ถ่ายรูปส่งไปให้โอบุนริ เมื่อแม่และครูลีลานุชรู้ความจริงแอบไปมีเมียที่เกาหลีก็เกิดปัญหาแง่งอนกันนิดหน่อย พอมาถึงเกาหลีได้ก็มาเจอจังหวะกำลังมีพายุอีก โดยเฉพาะหมู่บ้านของนางเอกเรา ซึ่งเธอกำลังเสียใจเพราะภาพถ่ายที่ได้รับจาก ชู วาน ฮอง แล้วหลบไปเก็บตัวตามลำพังในบ้านที่เชิงเขา ไม่ยอมหนีหิมะที่กำลังถล่ม พ่อตาเห็นลูกเขยพึ่งจะโผล่หน้ามาก็ต้อนรับด้วยปืนซะสองนัด กว่าจะไปถึงบ้านที่โอบุนริอยู่ได้ ก็พอดีเธอโดนหิมะถล่มตายไปแล้ว


+


เนื้อเรื่องย่อ: ก๋ง (อี้หมิง) ชายชราชาวจีนอาศัยอยู่ในห้องแถวเก่าๆ กับหลานชายชื่อหยก (ด.ช.สราวุฒิ) ก๋งเป็นที่พึ่งทางใจของชาวบ้านละแวกนั้น คำสอน คำชี้แนะของก๋งแฝงไว้ด้วยปรัชญาชีวิต สร้างความภาคภูมิใจให้กับหยกยิ่งนัก ป้าเง็กจู (มาลี) ชอบมาบ่นให้ก๋งฟังเรื่องที่เฮียเพ้ง (สุประวัติ) ลูกชายรักกับนวล (พิราวรรณ) แม่ค้าขายข้าวแก้วคนไทยซึ่งผิดประเพณี แต่คำสอนของก๋งประกอบกับความดีของนวล ก็เอาชนะใจป้าเง็กจูได้สำเร็จ ส่วนครูบรรยงค์ (สรพงษ์) ครูของหยกก็มีเรื่องกับปลัดเรืองศักดิ์ (มานพ) จนต้องถูกจับตัวเข้าคุก ก๋งไปขอประกันตัวครู โดยบอกตำรวจว่าจะเอาแผ่นดินไทยมาเป็นประกัน ถ้าครูหนีก็ให้เนรเทศก๋งออกจากแผ่นดินไทยได้ แต่แล้วความดีของครูบรรยงค์ที่เคยช่วยลูกชายปลัดให้พ้นจากการจมน้ำตายและความจริงที่ครูไม่ได้มีอะไรกับคุณนายทองห่อ (ทาริกา) เมียปลัดก็ทำให้เรื่องคลี่คลายลง ส่วนหยกเองก็มีเรื่องชกต่อยกับสมเกียรติลูกชายศึกษาธิการ แต่หยกต้องถูกตีและกราบขอโทษศึกษาธิการทั้ง ๆ ที่ตนไม่ได้เป็นฝ่ายผิด แต่คำสอนของก๋งก็ช่วยทำให้หยกเข้าใจชีวิตมากขึ้น


นักแสดง:
สรพงษ์ ชาตรี
อี้หมิง .... ก๋ง
ทาริกา ธิดาทิตย์
มานพ อัศวเทพ
สุประวัติ ปัทมสูตร
พิราวรรณ ประสพศาสตร์

วันที่เข้าฉาย: 27 มกราคม 2522




เลือกหน้า [1] [2] [3]
[4] [5] [6] [7] [8]
จำนวนหัวข้อทั้งหมด 129

กลับขึ้นข้างบน / กลับหน้าแรก

ค้นกระดานข่าว:


ถูกเปิด: ถูกคลิ๊กแล้ว: 112895505 ตอนนี้มีผู้เข้าชม : 1 ล่าสุด :HoustonDab , Lindahoisy , DJWrepe , zubdokaback , Jabeabe , FuriousPelt , toplinkmd , พีเพิลนิวส์ , Pojja , HelenViefs ,