Mobile Version / สำหรับโทรศัพท์มือถือ ยินดีต้อนรับท่านผู้มาเยือน www.peoplecine.com ท่านยังไม่ได้ log in นะครับ เข้าใช้งานระบบ / สมัครสมาชิก/ ลืมรหัสผ่าน
รูป
หนังไทยในอดีต ทุกยุค ทุกสมัยเจ้าของ ผู้ตอบหลังสุด
-Photo Book of Mitr Chaibuncha 2020.. 1/1/2563 1:34
-ห้องหนังไทย.. 27/10/2554 13:41
-หลานม่า.. 17/4/2567 18:35
-"สิงห์ล่าสิงห์".. 29/12/2566 15:29
-"ชุมทางเขาชุมทอง"ยังไม่มีคนตอบ
-ชู้ .. 29/12/2566 15:11
-มนต์รักนักพากย์ พ.ศ. 2566.. 22/10/2566 19:14
-ภาพยนตร์ไทย ประจำปี พ.ศ. 2500.. 19/10/2566 16:38
-มนต์รักนักพากย์ .. 1/10/2566 17:42
-บังเอิญรักข่อยฮักเจ้า.. 18/3/2566 2:07
-"วัยอลวน5".. 7/1/2566 1:48
-หนุมาน WHITE MONKEY.. 16/11/2565 14:15
-มายาพิศวง (Six Characters)ยังไม่มีคนตอบ
-SAMARITAN Trailer (2022)ยังไม่มีคนตอบ
-บุพเพสันนิวาส ๒ ยังไม่มีคนตอบ
-ตัวอย่าง SIAM SQUARE ปี 2527 4K.. 26/4/2565 9:10
เลือกหน้า [1] [2] [3] [4] [5] [6] [7] [8] [9] [10] [11] [12] [13] [14] [15] [16] [17] [18] [19] [20] [21] [22] [23] [24] [25] [26] [27] [28] [29] [30] [31] [32] [33] [34]
จำนวนหัวข้อทั้งหมด 533

๑๐๐ หนังไทยที่คนไทยควรดู


หนังไทยที่คนไทยควรดู
ในมิติ
ภาพยนตร์ยังให้เกิดปัญญา
หอภาพยนตร์แห่งชาติ นับถือว่า ภาพยนตร์เป็นประดุจรัสมีแฉกหนึ่งของพระไตรรัตน์ ภาพยนตร์ไม่ว่าดีหรือเลว แต่หากเรารู้จักดู หรือดูดีๆ ก็เกิดปัญญา ดุจดังบาลีภาษิต ปญญายตถํ วิปสสติ การเห็นเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา ดูดีๆมีปัญญา ดูด้วยปัญญาพาให้เห็นแจ้ง
หอภาพยนตร์แห่งชาติ จึงเปรียบดังอารามหรือวัดแห่งศาสนาภาพยนตร์ ซึ่งมีโรงหนังเป็นโบสถ์ โรงเก็บฟิล์มเป็นหอไตร พิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์เป็นวิหาร การจัดกิจกรรมฉายภาพยนตร์ของหอภาพยนตร์แห่งชาติ เป็นไปเพื่อ ยังให้เกิดปัญญา
เพื่อสนับสนุนการดูภาพยนตร์เพื่อยังให้เกิดปัญญา หอภาพยนตร์แห่งชาติ จึงจัดกิจกรรมฉายภาพยนตร์ทุกค่ำวันศุกร์ ที่ห้องประชุม สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ท่าวาสุกรี และบ่าย ๓ โมงวันเสาร์ที่ โรงหนังอลังการ หอภาพยนตร์แห่งชาติ ศาลายา ถนนพุทธมณฑลสาย ๕ เรียกชื่อว่า "ภาพยนตร์ปุจฉา-วิสัชนา" ซึ่งเป็นรายการฉายหนังให้ดูแล้วฟังคิดถามตอบ โดยมีพิธีกรและวิทยากรผู้สันทัดกรณีมาร่วมถามร่วมตอบอย่างที่เรียกว่า ปุจฉา - วิสัชนา
หนังไทยที่คนไทยควรดู
กรอบคิดคือ ในบรรดาพยนตร์ที่เป็นมรดกภาพยนตร์ของชาติหรือเป็นทรัพย์สินทางปัญญาอย่างหนึ่งของชาติ ซึ่งยังมีภาพยนตร์นั้นเหลืออยู่ให้เราได้ชื่นชมในปัจจุบัน หากคัดเลือกเป็นตัวอย่างสัก ๑๐๐ เรื่อง เป็นบัญชีภาพยนตร์ที่คนไทยควรดู เพื่อให้เข้าใจตัวเอง เข้าใจสังคมไทย เข้าใจหนังไทย และชื่นชมหนังไทย ในรอบหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา

๑. เป็นผลงานสร้างโดยคนไทย
๒. เป็นตัวอย่างหรือตัวแทนให้คนไทยได้เรียนรู้จักตัวเอง รู้จักสังคมไทย ทั้งในอดีต ปัจจุบัน ทั้งดี และเลว ทั้ง
จริง และเท็จ
๓. เพื่อให้คนไทยได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทย
๔. เพื่อให้คนไทยได้ชื่นชมภาพยนตร์ไทย ทั้งที่เป็นมหรสพสินค้าขายความบันเทิง เป็นเครื่องมือสื่อสาร เป็น
งานศิลป เป็นมรดกทางภูมิปัญญาของชาติ


ความเห็น

[1] [2] [3] [4]

[5] [6] [7] [8]


เรื่องย่อ

เรื่องราวของปัญหาครอบครัว กับยาเสพติดที่เกิดขึ้นกับเยาวชนของชาติอย่างพวกของ เงาะ, แป๋ม, ปู และเดือน พวกเธอได้พบกับปัญหาที่แตกต่างกันไป แต่พวกเธอเลือกที่จะใช้ยาเสพติดในการแก้ปัญหา ซึ่งกว่าจะรู้โทษของมัน พวกเธอก็ถลำลึกลงไปทุกที่ สิ่งเดียวที่จะฉุดพวกเธอขึ้นมาได้มีเพียงความรักความเข้าใจ และความอบอุ่นของครอบครัว แล้วพวกเธอจะได้มันมาหรือไม่ หรือว่าจะต้องแลกด้วยความตาย


+


คำโปรย : ความรัก...ความตาย...ความอัปยศ...ต้องดู..เพื่อตัวคุณเอง

เนื้อเรื่องย่อ: เรื่องของรัก 4 เส้า ชาย 1 หญิง 3 ที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนยิ่งกว่านวนิยาย ระหว่าง เสี่ยหนุ่มใหญ่นักธุรกิจ นายวิชัย ชนะพานิช กับเศรษฐีนีสาว น.ส.สุวิมล พงษ์พัฒน์ น.ส.ทิพย์วรรณ แม่บ้านสาวของนายวิชัย และ เชอรี่แอน เด็กสาวแสนสวย ลูกครึ่งไทย-อเมริกัน อายุ 16 ปี และแล้ว ความรักที่ทุกคนหลงใหล ก็ได้นำไปสู่โศกนาฏกรรมการตายของ เชอรี่แอน มีผู้พบศพเธอที่ป่าแสมใกล้ถนนสุขุมวิทสายเก่า หลักกิโลเมตรที่ 42 แถวบางปู สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2519 หลังการสอบสวนผู้เกี่ยวข้อง ภายใต้ความรับผิดชอบของ พ.ต.ท.เลิศล้ำ ธรรมนิสา กับ พ.ต.ท.มั่งคั่ง ศรีพรพงษ์ นำไปสู่การจับกุม นายวิชัย ชนะพานิช พร้อมบริวาร 4 คน นายเฉลิมรุ่ง นายพิพัฒน์ นายกระสิน และนายธวิช ในข้อหาจ้างฆ่าและร่วมกันฆ่า โดยตำรวจได้แยกย้ายผู้ต้องหาออกคุมขังกระจายไปตามสถานีตำรวจจังหวัดสมุทรปราการ นางไพลิน-พี่สาวของเสี่ยหนุ่ม ได้ว่าจ้างสำนักงานทนายเข้าแก้คดี เพ็ญนภา ธรรมรุ่งโรจน์ ทนายสาวจึงเข้ามารับผิดชอบในคดีนี้ ในระหว่างการถูกคุมขัง ผู้ต้องหาต่างต้องเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆนาๆ แม้ว่าเสี่ยหนุ่มใหญ่นายวิชัย จะรอดตัวอย่างหวุดหวิดจากการถอนฟ้องของอัยการท้องที่ เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ แต่บริวารของเขา 4 คน ก็ถูกฟ้องร้องด้วยหลักฐานปลอม พยานเท็จ จากการปรุงแต่งของตำรวจชั่ว จนถูกศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิต และส่งตัวไปจองจำที่เรือนจำบางขวาง เสี่ยวิชัยรู้ดีว่า ลูกน้องของเขาไม่ใช่ผู้กระทำผิด จึงนำเรื่องร้องเรียนไปทางกองปราบฯ ซึ่งก็ได้ตั้งทีมงานขึ้นสืบสวนลับทันที โดยมี พ.ต.อ.อดิศัย จิตตนะพัฒนา เป็นหัวหน้าหน่วย และผู้ช่วย พ.ต.ท.นรินทร์ ธนาธรณ์ ซึ่งร่วมทำงานกับทนายสาวเพ็ญนภาอย่างใกล้ชิด ทั้งสองออกสืบสวนหาข้อเท็จจริงท่ามกลางการคุกคามอย่างลึกลับ จนได้พบความจริงว่า ผู้ต้องหา 4 คนเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะติดขั้นตอนทางกฎหมาย แพะรับบาปทั้งหมด ต้องรอความหวังจากกระบวนการยุติธรรมของศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา โดยไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัว ทุกคนจึงต้องแบกรับชะตากรรมอันเลวร้ายต่อสิ่งที่ตนเองไม่ได้ก่อขึ้น วันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2536 เวลาผ่านไปร่วม 7 ปี ศาลฎีกา ได้ยกฟ้องปล่อยตัวผู้บริสุทธิ์ทั้งหมด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับแพะทั้ง 4 คน คือสภาพครอบครัวแตกแหลกสลาย นายเฉลิมรุ่งเสียชีวิต ในคุก นายพิพัฒน์และนายธวิช ติดโรคร้ายจากเรือนจำอย่างอ่อนเปลี้ย และเสียชีวิตหลังพ้นโทษไม่นาน เหลือเพียงหนึ่งเดียว นายกระสิน นอกจากต้องต่อสู้กับความปวดร้าวในสิ่งที่เกิดขึ้นกับ ครอบครัวแล้ว เขายังต้องแบกรับความเจ็บปวดไปชั่วชีวิตจากอาการบาดเจ็บของกระดูกสันหลัง อันเป็นผลมาจากระบบการสอบสวนผู้ต้องหาของตำรวจเลว ขณะเค้นให้รับสารภาพเมื่อแรกถูกจับกุม เมื่อคดีเดิมถึงที่สุด กองปราบฯจึงสามารถรื้อฟื้นคดีขึ้นฟ้องร้องได้อีกครั้งหนึ่ง และนำไปสู่การจับผู้ต้องหาจ้างวาน น.ส.สุวิมล พงษ์พัฒน์ และติดตามไล่ล่าผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของเชอรี่แอน คือ นายสมาน ธูปชิบาการ นายสมจิต ปุญฤทธา นายสมพจน์ ปุญฤทธา นายจีระ ว่องไววิทย์ และพยานเท็จ นายประมวล พลัดโพชน์ เพื่อให้ศาลสถิตย์ยุติธรรม พิจารณาตัดสินลงโทษผู้กระทำผิดจริงจนสำเร็จ และจบด้วยข้อมูลต่างๆของผู้เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ หลังจากคดีถึงที่สุดแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่ได้สร้างในแนวสารคดี หรืออาชญนิยาย หรือละครชีวิตทั่วๆไป แต่สรรค์สร้างขึ้นโดยมีเรื่องราวและรายละเอียดของเหตุการณ์ต่างๆมาให้คุณได้สัมผัส ได้ติดตามอย่างตื่นเต้นต่อเนื่อง เร้าความรู้สึกบดขยี้อารมณ์ ฯลฯ เหตุการณ์ในภาพยนตร์ คงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นกับตนเอง แต่จะเห็นว่า ในสังคมของเราที่ทุกคนกำลังเป็นส่วนหนึ่งของมัน อาจเกิดขึ้นกับใครอีกก็ได้ หากประชาชนไม่รู้จักตื่นตัว หวงแหน และปกป้องรักษาสิทธิเสรีภาพของตนเอง ปล่อยให้คนเลวมีอำนาจ หันหลังให้กับจริยธรรมและคุณธรรม ตัวใครตัวมัน อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น!





+


ชื่อเรื่อง จุฬาตรีคูณ

ผู้แต่ง : พนมเทียน

เรื่องย่อ

"อริยวรรตผู้ทรยศของข้าฯ เอ๋ย ท่านได้มาแล้ว ยังสถานแห่งความรักนี้ มาเถิด จงมาดื่มความพิสวาสกับข้าฯ ณ ที่นี้ ด้วยรักนั้นได้ให้อภัยหมดสิ้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง" พนมเทียน นามปากกานี้ ด้วยผลงานหลากหลายประเภทของประพันธกรท่านนี้ มีมากมายอันเป็นที่รู้จักของทุกยุคทุกสมัย จวนกระทั่งวันนี้ก็ยังคงอยู่ในบรรณพิภพแห่งวงวรรณกรรมมิแปรเปลี่ยน "จุฬาตรีคูณ" จินตนิยายรักอมตะที่นักอ่านต่างซาบซึ้งตรึงจิต ทั้งพรรณนาโวหาร บรรยายโวหาร บทสนทนา และโครงเรื่องที่ดำเนินเรื่องรวดเร็ว มิอาจรั้งรอให้ "ความรัก" ระหว่าง อริยวรรต-ดารารายพิลาส นิ่งเฉยอยู่ไย แม้นว่าอนาคตกาลแห่งท้าวเธอคู่นี้ จะพบความวิบัติแห่งชีวิตด้วยความสลดใจ และไม่ว่าท้าวเธอคู่นี้ จะสู่สรวงสวรรค์ครรไลไปนานเพียงใดก็ตาม ทว่า อริยวรรต-ดารารายพิลาส ยังคงกลับฟื้นพระชนม์ชีพเสมอ สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม รู้สึกโสมนัสกระไรเลย ที่เป็นส่วนหนึ่งในการปลุก "จุฬาตรีคูณ" ศูนย์รวามแห่งแม่น้ำคงคา ยมุนา และทุกสิ่งทุกอย่างของ "อริยวรรต-ดารารายพิลาส ในปัจจุสมัยนี้ดุจเดียวกัน





เรื่องย่อ
ภายใต้ฟ้าเมืองพัทยาอันเป็นสถานที่ตากอากาศพักผ่อนหย่อนใจ และรวมไปถึงแหล่งบันเทิงเริงรมย์ ซึ่งทั่วโลกยอมรับว่าเป็นเมืองชายทะเลที่รวมไว้ด้วยความศิวิไลย์ โดยเฉพาะเมื่อยามอาทิตย์ลับผืนน้ำทะเล แสงสีเสียงและความบันเทิงหลากหลายจะประดังกันเต็มทั่วเมืองพัทยาจนสื่อต่างๆ เช่นนิตยสารชั้นนำของโลก หรือข่าวโทรทัศน์ฯ พร้อมใจขนานนามให้ว่า พัทยาสวรรค์บนดินอย่างแท้จริง

"ทิฟฟานี่" คือชื่อโชว์ "คาบาเร่" ซึ่งอยู่ภายใต้เธียเตอร์ที่ตั้งตระหง่าน ซึ่งถือได้ว่าสถานที่นี้เป็นหน้าตาของเมืองพัทยาแห่งหนึ่ง "ประเทือง" เป็นชื่อของหนุ่มใหญ่วัยห้าสิบปี คือผู้ก่อกำเนิดคนแรกของเมืองพัทยา ด้วยการโชว์ลักษณะชายจริงหญิงไม่แท้ขึ้น นางโชว์ (สาวประเภทสอง) กว่า 200 ชีวิต ทั้งหมดนี้ ต้องฝากอนาคตและชีวิตไว้กับประเทืองเกือบทุกคน ซึ่งประเทืองก็ไม่เคยทำความผิดหวังให้กับใคร ถึงแม้ว่าภาระที่ตนแบกไว้นั้นจะหนักหนาเพียงไรก็ตาม

"บนเส้นทางสีม่วง"
"สมหญิง ดาวราย" ชายจริงหญิงไม่แท้ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "กะเทย" ถูกยกย่องว่าเป็นดาวเด่นคนสำคัญของ ทิฟฟานี่ ทั้งนี้เนื่องจากสมหญิงดาวรายสูงด้วยความสามารถไม่ว่าจะเป็นด้านหน้าตาท่าทางที่สะสวย ลีลาการโชว์ในรูปแบบต่างๆ ที่ออกมาจากจิตวิญญาณ พร้อมทั้งความประพฤติที่คงไว้ด้วยความเป็นกุลสตรีในทุกด้าน สมหญิงมีเจตนารมณ์อันแน่วแน่ฝังแน่นเป็นของตัวเองว่า "ความรัก" จะไม่มีวันเกิดขึ้นกับหัวใจตนเด็ดขาด เพราะตัวอย่างของรักจากเพศที่สาม สอนให้สมหญิงได้รู้เห็นว่าไม่มีรักแท้สำหรับชีวิตเพศสีม่วง นอกเสียจากความเจ็บปวดขื่นขมและผิดหวังเพียงอย่างเดียว...ประเทืองเองแม้จะสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง ก็ยังทุรนทุรายร่ำไห้จะเป็นจะตายเพราะความรัก

"บนเส้นทางสีม่วง"
บดินทร์นักร้องหน้าม่าน เด็กหนุ่มคนนี้ที่ผละหนีจากอกประเทือง หลังจากที่ตนเองได้กอบโกยสิ่งที่ตนปรารถนาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทองหรือบ้านพร้อมที่ดิน ประเทืองยอมเสียของนอกกายดีกว่าที่จะให้หัวใจสลายไปมากกว่านี้ โดยที่ตนขอให้สมหญิงเป็นผู้หานักร้องหน้าม่านคนใหม่มาแทนบดินทร์ ซึ่งก่อนหน้านี้สมหญิงได้เจอกับบุญเติมช่างซ่อมรถ เนื่องจากตนได้เอารถไปซ่อมและได้เห็นว่าบุญเติมนั้นเป็นนักศึกษาและอาศัยเวลาว่างมาทำงาน สมหญิงจึงมีความเห็นว่า บุญเติมน่าที่จะเป็นตัวแทนของบดินทร์ได้

"บนเส้นทางสีม่วง"
บุญเติม ได้ทำหน้าที่เป็นนักร้องหน้าม่านให้แก่ทิฟฟานี่ได้อย่างสมใจทุกคน โดยเฉพาะสมหญิง บดินทร์เมื่อรู้ว่ามีคนใหม่เข้ามาแทนตน จึงอาละวาดด่าทอแม้กระทั่งกับประเทือง ก่อนที่จะพ้นหน้าที่การงานไปจากทิฟฟานี่ ขณะเดียวกันบุญเติมก็ได้รู้ว่าสมหญิงมีเพื่อนสนิทคือวรวิทย์ (เกย์) และวรวิทย์เป็นเพียงผู้เดียวที่รู้ว่าสมหญิงคือลูกชายอดีตรัฐมนตรี ส่วนภรรยาป่วยอยู่มีลูกสาวชื่ออรทัย คือน้องสาวของสมหญิงนั่นเองเป็นผู้ดูแลอยู่

วรวิทย์มีเพื่อนคู่เกย์ชื่อธนาชัย ทั้งคู่อยู่กินด้วยกันในลักษณะของคู่ผัวตัวเมีย ซึ่งสุดท้ายทั้งสี่คนซึ่งประกอบด้วยสมหญิง, บุญเติม, วรวิทย์และธนาชัย จึงเปรียบเสมือนเพื่อนแท้กลุ่มเดียวกัน บุญเติมนั้นอยู่ในฐานะที่ลำบากกว่าทุกคน แต่สมหญิงก็ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือทุกอย่าง จนถึงขนาดประเทืองและเพื่อนร่วมงานซุบซิบกันทำนองว่า สมหญิงนั้นเขื่อนที่กั้นหัวใจพังทลายเพราะบุญเติม

เมื่อสมหญิงมาเยี่ยมแม่ที่บ้านเพราะอรทัยน้องสาวส่งข่าวว่าแม่ป่วยหนักถึงขนาดพูดไม่ได้แต่สุดท้ายสมหญิงก็ร้องไห้ออกจากบ้านด้วยความแค้นใจ ทั้งนี้เพราะอดีตรัฐมนตรีไม่ยอมรับสมหญิงเป็นสายเลือดของตัว เนื่องจากสมหญิงเป็นชายแต่หัวใจเป็นหญิงนั่นเอง เมื่อเสียใจก็คงมีแต่บุญเติมกับอรทัยเท่านั้นที่คอยปลอบและให้กำลังใจ ครั้งจะหันไปหาวรวิทย์เพื่อนรักก็มีอันต้องเป็นไปด้วยความเศร้าอีกราย วรวิทย์จับได้ว่าธนาชัยปันใจให้ชายอื่น ความหึงหวงที่เห็นภาพบาดตาบาดความรู้สึกทำให้วรวิทย์ขาดความยั้งคิด ธนาชัยตายคาห้องพักที่ทั้งคู่เคยมีความสุขอยู่ด้วยกันด้วยน้ำมือของวรวิทย์ เท่านั้นยังไม่พอแม่อันเป็นที่รักและจุดยึดเหนี่ยวของจิตใจสมหญิงก็มีอันต้องพรากจากไปเสียอีก เพราะโรคหัวใจและมะเร็งที่กล่องเสียง และนั้นคือวันแห่งความหมองเศร้าที่สุดของชีวิตสมหญิง

แหล่งพักพิงหัวใจที่บอบช้ำของสมหญิงคงอยู่ที่บุญเติมเรื่อยมา จนสุดท้ายสมหญิงก็แบ่งแยกไม่ออกว่าหัวใจตัวนั้นรักบุญเติมมากน้อยแค่ไหน วันเวลายิ่งทำให้บุญเติมกับสมหญิงคือเงาตามตัวกัน...แต่แทนที่เพื่อนๆ นางโชว์จะดีใจไปกับสมหญิง ทุกคนกลับให้ความเป็นห่วงโดยเฉพาะประเทืองยิ่งเป็นมากกว่าทุกคน จากสมหญิงที่เคยร่าเริงคบหาสมาคมกับเพื่อนๆ กลายเป็นสมหญิงที่เฝ้านับเวลานับวันเมื่อบุญเติมต้องไปเรียนหรือไปค้างกับเพื่อนๆ นักศึกษาที่กรุงเทพฯ

"บนเส้นทางสีม่วง"
วันนั้น...แม้ว่าสมหญิงจะภาวนาให้มันเป็นเพียงฝันร้าย แต่มันก็คือความจริงเพราะต่อหน้าสมหญิง อรทัยกับบุญเติมเกี่ยวก้อยกันมาสารภาพกับเธอว่า ทั้งสองมีความรักแท้ต่อกันและต้องการที่จะเดินทางไปเรียนหนังสือที่เมืองนอกด้วยกัน...สมหญิง ดาวราย รับความจริงด้วยความร้าวสุดหัวใจและเธอจะมีชีวิตอยู่ในโลกซีกมืดนี้ต่อไปได้อย่างไร.

+


มหา'ลัย เหมืองแร่ เป็นภาพยนตร์ไทยที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2548 เขียนบทและกำกับโดย จิระ มะลิกุล จากหนังสือรวมเรื่องสั้น ชุด เหมืองแร่ ของอาจินต์ ปัญจพรรค์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้งบประมาณสร้างสูงถึง 70 ล้านบาท แต่ล้มเหลวด้านรายได้ ฉาย 10 วันได้รายได้เพียง 19 ล้านบาท

เรื่องย่อ

พ.ศ. 2492 อาจินต์ ปัญจพรรค์ วัย 22 ปี นักศึกษาชั้นปีที่สองจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถูกรีไทร์ออกจากมหาวิทยาลัย เขาเดินทางไปภาคใต้ อาศัยรถขนหมูจากภูเก็ต มุ่งหน้าไปทำงานที่เหมืองกระโสม ตำบลกระโสม อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา หลังจากได้พบและสัมภาษณ์งานกับ นายฝรั่ง (Anthony Howard Gould) เขาได้ฝึกงาน ติดตามนายฝรั่ง และทำงานใช้แรงงานแทนคนงานของเรือขุดสายแร่ดีบุก ณ ที่นี้ จากชีวิตนักศึกษาชั้นปี 2 จากมหาวิทยาลัยดัง ชีวิตปี 1 ใน มหา'ลัย เหมืองแร่ ได้เริ่มขึ้นแล้ว...





คนเลี้ยงช้าง ภาพยนตร์ไทยที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2533 กำกับโดยหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม รางวัลสุพรรณหงส์ ประจำปี พ.ศ. 2534

เพลงประกอบภาพยนตร์ ชื่อเพลง "พิทักษ์ป่า" ขับร้องโดยแอ๊ด คาราบาว ที่เป็นนักแสดงรับเชิญในเรื่อง และเพลง "สร้างไพร" แต่งและขับร้องโดยสุรชัย จันทิมาธร

เรื่องย่อ

คนเลี้ยงช้าง เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของ บุญส่ง (สรพงศ์ ชาตรี) เจ้าของช้างแสนรู้ชื่อ แตงอ่อน ที่ถูกความจำเป็นบังคับให้ทำงานรับจ้างเสี่ยฮก (บู๊ วิบูลย์นันท์) ชักลากไม้เถื่อนออกจากป่าห้วยนางนอน อำเภอพนาไพร ภาพยนตร์เล่าเรื่องราวผ่านคำบอกเล่าของ ชัย (อิทธิสุนทร วิชัยลักษณ์) เจ้าหน้าที่ป่าไม้จบใหม่ ที่เพิ่งเข้ามาเป็นผู้ช่วยของ คำรณ (รณ ฤทธิชัย) เจ้าหน้าที่ป่าไม้อาวุโส ที่อุทิศตนเพื่อปกป้องผืนป่า ปราบปรามพวกลักลอบทำไม้เถื่อนอย่างจริงจัง

การปราบปรามของคำรณสร้างความเดือดร้อนให้กับธุรกิจของเสี่ยฮก จึงถูกจ่าสม (สมศักดิ์ ชัยสงคราม) ตำรวจชั่วลูกน้องของเสี่ยฮก หมายเอาชีวิต พร้อมกับตามล่าตัวบุญส่งและครอบครัว แตงอ่อนได้เอาตัวเข้าปกป้องจนถูกกระสุนปืนกลอาการสาหัส แตงอ่อนตามเอาชีวิตจ่าสม และกลายเป็นช้างป่าคอยตามล่าพวกลักลอบตัดไม้ จนกลายเป็นตำนานกล่าวขานคู่กับป่าห้วยนางนอน ที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์เพราะไม่มีใครกล้าเข้ามาตัดไม้อีกต่อไป


+


รัก-ออกแบบไม่ได้ หรือ O-Negative เป็นภาพยนตร์ไทยที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2541 กำกับการแสดงโดยภิญโญ รู้ธรรม จากบทภาพยนตร์ของวาณิช จรุงกิจอนันต์ และยุทธนา มุกดาสนิท เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ นักศึกษาคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

ปริม (ทาทา ยัง), อาร์ท (เรย์ แม็คโดนัลด์), ปืน (ชาคริต แย้มนาม), ฝุ่น (มนัสวี กฤตานุกูลย์) และ ชมพู่ (ศรีพรรณ ชื่นชมบูรณ์) เป็นเพื่อนสนิทที่อยู่ในกลุ่มที่เรียกชื่อว่า โอเนกาทีฟ เนื่องจากสมาชิกในกลุ่มทั้งห้าคน ต่างมีหมู่เลือดกรุ๊ป O Rh ลบ เหมือนกัน

เรื่องย่อ

หนังเล่าเกี่ยวกับความรักระหว่างเพื่อนในกลุ่ม ทั้งแบบความรักแบบเพื่อน และความรักแบบหนุ่มสาว การพัฒนาความสัมพันธ์จากเพื่อน ไปเป็นคนรัก

คำวิจารณ์
นิตยสารมูวี่ไทม์ วิจารณ์ไว้ว่า "รัก-ออกแบบไม่ได้ ถือเป็นหนังไทยที่ทำออกมาดี ไม่ได้มีเรื่องราวแปลกใหม่อะไร แต่หนังนำเสนอออกมาได้อย่างน่าสนใจ ดึงความสนใจได้ตั้งแต่ต้นจนจบ

รางวัล
รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ประจำปี พ.ศ. 2541
บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม
กำกับภาพยอดเยี่ยม
รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 9 ประจำปี พ.ศ. 2542
ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
ผู้กำกับยอดเยี่ยม - ภิญโญ รู้ธรรม
นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม - เรย์ แมคโดนัลด์ (ชาคริต แย้มนาม ก็เข้าชิงในสาขาเดียวกัน)
นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม - ทาทา ยัง (มนัสวี กฤตานุกูลย์ เข้าชิงในสาขาเดียวกัน)
นักแสดงประกอบชายยอดเยี่ยม- คมสัน นันทจิต
นักแสดงประกอบหญิงยอดเยี่ยม - เพ็ญพักตร์ ศิริกุล (เข้าชิง), ศรีพรรณ ชื่นชมบูรณ์ (เข้าชิง)
บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
รางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง ครั้งที่ 7 ประจำปี พ.ศ. 2541
ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม - เรย์ แมคโดนัลด์
นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม - ทาทา ยัง
นักแสดงประกอบหญิงยอดเยี่ยม - ศรีพรรณ ชื่นชมบูรณ์




เรื่องย่อ

สตางค์นำเค้าโครงเรื่องมาจาก เรื่องอิงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์จริง ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างนั้นประเทศไทยได้รับการช่วยเหลือจากญี่ปุ่น ให้พิมพ์ธนบัตรใหม่ในโรงพิมพ์ธนบัตรที่ชวา ระหว่างธนบัตรถูกขนย้ายมายังประเทศไทย ธนบัตรจำนวนหนึ่งถูกปล้นหายไป ให้รัฐบาลสมัยนั้น ตัดสินใจไม่นำธนบัตรส่วนที่เหลือมาใช้

เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง แม้ว่าบ้านเมืองเข้าภาวะปกติ แต่ก็เกิดสภาพข้าวยากหมายแพง และขาดธนบัตร รัฐบาลจึงต้องนำธนบัตรชุดที่มีปัญหาออกใช้ ทองย้อย(วีรชัย หัตถโกวิท) คนร้ายร่วมปล้นธนบัตรซึ่งรอดชีวิตมาได้ และนำธนบัตรที่ปล้นได้ไปซ่อนไว้ ในท้องแพชลประทานร้าง หลังหนึ่ง ถูกพยนต์(นก ฉัตรชัย) พร้อมด้วย โชติ(โอริเวอร์ บีเวอร์) และบุญมา (เบลล์ รัฐพงศ์) ทหารคนสนิทตามล่าหาที่ซ่อนธนบัตร และหมายที่ฆ่าทองย้อย

ทองย้อยจึงหนีมาซ่อนตัวในตรอกโรงแจ ริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง ทำให้ข่าวเกี่ยวกับ ที่ซ่อนธนบัตรแพร่กระจายถึงชาวตรอกโรงเจจำนวนหนึ่ง ที่ต่างก็ได้รับเคราะห์กรรม จากสงครามกันในรูปแบบต่างๆ บรรดาชาวตรอกโรงเจเหล่านี้ และ เที่ยงแท้ (มีศักดิ์ นาครัตน์) คหบดีหน้าเลือดเจ้าของตรอก กับ บุรี ลูกสมุนคนสนิท จึงได้ว่าจ้างและอาศัยเรือของ พร้อม( สันติสุข พรหมศิริ) กับเมียสาว (กัญญารัตน์ บ่อสันเที๊ยะ) พร้อม หนูแดง ลูกสาวเพียงคนเดียว โดยมีทองย้อยเป็นผู้นำทางออกตามหาแพชลประทานที่ซ่อนธนบัตรทันที ขณะเดียวกันนั้น พวกของพยนต์ โชติ และบุญมาแอบตามล่าทองย้อยและติดตาชาวตรอกโรงเจที่ล่องเรือเช่นกัน

การเดินทางเต็มไปด้วยความยากลำบาก การผจญภัย และความขัดแย้งระหว่างกัน หลายคนเปิดเผยธาตุแท้ และหลายคน ค้นพบและเรียนรู้ว่า บางทีแม้เงินจะเป็นสุดยอดปรารถนา แต่การมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขได้ ก็น่าจะเพียงพอแล้ว แพร้างถูกตามจนเจอ แต่สิ่งที่หลายคนได้กลับไปมีคุณค่ากว่าเงินที่พวกเขาตามหา

ผู้กำกับ บัณฑิต ฤทธิ์ถกล
นักแสดง
เจษฎาภรณ์ ผลดี เป็น ระบือ
พัสสน ศรินทุ เป็น ตรอง
เข็มอัปสร สิริสุขะ เป็น ปราณี
เฌอมาลย์ บุญยะศักดิ์ เป็น รัมภา
ฉัตรชัย เปล่งพานิช เป็น พยนต์
ศรัญญู วงศ์กระจ่างเป็น โรจน์
จินตหรา สุขพัฒน์ เป็น ขวัญตา
สันติสุข พรหมศิริ เป็น พร้อม
สรพงศ์ ชาตรี เป็น จ่อน
สะอาด เปี่ยมพงษ์สานต์ เป็น เฉลิมฤทธิ์
วัชระ ปานเอี่ยม เป็น ไศล
ชนประคัลภ์ จันทร์เรือง เป็น ครูแรม
วีระชัย หัตถโกวิทเป็น ทองย้อย ฯลฯ




ไผ่แดง เป็นนวนิยายแนวเสียดสีสังคม บทประพันธ์ดัดแปลงหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ในปี พ.ศ. 2497 โดยได้รับการตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ เป็นตอน ๆ จนจบ และต่อมาได้นำมาตีพิมพ์รวมเล่มอีกมากกว่า 18 ครั้ง และได้รับการแปลเป็นภาษาต่างประเทศมากกว่า 9 ภาษา เช่น ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น เวียดนาม พม่า เป็นต้น

ไผ่แดงดัดแปลงจากหนังสือชื่อ โลกใบเล็กของหลวงพ่อดอน คามิลโล (The Little World of Don Camillo) แต่งโดย โจวานนี กวาเรสกิ ตีพิมพ์ครั้งแรกเป็นภาษาอิตาลีเมื่อ พ.ศ. 2491

ไผ่แดงเป็นนวนิยายในแนวเสียดสีสังคมและการเมืองในสมัยที่การใช้นโยบายต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ในสมัยนั้น โดยที่ท่านผู้ดัดแปลงบทประพันธ์ได้ชี้ให้เห็นถึงความขัดแย้ง ปฏิกิริยาระหว่างกลุ่มคนต่าง ๆ ในลัทธิใหม่และลัทธิเก่า อุดมการณ์ทางการเมือง โดยรัฐบาลใช้นโยบายต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างสับสนอลหม่าน โดยที่มีคำสั่งแปลก ๆ และพิศดารจากฝ่ายรัฐให้ประชาชนปฏิบัติ โดยที่ประชาชนเองยังไม่มีความรับรู้และเข้าใจในความหมายของคำว่า "คอมมิวนิสต์" เลยโดยเฉพาะในสังคมชนบทที่ห่างไกลจากแหล่งความรู้คือเมืองหลวงในสมัยนั้น

ตัวละครเอกของเรื่องนี้คือ

"สมภารกร่าง" เจ้าอาวาสที่เป็นตัวตนและยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏร
"แกว่น แก่นกำจร" ผู้คลั่งไคล้ลัทธิคอมมิวนิสต์ว่าเป็นของใหม่ที่จะมาช่วยให้เกิดความเสมอภาคในสังคม (โดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่ได้เข้าใจในความหมายที่แท้จริงนัก) และ
"หลวงพ่อพระประธาน" ซึ่งท่านผู้ประพันธ์สื่อความหมายถึงส่วนลึกภายในจิตของสมภารกร่างที่มีความเป็นพุทธ กลายเป็นบุคคลที่มีสองบุคลิก คือบุคลิกหนึ่งอยู่ในโลกของความเป็นจริง ในสังคมที่มีความสับสนวุ่นวาย และในอีกบุคลิกหนึ่งที่เป็นผู้บำเพ็ญธรรม ไม่หมกมุ่นอยู่กับโลก โดยในบทประพันธ์ได้เสนอในลักษณะการเจรจากันระหว่าง "สมภารกร่าง" กับ "หลวงพ่อพระประธาน" ในโบสถ์ จึงเป็นเสมือนการตอบโต้ภายในจิตของคนคนเดียว โดยที่ไม่มีผู้อื่นล่วงรู้


+


เงาะป่า ผู้แต่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประวัติผู้แต่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็น พระราชโอรส ใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จ พระเทพศิรินทราบรมราชินี ประสูติ เมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 ตรงกับ วันอังคาร เดือน 10 แรม 3 ค่ำ ปีฉลู ณ พระตำหนัก ตึกด้านหลัง องค์พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ทรงมีพระนามเดิมว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยา-เธอ เจ้าฟ้า จุฬาลงกรณ์ ครั้นมีพรชนมายุ 15 พรรษา ทรงได้รับเลื่อนขึ้นเป็น กรมขุนพินิจประชานาถ ต่อมา เมื่อพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สวรรคต สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิจประชานาถ จึง ได้เสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ สืบต่อจาก สมเด็จพระบรมชนกนาถ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2411 ขณะนั้น พระองค์ ทรงมี พระชนมายุ ย่างเข้า 16 พรรษา นับเป็น พระมหากษัตริย์องค์ที่ 5 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงพระนามว่าพระบาทสมเด็จ พระปรมินทร มหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

เรื่องย่อ
คนัง เป็นเงาะป่า อาศัยอยู่ในป่าจังหวัดพัทลุง คนังเป็นเพื่อนกับไม้ไผ่ วันหนึ่งคนังได้ไปชวนไม้ไผ่ออกไปเที่ยวที่ป่าไปเป่านก หาเผือกหามันตามประสาเงาะป่า ในขณะที่คนังกับไม้ไผ่ปิ้งเผือกอยู่นั้น ซมพลาก็บังเอิญมาเจอเด็กทั้งสองคนพอดีจึงล้อมวงมาคุยกัน ซมพลาถามถึงลำหับซึ่ง เป็นพี่สาวของไม้ไผ่ ถึงเรื่องการสู่ขอฮเนาว่าบัดนี้ลำหับคิดอย่างไรบ้าง เพราะซมพลาก็ได้หลงรักลำหับมานานแล้ว ฝ่ายไม้ไผ่ก็ไม่ค่อยชอบฮเนา ไม้ไผ่มีความตั้งใจให้ลำหับพี่สาวของตนได้แต่งงานกับซมพลา ซมพลาได้ฝากดอกไม้กับเล็บเสือให้กับไม้ไผ่นำไปให้กับลำหับแล้ว ฝากข้อความในใจของตนแก่นาง ฝ่ายนางลำหับได้ฟังที่ไม้ใผ่บอกมานั้น ก็นึกหวาดหวั่นในใจ และไม่คิดจะตอบโต้ไป เช้าวันหนึ่งไม้ไผ่ได้ชวนลำหับไปเก็บดอกไม้ในป่า(ตามแผนซมพลา)พอดีที่เก็บดอกไม้มานั้นกิ่งไม้ไผ่โน้มลงมา มีงูตัวหนึ่งรัดแขนของนางลำหับไว้ นางลำหับตกใจก็เลยสลบไป ส่วนซมพลาที่แอบสุ่มดูก็รีบวิ่งเข้ามาช่วยซมพลาได้ฆ่างู และเข้ามาประคองลำหับดูว่าไม่มีรอยกัดจึงโล่งใจ เมื่อลำหับฟื้นขึ้นมาก็ตกใจเพราะว่าซมพลาได้กอดตนอยู่ นางเลยถอยออกมา ซมพลาถามถึงอาการและมีประโยคสุดซึ้งว่า"หากเจ้าตายไป พี่นี้จักตายตาม"ลำหับบอกว่าไม่เป็นไรและได้กล่าวขอบคุณ


ซมพลาที่ได้ช่วยตนไว้ และจะตอบแทนบุญคุณจนกว่าชีวิตจะหาไม่ การแต่งงานของฮเนากับลำหับที่ฝ่ายผู้ใหญ่ของฮเนาก็ได้ตระเตรียมงานไว้ งานแต่งก็มีขึ้นที่ต้นตะเคียนขบวนขันหมากของเจ้าบ่าวเคลื่อนสู่ที่จะทำงานวิวาห์ นางลำหับยังคงนั่งอยู่ในห้องก็ร้อนรนใจ สงสารฮเนาที่มารับตนลำหับไม่ได้รักฮเนาแต่ก็ไม่ได้รังเกลียด นึกถึงซมพลาที่ถูกเนื้อต้องตัวก็เหมือนเป็นสามีก็ร้องให้เสียใจ ฝ่ายไม้ไผ่ก็เห็นคนทั้งบ้านวุ่นวายเรื่องการแต่งงาน ก็นำข่าวไปบอกซมพลา ซมพลาได้ฝากไม้ไผ่มาบอกแก่ลำหับว่าจะพาลำหับหนี เมื่อได้ฟังอย่างนั้นลำหับก็โล่งใจ จัดการแต่งตัวเพื่อร่วมงานวิวาห์ แล้วขบวนสาวก็มาถึงลานใต้ต้นตะเคียนและเริ่มทำพิธีแต่งงาน การแต่งงานที่สมบูรณ์นั้นต้องเข้าป่ากัน ๗ วัน ๗ คืน ฮเนาและลำหับจึงเข้าไปในป่าฮเนาเข้าไปใกล้ลำหับ ลำหับตกใจร้องกรี๊ด อ้ายแคก็ซุ่มอยู่ก็เอาหินขว้างฮเนา ฮเนาโกรธแค้นจึงให้ลำหับ รออยู่ ส่วนตนจะออกตามคนที่ขว้างหินใส่ เมื่อฮเนาเดินพ้นไปนั้น ชมพลาได้เข้ามาบอกลำหับว่าจะหนีแล้วก็อุ้มนางไป ด้านฮเนาหาคนขว้างไม่เจอ จึงสังหรณ์ใจกลับมาหาลำหับ แต่ก็ไม่พบ จึงเรียกหาทั่วป่าทั้งคืนจนถึงเช้าก็กลับบ้านซมพลาได้พาลำหับมาอยู่ที่ถ้ำลึกในป่า มีความสัมพันธ์กันลึกซึ้ง เพราะซมพลารักลำหับมาก ส่วนลำหับก็รักซมพลามากเช่นกันซมพลาออกมาหาเสบียงอาหารเพราะที่มีอยู่ใกล้หมดแล้วลำหับห้ามไม่ให้ไปเพราะกลัวมีอันตรายดั่งที่ซมพลาฝันในคืนที่ผ่านมา แต่ซมพลาก็หาฟังคำของนางไม่เดินทางไปหาอาหารทิ้งลำหับไว้เบื้องหลัง ด้านฮเนาก็กลับไปเล่าให้ผู้ใหญ่ฟังเมื่อทุกอย่างได้กระจ่างแล้ว ก็ลงความเห็นว่าซมพลาเป็นคนลักพาตัวนางไป ฮเนาพร้อมรำแก้ว ปองสองและปองสุดจึงออกตามหา จนไปพบซมพลระหว่างจะกลับถ้ำ เกิดต่อสู้กันเพราะฮเนาเข้าใจว่า ซมพลาลักพาตัวนางลำหับไป รำแก้วได้ทีเห็นฮเนาออกห่างซมพลาก็เลยเป่าลูกดอกอาบยาพิษไปโดนหน้าผากซมพลาเข้า ซมพลาเดินโซซัดโซเซไปเจอลำหับที่เดินตามหาด้วยความเป็นห่วง ซมพลาใกล้จะตายจึงสั่งลาลำหับ ลำหับยิ่งเสียใจไปกันใหญ่คว้ามีดที่อยู่ในมือซมพลาแทงซอกคอตัวเองตาย ฮเนาเห็นเหตุการณ์และได้ฟังคำพูดทุกอย่างที่ซมพลาร่ำลานางลำหับ ปรากฏว่าตนเองเข้าใจผิดหมด ที่จริงลำหับหนีมากับซมพลาเองฮเนารักนางลำหับอย่างไม่มีใครแทนที่ได้ จึงใช้มีดแทงตนเองตาย ทั้งสามตายเคียงกันรำแก้วและปองสองปองสุดต่างพากันกล่าวสรรเสริญความรักขอทั้งสามคน และขุดหลุมฝังทั้งสาม และโปรยดอกไม้ด้วยความอาลัย


+


เรื่องย่อ

ร้อยตรีพร้อม (ชลิต) นายทหารหนุ่มย้ายมารับราชการที่เชียงใหม่ เกิดรักใคร่กับ เครือฟ้า (วิไลวรรณ) หญิงช่างฟ้อนชาวเชียงใหม่ ได้เป็นสามีภรรยากันจนให้กำเนิดบุตรชื่อ เครือณรงค์ ต่อมาร้อยตรีพร้อมได้คำสั่งย้ายกลับกรุงเทพฯ ถูกผู้ใหญ่บังคับให้แต่งงานกับสาวกรุงเทพฯ

ฝ่ายเครือฟ้าเฝ้ารอสามี เมื่อได้ข่าวว่าสามีเดินทางมาเชียงใหม่ ก็ไปคอยต้อนรับด้วยความดีใจ เมื่อพบว่าร้อยตรีพร้อมแต่งงานแล้ว พร้อมกับพาภรรยามาด้วย เครือฟ้าเสียใจมาก จึงใช้มีดแทงตัวตาย ด้วยหัวใจที่แตกสลาย




อังศุมาลิน ชลาสินธุ์ นิสิตสาวคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกิดและเติบโตมาท่ามกลางความรักและความอบอุ่นของ แม่อร และยาย ที่บ้านริมคลองบางกอกน้อย พ่อของอังศุมาลินเป็นอดีตทหารเรือ ชื่อ หลวงชลาสินธุราช อังศุมาลินมีเพื่อนชายที่รู้ใจและสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก ชื่อ วนัส นิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเดียวกัน ที่ในใจลึก ๆ ของเขาแอบรักอังมากกว่าน้องสาว แต่เธอคิดว่ายังไม่พร้อมที่จะมีความรัก จนวนัสเดินทางไปเรียนต่อที่อังกฤษ อังศุมาลินกับครอบครัวมีโอกาสได้รู้จักสนิทสนมกับ หมอโยชิ หมอทหารชาวญี่ปุ่นผู้แสนใจดีและเป็นมิตร หมอโยชิเอ็นดูอังศุมาลินจนเสนอตัวสอนภาษาญี่ปุ่นให้เธอด้วยความเต็มใจ

แล้วอังศุมาลินก็ได้พบกับ โกโบริ ขณะที่เธอว่ายน้ำไปแอบดูอู่เรือของทหารญี่ปุ่นที่มาตั้งรกรากอยู่ใกล้ ๆ สวนบ้านเธอ โกโบริเป็นนายช่างใหญ่ประจำอู่ เขากล่าวทักทายอังศุมาลินอย่างเป็นมิตร แต่อังศุมาลินไม่พูดด้วย เพราะอคติกับคนญี่ปุ่น โดยเฉพาะทหารโกโบริก็เริ่มแสดงไมตรีกับครอบครัวอังศุมาลิน โดยใช้ให้ทหารลูกน้องส่งข้าวของผลไม้สำหรับคนป่วยมาให้ยายของอังศุมาลิน พาหมอมาดูอาการยาย จนทำให้ทั้งแม่กับยายเริ่มเอ็นดูและมองเห็นถึงน้ำใจไมตรีของโกโบริ และเรียกโกโบริว่า "พ่อดอกมะลิ" ขณะที่อังศุมาลิน ก็ยังอคติกับเขาอย่างเดิม

สัญญาณระเบิดดังขึ้น ในคืนที่อังศุมาลินอยู่บ้านคนเดียว โกโบริซึ่งแวะมาหาพอดี เลยมีโอกาสได้ช่วยเหลือพาอังศุมาลินไปหลบภัยที่ท้ายสวน ทั้งคู่วิ่งฝ่ากระสุน โกโบริกอดอังศุมาลินวิ่งเอาตัวเป็นกำบังให้ และพาอังศุมาลินไปหลบในท้องร่องและกอดอังไว้แน่น ระเบิดก็ลงใกล้ ๆ จุดนั้น โกโบริยอมเสี่ยงชีวิตเจ็บตัวแทนอังศุมาลิน และก่อนที่เขาจะหมดสติไป โกโบริก็บอกรักอังศุมาลิน แม้ลึก ๆ แล้วเธอจะรัก แต่เพราะโกโบริเป็นชาวญี่ปุ่น เป็นศัตรูที่เข้ามากร้ำกรายบ้านเกิดเมืองนอนของเธอ อังศุมาลิน จึงปฏิเสธโกโบริอย่างไม่ใยดี โกโบริมาขอโทษอังศุมาลิน ที่เรื่องของเขากับเธอกลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต และมีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ทุกอย่างบีบคั้น

จนในที่สุด อังศุมาลิน ก็จำต้องจำยอมแต่งงานกับโกโบริด้วยเหตุผลทางการเมือง ความสุภาพแสนดีของโกโบริ เริ่มทำให้อังศุมาลิน เริ่มมองเขาในแง่ดีมากขึ้นทีละนิด จนคืนหนึ่งขณะที่เธอมายืนนึกถึงสัญญาที่เคยให้ไว้กับวนัสที่ใต้ต้นลำพู โกโบริก็มาเจอ อังศุมาลินจึงสารภาพกับโกโบริว่าเธอมีคนที่เธอรออยู่แล้ว คือ วนัส โกโบริเสียใจแต่ไม่แสดงออก แต่อังศุมาลินกลับเป็นฝ่ายรู้สึกว่าตัวเองได้ทำร้ายจิตใจของโกโบริ เธอเห็นใจและสงสารโกโบริจับใจโกโบริมุงานหนัก นอนที่อู่เรือไม่ยอมกลับบ้าน พร้อมกับทำเรื่องขอย้ายไปประจำที่พม่า เพราะสถานการณ์ที่พม่ากำลังวุ่นวาย เขาไม่ต้องการได้ชื่อว่าเป็นทหารที่เลือกแต่งานสบาย แต่หมอโยชิรู้ดีว่าโกโบริมีเหตุผลมากกว่านั้น เพราะสังเกตเห็นว่าโกโบริกับอังศุมาลินมีปัญหาไม่เข้าใจกัน

หมอโยชิจึงพยายามเข้ามาประสานความสัมพันธ์ของทั้งคู่ แต่ก็ไม่เป็นผลแล้วคืนหนึ่ง วนัสก็แอบมาพบกับอังศุมาลิน วนัสเปิดเผยว่าตนเป็นเสรีไทย วนัสรู้เรื่องอังศุมาลินดีทุกอย่าง เขารู้ดีว่าอังศุมาลิน กำลังสับสนใจระหว่างโกโบริกับเขา จึงให้อิสระอังศุมาลิน ได้เลือกคนที่เธอรัก พร้อมกับฝากให้อังศุมาลินบอกโกโบริด้วยว่า อย่าไปสถานีรถไฟบางกอกน้อยตอนมีระเบิดลง อังศุมาลินซึ้งใจกับความเป็นสุภาพบุรุษของวนัส เมื่อระเบิดลงชุดใหญ่ทำให้อังศุมาลินกลัวว่าโกโบริจะเป็นอันตราย จึงรีบตามไปบางกอกน้อยโดยไม่สนคำทัดทานของใครเมื่อไปถึงปรากฏว่าสถานีรถไฟบางกอกน้อยโดนถล่ม ทหารนอนตาย บาดเจ็บมากมาย อังศุมาลินเจอหมอโยชิ ซึ่งก็กำลังตามหาโกโบริอยู่เหมือนกัน

อังศุมาลินขอพรลูกในท้องให้ช่วยคุ้มครองโกโบริ อังศุมาลินเดินตามหาโกโบริอย่างรุ่มร้อนใจ จนในที่สุดอังศุมาลินก็พบโกโบรินอนบาดเจ็บ อาการสาหัส อังศุมาลิน ไม่ยอมให้โกโบริจากเธอไป แต่โกโบริรู้ตัวดีว่าเขาคงไม่รอด จึงฝากให้อังศุมาลินช่วยดูแลลูกแทนเขาด้วย อังศุมาลินบอกรักโกโบริก่อนที่เขาจะสิ้นลมบนตักอังศุมาลิน นั่นเอง จบที่งานศพของโกโบริ ทุกคนร่ำไห้เสียใจ อังศุมาลินให้สัญญาต่อหน้าศพโกโบริว่า เธอจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อลูก และจะดูแลลูกให้ดีที่สุดเพื่อ โกโบริ ชายที่เธอรักสุดหัวใจ




เรื่องย่อ สะพานรักสารสิน :


ธำรงค์เป็นบุตรบุญธรรมของทอง ธำรงค์มีอาชีพขับรถสองแถวและรับจ้างกรีดยาง ธำมีเพื่อนสนิทชื่อ"ไข่" ทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อให้ธำกับอิ๋ว อิ๋วเป็นนักศึกษาวิทยาลัยครู อาศัยอยู่กับพ่อและน้องชายชื่อ"เป้ง" พ่อเลี้ยงอิ๋วแบบเผด็จการไม่ให้อิสระ พ่อต้องการให้อิ๋วแต่งงานกับคนมีฐานะ อิ๋วรู้และไม่ยอมจึงแอบหนีมาหาธำ แล้วหนีไปอยู่ที่เกาะชาวเล ธำถูกจับข้อหาพรากผู้เยาว์ ธำมาหาอิ๋วแล้วทั้งสองก็ออกมาด้วยกัน ทั้งสองเดินมาถึงสะพาน ทั้งคูตัดสินใจเอาผ้าขาวม้าผูกมัดตัวทั้งสองติดกัน แล้วร่างทั้งสองก็หลุดหล่นลงจากสะพานไปตามใจปรารถนา


+


สวัสดี คุณครูเภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกของ จารุณี สุขสวัสดิ์ เป็นหนังที่พูดถึงบทบาทครูกับนักเรียน นำแสดงโดย จารุณี สุขสวัสดิ์ สุเชาว์ พงษ์วิไล , กาญจนา บุญประเสริฐ , ยิ่งใหญ่ อายะนันท์ , ภิญโญ ปานนุ้ย

รายการแกะกล่องหนังไทย วันเสาร์นี้ พบกับภาพยนตร์เรื่อง "สวัสดีคุณครู" นำแสดงโดยจารุณี สุขสวัสดิ์ , สุเชาว์ พงษ์วิไล, กาญจนา บุญประเสริฐ , ยิ่งใหญ่ อายะนันท์ , ภิญโญ ปานนุ้ย ภาพยนตร์ไทยแสดงให้เห็นถึงความรักความเสียสละของครูที่มีต่อลูกศิษย์ และเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกของ จารุณี สุขสวัสดิ์

เรื่อง ราวของครูทิม (สุเชาว์) ผู้ปลูกฝังสั่งสอนคุณความงามดีให้แก่ลูกศิษย์โดยไม่หวังผลตอบแทน หากศิษย์คนไหนมีเรื่องเดือดร้อนใจ ครูก็พร้อมที่จะเป็นที่พักพิงยามยาก และพร้อมดูแลลูกศิษย์ทุกคนด้วยความรักและเข้าใจ


เรื่องย่อ
เทพนม (สมบูรณ์ สุขีนัย) ลูกเจ้าของโรงเรียนช่างก่อสร้าง เป็นเด็กเกเรเพราะพ่อแม่หย่าร้าง จึงประชดชีวิตด้วยการกรรโชกทรัพย์แม่ของชิต (ภิญโญ ปานนุ้ย) เข้าป้องกันแม่ของตน และชกเทพนมสลบทำให้ทั้งสองได้รู้จักกัน เทพนมช่วยจ่ายค่าเช่าบ้านให้ชิต ทำให้ชิตซึ้งในบุญคุณ แล้วชิตก็พาเทพนมไปรู้จักกับเพื่อนกลุ่มที่เกเรที่สุดของโรงเรียน ที่จะถูกกำราบโดย ครูทิม (สุเชาว์ พงษ์วิไล) คุณครูคนใหม่ผู้มีอุดมการณ์ เพิ่งย้ายมาจากโรงเรียนต่างจังหวัด และช่วยเหลือชิต ฝึกซ้อมมวย เพื่อแข่งขันคัดเลือกมวยนักเรียนเพื่อเป็นตัวแทนไปแข่งระหว่างโรงเรียน

ศิริ นทร์ (จารุณี สุขสวัสดิ์) ลูกสาวเจ้าของค่ายมวย ซึ่งชิตไปซ้อมมวยเป็นประจำ เธอสนิทกับชิต และดาวรุ่ง ที่เทพนมตามตื้ออยู่ เธอคอยกีดกันเพราะไม่ชอบเทพนมที่มักสร้างความวุ่นวายขึ้นในห้อง ทำให้ เทพนมมาบีบบังคับ ให้ชิตต้องแกล้งบอกเลิกคบดาวรุ่งกับศิรินทร์ ต่อมาเทพนมสมคบกับสมชายมาแกล้ง ขังน้องลูกพ่อเดียวกันกับแม่เลี้ยงซึ่งเขาไม่ชอบ แต่เทพนมกลับถูกพวกสมชายจับไปด้วยเพื่อเรียกค่าไถ่จริง ๆ




เนื้อเรื่องย่อ: สร้างจากชีวะประวัติของ สุรพล สมบัติเจริญ

"ลำดวล สมบัติเจริญ" กับ "การะเวก" เพื่อนสนิท เดินทางจากสุพรรณมากรุงเทพฯ หา "จ่าโทแต้ม" นักดนตรีในกองดุริยางค์ทหารอากาศ เพื่อหางานทำ ที่บ้านของจ่าโทแต้ม มี "จ่าโทโปร่ง" เพื่อนสนิทอีกคนอาศัยอยู่ด้วย จ่าโทแต้มให้การต้อนรับลำดวลกับการะเวกอย่างดี และเมื่อทราบว่าลำดวลได้ลาออกจากการเป็นนักเรียนจ่าทหารเรือ และลาออกจากการเป็นครูที่สุพรรณแล้ว ก็หาทางช่วยเหลือ ได้พาลำดวลไปพบ ร.ท.ปราโมทย์ นายของตนเพื่อฝากเข้าทำงานในกองทัพอากาศ

ร.ท.ปราโมทย์ ได้ตั้งค่ายมวยชื่อ ค่ายเลือดชาวฟ้า ได้รับลำดวลกับการะเวกเข้าทำงาน โดยบรรจุ ลำดวล เข้าทำงานในฝ่ายโยธา กองทัพอากาศ พร้อมกับแนะนำให้ลำดวลหัดมวยเพื่อหาลำไพ่พิเศษ จ่าตรีอ่อน ผู้ควบคุมดูแลนักมวยในค่าย
ชอบพอสนิทสนมกับลำดวลและการะเวกเป็นพิเศษ สาเหตุเพราะทั้งสามคนชอบรำวง เมื่อมีคณะรำวงมาตั้งใกล้ๆ ค่ายอ่อนก็เป็นตัวการทำให้ลำดวลกับการะเวกได้หนีไปรำวงด้วยทุกคืน

จิ๋มลิ้ม หัวหน้าคณะรำวงชอบพอกับอ่อน เมื่อลำดวลได้แต่งเพลงรำวงไว้และอยากที่จะแสดงผลงานของตัว ก็ได้รับการสนับสนุนจากจิ๋มลิ้มเป็นอย่างดี เพลงชูชกสองกุมาร ของลำดวลได้รับกาารต้อนรับที่ดีจากประชาชนที่มารำวง ในคืนหนึ่ง ร.ท.ปราโมทย์ มาพบทั้งสามเข้า ทำให้ทั้งสามคนตกใจมาก แต่ ร.ท.ปราโมทย์ กลับแสดงความยินดีกับผลงานเพลงของลำดวล และย้ายลำดวลเข้าสู่กองดุริยางค์ทหารอากาศ

ที่กองดุริยางค์ทหารอากาศ ในระยะแรกลำดวลทำงานอยู่ฝ่ายการเงิน ได้รับยศเป็นจ่าตรี การะเวกและจ่าอ่อนก็ย้ายตามมาด้วย เนื่องจากบ้านพักเต็มทั้งสามคนจึงต้องมาขออาศัยที่บ้านพักของ จ่าแต้ม ที่บ้านของจ่าแต้มทั้งสามคนได้รับการขูดรีด และกดขี่จาก "นางแหว" เมียจ่าแต้มที่มีนิสัยเห็นแก่ตัวและปากร้ายเป็นที่สุด ทั้งสามคนได้หาทางแก้เผ็ดยายแหวทุกครั้ง ที่กองดุริยางคืทหารอากาศลำดวลได้รับความสนับสนุนจากนักร้องนักแต่งเพลงรุ่นพี่ ทำให้มีโอกาสแสดงผลงานที่แต่งและร้อง จนประชาชนให้ความนิยม และได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น สุรพล สมบัติเจริญ

สุรพล ได้ย้ายบ้านมาพักบ้านที่อยู่ติดกับ "พนอ" ซึ่งมีสามีทำงานอยู่ในกองดุริยางค์ทหารอากาศ และที่นี่เองทำให้เขาได้พบกับ "ศรีนวล" เพื่อนสนิทของพนอ ทำให้สุรพลมีโอกาสสนิทสนมกับ ศรีนวล จนได้รักและอยู่ร่วมกันในที่สุด

การครองรักของสุรพล และศรีนวลเต็มไปด้วยความราบรื่น และชื่นชมของเพื่อนๆ คือ อ่อน การะเวก และจิ๋มลิ้ม ผลงานเพลงของสุรพล เป็นที่ชื่นชอบของประชาชน จนสามารถตั้งวงดนตรีของตัวเอง และได้ ทองใบ รุ่งเรือง มาร่วมคณะด้วย

ฐานะความเป็นอยู่ของสุรพลดีขึ้น มีบ้านใหม่ และตั้งร้านธูปหอมสุรพล สมบัติเจริญ ความแตกร้านของชีวิตคู่เกิดขึ้นเมื่อ "จันทรา" สาวสวนแตงแฟนเพลงของสุรพลได้กลายมาเป็นเงาแห่งความเข้าใจผิดของศรีนวล และการที่สุรพลทำตัวสนิทสนมกับแฟนเพลงกับประชาชนที่นิยมในตัวเขา ทำให้ศรีนวลไม่เข้าใจในตัวเขามากขึ้น ยิ่งมีเสียงพูด เสียงล่ำลือ ทำให้ศรีนวล คิดมาก เกิดความหึงหวง และทะเลาะกับสุรพลบ่อยครั้งขึ้น สุรพลยอมตามใจ ศรีนวล พยายามตีตัวออกห่างจากประชาชน

สุรพล อ้างเหตุผลที่ประชาชนเริ่มเสื่อมความนิยมในตัวเขา วงดนตรีของเขา ให้ศรีนวลฟัง แต่ศรีนวลก็ไม่เข้าใจหาว่าสุรพลอ้างเรื่องงานบังหน้าเพื่อที่จะได้ติดต่อกับจันทรา และแฟนเพลงสาวๆ อย่างเดิม ทั้งสองคนเริ่มต้นทะเลาะเบาะแว้งกันอีกครั้ง ศรีนวลจึงตัดสินใจหาทางเอาชนะสุรพล อีกทั้งเป็นการประท้วงให้กับความรักของตนเอง ศรีนวลหนีออกจากบ้านมาหา พนอ เพื่อนรัก ขอให้ช่วยเหลือหาบ้านเช่า หาผู้ชายมาเป็นเพื่อนเพื่อให้ สุรพลหึงหวง จะได้ตามง้อขอคืนดี พนอเองแม้จะไม่เห็นด้วยกับความคิดของศรีนวล แต่ก็จำใจที่จะต้องให้ความช่วยเหลือ.


นักแสดง:
มิตร ชัยบัญชา
เพชรา เชาวราษฎร์
กันทิมา ดาราพันธ์
ทองใบ รุ่งเรือง

วันที่เข้าฉาย: 6 ธันวาคม 2511


+


เรื่องย่อ
กว่า 1500 กิโลเมตร จากทิวเขาและไอหมอกในจังหวัดเชียงใหม่ สู่ไอน้ำเค็มของหมู่เกาะพะงัน จังหวัด สุราษฏ์ธานี ความรักของ ไข่ย้อย หนุ่มนักศึกษาศิลปะ คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ ที่เกิดขึ้นสองครั้งสองครากับ เพื่อนสองคน

ที่เชียงใหม่ ไข่ย้อย คือ หนุ่มเมืองกรุงฯ จากโรงเรียนชายล้วนที่แสนขี้อาย เขาไม่กล้าคุยกับผู้หญิง พูดตะกุกตะกักทุกครั้งที่มีสาวๆ เข้ามาทัก เป็นเหตุให้ต้องคอยหลบเลี่ยงอยู่เสมอ จนกระทั่งหญิงสาวท่าทางสดใส กระฉับกระเฉงเกินมาตราฐานสาวเหนือทั่วไปเข้ามาสมัครเป็นเพื่อน เธอชื่อ ดากานดา ซึ่งสำหรับไข่ย้อย ช่างเป็นชื่อที่แปลก แต่มีเสน่ห์สมตัวเจ้าของเป็นที่สุด ไข่ย้อยแอบหลงรักดากานดา แต่ไม่เคยเอ่ยปาก ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ขยับเข้าใกล้มากที่สุดที่คำว่า เพื่อนสนิท เพราะดากานดามีคนที่เธอรักซึ่ง ไม่ใช่เขา

ที่พะงัน ไข่ย้อย คือ หนุ่มศิลป์จากเชียงใหม่ ที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาเป็นคนไข้ถึงสถานีอนามัยแห่งเดียวบนเกาะ ไข่ย้อย พลัดตกจากดาดฟ้าเรือขาหักจากการพยายามขึ้นไปเล่นบทพระเอกมิวสิกวิดีโอ ท่ามกลางคนแปลกถิ่นหน้าเข้ม พูดจาเร็วปรื๋อ ไข่ย้อยได้ พยาบาลสาวตาโต ยิ้มเก่งเป็นคนคอยดูแล เธอชื่อ นุ้ย ซึ่งสำหรับไข่ย้อย รอยไมตรีที่เธอจ่ายให้เขาบ่อยกว่าจ่ายยา ทำให้เขาสมัครเป็นคนไข้ไม่มีกำหนดหายอย่างเต็มใจ

ไข่ย้อยรู้ว่านุ้ยมีใจให้เขา แต่เธอก็ไม่เคยเอ่ยปาก ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ขยับเข้าใกล้มากที่สุดที่คำว่า เพื่อนสนิท บางทีเธอคงรู้ว่า เขามีคนที่รักซึ่ง ไม่ใช่เธอ

ความรักของคนสามคน เกิดขึ้น สองสถานที่ สองเวลา ความรักของคนคู่ใดจะก้าวพ้นคำว่า เพื่อนสนิท ความรักของไข่ย้อย จะจบลงที่ไหน ภูเขา หรือ ทะเล


+


มานพ และ นางหนี่ (อำโพ เทวี) สองผัวเมียผู้มีอาชีพเก็บของป่าขาย ด้วยรายได้ที่ไม่ค่อยจะดีนัก มานพจึงตัดสินใจเดินทางนำลูกปัดไปขายในเมือง ทิ้งให้นางหนี่อยู่กันตามลำพังกับลูกสาว

จนวันหนึ่ง นางหนี่ซึ่งออกไปหาของป่าเช่นทุกวัน เผลอทำมีดหล่นหายได้พบกับ งูเจ้า (เทพ รินดาโร) ซึ่งเป็นงูเหลือมขนาดใหญ่ นางหนี่ตกใจกลัว แต่ก็ตกปากรับคำกับงูเจ้าว่า ถ้าได้มีดคืนจะยอมเป็นเมียของงูเจ้า ตกดึกคืนนั้น งูเจ้าจึงได้มาทวงสัญญา นางหนี่จึงตกเป็นเมียของงูเจ้า และลักลอบได้เสียกันทุกคืน จนนางหนี่เริ่มตั้งท้อง

เมื่อมานพเดินทางกลับมา ก็เริ่มสังเกตุเห็นความผิดปกติ จึงเริ่มสงสัย และจับได้ในที่สุดว่า เมียของตนแอบสวมเขาให้เสียแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ชู้รักของนางกลับเป็นงู หาใช้คนธรรมดาทั่วไป ก็ยิ่งทำให้มานพโกรธแค้นเป็นทวีคูณ จึงวางแผนฆ่างูเจ้า แล้วนำเนื้อมาให้นางหนี่กิน และฆ่านางหนี่ด้วยการผ่าท้อง แล้วฆ่าบรรดาลูกงูในท้องนางหนี่จนเกือบหมด หนีรอดไปได้เพียงตัวเดียว ด้วยความอาฆาต มานพวิ่งตามไปจะฆ่าลูกงูตัวที่เหลือ จนเป็นเหตุให้ตนเองจบชีวิตลงอย่างน่าเวทนา ลูกงูที่รอดชีวิตมา ได้ถูกชีปะขาวนำไปชุบเลี้ยง และเสกให้เป็นคน ตั้งชื่อให้ว่า โสรยา (ปิ้ค จัน บรมัย)

โสรยา เติบโตขึ้นมาด้วยความผิดปกติ แตกต่างจากคนทั่วไป เพราะนางมีเส้นผมบนศรีษะเป็นงูนักร้อยตัว เมื่อย่างวัยสาว ชีปะขาวก็ได้มอบแหวนวิเศษให้ เมื่อใส่แล้ว งูบนศรีษะกลายเป็นเส้นผมเช่นคนทั่วไป แต่ถ้าวันใดแหวนหลุดออกจากนิ้ว ทุกอย่างก็จะเป็นเหมือนเดิม และถ้าโสรยาเสียพรหมจรรย์ให้ใคร นางจะกลับกลายเป็นงูไปชั่วชีวิต

จนวันหนึ่ง โสรยาได้พบกับ เวหา (วินัย ไกรบุตร) ชายหนุ่มรูปงาม ผู้พลัดตกมาจากผาน้ำตก โสรยาจึงนำมาดูแลรักษาจนหายดี ด้วยความใกล้ชิด โสรยาและเวหาจึงรักกัน เวหาจึงชวนโสรยามาอยู่ที่บ้านของตน ได้พบกับ รานี คู่หมั้นของเวหา ที่คอยกลั่นแกล้งนางทุกวิถีทาง แต่โสรยาก็เอาตัวรอดมาได้ทุกครั้ง เมื่อโสรยาเผลอใจตกเป็นของเวหา นางจึงกลายร่างเป็นงู แล้วหนีกลับไปหาชีปะขาว รานีพาแม่หมอตามไปทำร้ายโสรยา เป็นเหตุให้ชีปะขาวต้องตาย

โสรยาจะกลายเป็นงูไปชั่วชีวิตหรือไม่? ความรักของเขาและเธอจะลงเอยอย่างไร?


+


ซีซันส์เชนจ์ เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย (Seasons Change เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย) เป็นภาพยนตร์ไทย เรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเด็กวัยรุ่น 3 คน ในช่วงระยะเวลาหนึ่งปี ที่ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยเปรียบเทียบกับฤดูกาลที่เปลี่ยนไป ภาพยนตร์เรื่องนี้ กำกับโดย นิธิวัฒน์ ธราธร และเข้าฉาย เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2549

เรื่องย่อ

หลังจากจบมัธยมต้นแล้ว ป้อม ตัดสินใจสมัครเข้าเรียนมัธยมปลาย ที่ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล สาขาเตรียมดนตรี เพราะต้องการอยู่ใกล้กับ ดาว เด็กสาวจากโรงเรียนเดียวกัน ที่เขาแอบหลงรัก

ในขณะที่พ่อของป้อมเข้าใจว่า ลูกชายเรียนสาขาเตรียมแพทยศาสตร์ โดยที่ป้อมเองก็ไม่กล้าบอกความจริง เนื่องจากพ่อของป้อมเห็นว่า ดนตรีเป็นวิชาชีพที่ไม่มั่นคง

ขณะเดียวกัน ป้อมก็ได้พบกับ อ้อม ลูกสาวของเพื่อนพ่อ ที่ถึงแม้ด้านปฏิบัติจะไม่เอาไหน แต่ความรู้ด้านทฤษฏีดนตรีเป็นเลิศ และสอบเข้าที่วิทยาลัยฯ เช่นกัน เมื่อทราบเรื่อง อ้อมก็เข้าใจว่า ป้อมรักดนตรีเหมือนกัน จึงสัญญาจะช่วยป้อมเก็บความลับ

ถึงแม้จะตามผู้หญิงที่แอบรักมาเรียน แต่ป้อมกลับค้นพบว่า ตัวเขามีพรสวรรค์ในการตีกลองชุดที่เป็นเลิศ ทำให้ เฉด และ ฉัตร สองหนุ่ม ผู้กำลังมองหามือกลอง ให้กับวงดนตรีของตัวเอง เลือกป้อมเข้าร่วมวง เพื่อเข้าประกวด การแข่งขันวงดนตรี ฮอทเวฟมิวสิคอวอร์ด โดยตั้งชื่อวงว่า Ass-Ho-Le (แอสโฮลี่)

นอกจากนี้ ฝีมือการตีกลองของป้อม ยังไปเข้าตา จิทาโร่ อาจารย์ชาวญี่ปุ่น ผู้สอนเครื่องดนตรีประกอบจังหวะ (เพอร์คัชชัน) อาจารย์จิทาโร่ จึงมักจะเรียกใช้ป้อม ให้มาช่วยทำวิทยานิพนธ์ของเขาอยู่เสมอ

อย่างไรก็ตาม ป้อมกลับเลือกสมัครเป็นมือกลองทิมปะนี ในวงออร์เคสตราของโรงเรียนแทน เพราะต้องการอยู่ใกล้ชิดดาว ซึ่งเป็นมือไวโอลินของวง ส่วนอ้อม ซึ่งเคยเป็นมือไวโอลินเช่นกัน ต้องเปลี่ยนไปเล่นฉาบแทน เนื่องจาก ฝีมือการเล่นเครื่องดนตรีอื่นไม่เอาไหนจริงๆ

เนื่องจาก วงออร์เคสตรา ใช้การเคาะจังหวะด้วยกลองไม่มาก ป้อมจึงต้องรออย่างเบื่อหน่าย กว่าจะถึงช่วงเล่นของตนแต่ละครั้ง ต่างกับอ้อม ที่มีความสุขกับดนตรี แม้ทั้งเพลงจะได้เล่นน้อยมาก ป้อมจึงเริ่มนึกถึงความรู้สึกของตนเอง ที่เปลี่ยนแปลงไปมาอยู่เสมอ ทั้งเรื่องดนตรี การเรียน ความรัก และชีวิตของตนในอนาคต ราวกับอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย




เลือกหน้า [1] [2] [3] [4]
[5] [6] [7] [8]
จำนวนหัวข้อทั้งหมด 129

กลับขึ้นข้างบน / กลับหน้าแรก

ค้นกระดานข่าว:


ถูกเปิด: ถูกคลิ๊กแล้ว: 112932206 ตอนนี้มีผู้เข้าชม : 1 ล่าสุด :bkNer , Michailyzt , GermanFoup , HelenViefs , DonaldSap , Davidfable , พีเพิลนิวส์ , AntonGeods , เอก , Carlosincof ,