ความเห็น |
บทวิจารณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้.โดย.คุณอภินันท์ บุญเรืองพะเนาครับ...จากเวบManager..
ภาพยนตร์เรื่อง..“บิ๊กเกม” ผลงานชิ้นนี้ของผู้กำกับ “จาลมารี เฮเลนเดอร์”
นำเสนอเรื่องราวของตัวละครสองสามกลุ่มที่มาบรรจบพบกันในเหตุการณ์สำคัญของ
เรื่อง ส่วนแรกเกี่ยวข้องกับเด็กชายชาวป่าในประเทศฟินแลนด์นามว่า “ออสการิ”
ซึ่งโดยแบบแผนวิถีชีวิตชุมชนที่เขาอาศัยอยู่ เมื่ออายุย่างเข้าจะครบ 13 ปี
หนึ่งคืนหนึ่งวันก่อนอายุจะเข้า 13 ปีเต็มนั้น
เด็กน้อยจะต้องออกไปใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในป่าลึกเพื่อพิสูจน์ว่าเขาโต
เป็นผู้ใหญ่แล้ว ขณะที่ความเป็นลูกผู้ชายเต็มตัวก็จะถูกยืนยันในคืนวันหนึ่งนี้เช่นเดียวกัน
แต่ก็อย่างที่หนังเสนอให้เราเห็น “ออสการิ” นั้นดูเป็นเด็กที่ไม่ค่อยเข้าพวกเท่าไหร่ ยิ่งเมื่อเทียบกับพ่อของเขาในวัย 13 เหมือนกันแล้ว สมัยนั้น พ่อของเขาล่าหมีได้ ขณะที่ออสการิ
อย่าว่าแต่หวังจะล่าหมีได้สักตัวเหมือนกับพ่อ แม้เพียงจะง้างธนูยิงยังปวกเปียกไม่มีแรง ซ้ำมิหนำ ธนูที่ยิงออกไปแต่ละดอก ก็ตกเปาะแถวๆ ลานหญ้าอย่างไร้พละกำลัง
ความตลกของเรื่องมันจึงเริ่มตั้งแต่ตรงนี้ที่เด็กน้อยพยายามจะแสดงท่าทีให้
ดูเก๋าเพื่อว่าจะได้รับการยอมรับจากผู้ใหญ่...เด็กน้อยที่มารับบทออสการิ
คือ “ออนนิ ทอมมิลล่า” เพียงแค่เห็นหน้าตาเขา
คุณก็จะอดขำออกมาไม่ได้แล้วล่ะ
แม้จะพยายามปั้นสีหน้าให้ดูซีเรียสจริงจังเพียงใด
แต่โดยลักษณะโหงวเฮ้งมันออกไปทางฮามากกว่า
(และถ้าจะขออนุญาตแนะนำต่อสักเล็กน้อยเกี่ยวกับดารารุ่นจิ๋วคนนี้
คือบทบาทของเขาในหนังเรื่อง Rare Exports : A Christmas Tale
ที่ได้รับคำกล่าวชมสูงมากในแง่ของการเป็นหนังที่ดูสนุก)
อีกส่วนหนึ่ง หนังกล่าวถึงการเดินทางของท่านประธานาธิบดีแห่งสหัฐอเมริกาที่ต้องมาตกระกำ
ลำบาก เพราะพวก “ผู้ก่อการร้าย”
ได้ลอบทำร้ายท่านในระหว่างการเดินทางโดยเครื่องบิน และบังเอิญว่า
หลังจากเครื่องบินตก แคปซูลช่วยชีวิตของท่านประธานาธิบดีได้ไปตกลงที่ป่าลึกตรงที่เด็กน้อยออสการิของเรากำลังหน้ำดำคร่ำเครียดกับการพิสูจน์ความเป็นผู้ใหญ่ของตนเอง
แล้วเหตุการณ์หลังจากนั้น ท่านประธานาธิบดีก็ต้องหลบหนีการไล่ล่าของพวกผู้ก่อการร้าย
โดยมีเด็กชายออสการิเป็นเหมือนผู้ช่วย
เพราะความเป็นหนังตลก ผสมแอ็กชั่นเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งจะว่าไป
ไม่น่าจะเรียกว่าแอ็กชั่นการต่อสู้ได้เสียด้วยซ้ำ
เพราะมีการกระทำจากคนฝ่ายเดียวคือผู้ร้าย
ส่วนทางฝ่ายประธานาธบดีต้องหนีเอาตัวรอดอย่างเดียว กระนั้นก็ดี
ผมกลับรู้สึกชื่นชมว่า คนทำหนังเรื่องนี้เฉลียวฉลาดในการ “ตัดแปะ”
เอาการค่อนแคะเหน็บแนมแซมไว้ตามจุดต่างๆ ได้อย่างแยบยล
มันต่างจากหนังวิพากษ์อเมริกันหรือท่านผู้นำแห่งอเมริกาเรื่องอื่นๆ
ที่มักจะมาพร้อมกับพล็อตที่เชื่อถือได้และเรื่องราวที่เข้มข้นขึงขัง
แต่การวิพากษ์ของบิ๊กเกมมันเหมือนชิ้นส่วนของเครื่องบินที่ตกหักกระจัด
กระจายและเราต้องค่อยๆ ไล่เก็บชิ้นชิ้นส่วนเหล่านั้น
แล้วนำมาต่อกันเป็นจิ๊กซอว์เพื่อให้ได้ภาพทางความคิด
ด้วยเหตุนี้
ผมถึงไม่ได้มองว่าผลงานชิ้นนี้จะเป็นแค่เพียงเรื่องราวอันสุดระทึกของการ
สังหารผู้นำ
หากแต่มันจะตอกย้ำวิธีคิดตลอดจนชวนตั้งคำถามต่อประเทศอันยิ่งใหญ่
อย่างอเมริกา เปิดเรื่องมาแรกๆ
ชื่อประเทศของอเมริกาก็เด่นหราอยู่บนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันอย่างมีนัยยะ
สำคัญ มันคือการแสดงแสนยานุภาพผ่านสัญลักษณ์
ทั้งถ้อยคำที่เป็นชื่อประเทศและขนาดของเครื่องบินลำใหญ่เบิ้มเต็มจอ
(เทียบกับฮอของฝ่ายก่อการร้ายแล้วคนละเรื่อง)
ยิ่งเมื่อหนังเดินทางไปถึงตอนที่ท่านประธานาธิบดีได้พบเจอกับเด็กน้อยออสกา
ริ ก็ทำเอารอยยิ้มเราแตกปริอย่างมิอาจเก็บกลั้น
เพราะคำพูดของท่านประธานาธิบดี (ซามูเอล แอล. แจ็กสัน) นั้นประกาศลั่นว่า
“ยูไม่รู้จักไอหรือ ไอคือประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกานะ”
สถานการณ์นี้ทั้งชวนขำและชวนคิดไปด้วยในตัว
ผมไม่ได้มีอคติอะไรต่ออเมริกาหรืออเมริกันชน
หากแต่ถ้อยคำประกาศดังกล่าวที่หนังเอามาใช้
มันได้ปอกเปลือกวิธีคิดบางอย่างของอเมริกามาให้เราได้เห็น
ความยิ่งใหญ่ของอเมริกาประมาณว่าทุกคนบนโลกต้องรู้จัก
แม้แต่เด็กน้อยที่อยู่ตามไร่ปลายดอยก็ควรรู้
การมองอเมริกาเป็นเหมือนโลกหรือเจ้าโลก จริงๆ ไม่ใช่แค่อเมริกาที่ประกาศเอง
บางที คนชาติอื่นๆ อย่างเราก็ทำทียอมรับอยู่ในตัว
ชื่อหนังภาษาไทยหลายเรื่องก็เป็นไปในทำนองนั้น อย่างเช่น “ด่วนยึดโลก”
(White House Down) หรือ 2012 วันสิ้นโลก, ยึดด่วน วันสิ้นโลก
(Snowpiercer) ซึ่งโลกที่สิ้น ก็คือประเทศอเมริกา...
สิ่งนี้อาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
และด้านหนึ่งก็คือการหวังผลในด้านที่พอได้ยินชื่อเรื่องก็ฟังดูใหญ่
น่าตื่นเต้นและเรียกความสนใจจากคนดูหนังได้ (ก็นะ ใครจะไม่ตื่นเต้นล่ะ
โลกโดนยึดหรือสิ้นโลกขนาดนั้น) แต่ลองคิดเล่นๆ ใช่หรือไม่ว่า มันก็ “อาจจะ”
สะท้อนสำนึกแห่งการยอมรับในความเชื่อที่ว่า
อเมริกานั้นคือศูนย์กลางอันยิ่งใหญ่ของโลก ยิ่งใหญ่จนเปรียบเป็นโลกไปแล้ว
ซึ่งเมื่อเทียบกับของไทยเรา อย่างหนังของคุณทรนง ศรีเชื้อ เรื่อง “2022
สึนามิ วันโลกสังหาร” ก็ใช้คำว่า “วันโลกสังหาร” แทนที่จะเป็น
“วันสังหารโลก” จุดนี้ ลองคิดเล่นๆ
ว่ามันอาจจะเป็นผลพวงมาจากสำนึกบางส่วนก็ได้ อย่างของไทยเรา
อาจไม่ค่อยมีสำนึกว่าชาติของเรายิ่งใหญ่เทียมเท่ากับโลก
เราเป็นเพียงประเทศหนึ่งซึ่งเป็นสมาชิกของโลกเท่านั้น ดังนั้น
ต่อให้ทำหนังหายนะ โลกก็จึงยังอยู่
แต่ประเทศเราต่างหากที่โดนธรรมชาติเล่นงาน
เพราะสำนึกของเราไม่เคยคิดว่าเราคือเจ้าแห่งโลก
กลับไปที่ตัวหนัง ผมคิดว่าหนังให้ความตลกขึ้นมาอีกมาก
เมื่อให้ทั้งสองคนได้ใช้ชีวิตด้วยกัน แม้เพียงช่วงสั้นๆ
แต่มันก็สะท้อนให้เห็นถึงโลกสองใบที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว
ขั้วที่หนึ่งคือเด็กน้อยที่กำลังแสวงหาความกล้าหาญให้แก่ชีวิต
ส่วนอีกขั้วคือผู้นำที่เชื่อว่าตนเองนั้นยิ่งใหญ่ถึงกับใช้คำว่า “ที่ผ่านมา
ฉันสามารถบัญชาการกองทัพทั้งกองทัพให้รุกรานที่ไหนก็ได้”
นี่คือความจริงหรือมิใช่ ไม่ว่าในที่ไหนๆ
อเมริกาก็พร้อมจะเอาสงครามลงไปหย่อนได้ทุกที่ อย่างไรก็ดี
ในสถานการณ์แบบนี้ กลางป่าลึกถึงเพียงนี้
ไม่ว่าคุณจะยิ่งใหญ่มาจากไหนเพียงใด ก็ไร้ค่า เพราะ...
“แม้แต่โทรสั่งพิซซ่า ยังไม่มีปัญญาจะสั่ง”
ภาพของท่านประธานาธิบดีในเรื่องนี้
จึงแตกต่างจากที่เราเห็นโดยสิ้นเชิงในหนังเรื่องอื่นๆ
มันชวนให้คิดถึงคำพูดชาร์ลี แชปปลิน ที่กล่าวไว้ทำนองว่า
ถ้าคิดจะเล่นกับอำนาจ มันต้องเล่นด้วยอารมณ์ขัน
เหมือนที่ชาร์ลีล้ออำท่านผู้นำอย่างฮิตเลอร์ในหนังของเขา
งานชิ้นนี้จากผู้กำกับฟินแลนด์
ก็ให้ภาพผู้นำที่แสนจะปวกเปียกและอวดอ้างสรรพคุณตัวเอง
เบื้องหน้าที่โลกเห็น
คือผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถจะบัญชาการสงครามที่ไหนก็ได้บนโลกนี้ แต่เบื้องหลัง
นุ่งกางเกงขาสั้น เสื้อยืด
และแอบกินขนมคุกกี้แบบที่ต้องสำทับลูกน้องคนสนิทว่าอย่าให้เมียรู้เป็นอัน
ขาด
แต่นั่นก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่ฮาเท่ากับตอนที่ท่านผู้นำได้ใช้ชีวิตกับเด็ก
น้อยออสการิ ที่ท่านพยายามทำให้เด็กน้อยเห็นว่า บางที
เราอาจจะไม่ต้องเก๋าจริงก็ได้ แค่ทำให้ “ดูเก๋า” ก็พอ
ด้วยการยกวีรกรรมฉี่เล็ดกางเกงขณะขึ้นประกาศแถลงการณ์ในครั้งหนึ่ง
แต่สุดท้ายก็โดนเด็กน้อยตอกหงายหลังตึง ว่าแค่เสแสร้งแกล้งทำให้ “ดูเก๋า”
เท่านั้นไม่พอหรอก เพราะสุดท้ายแล้ว เราต้อง “เก๋าจริงๆ”
ถึงจะน่ายอมรับจริงๆ (แน่นอนว่า เมื่อไปถึงบทสรุป เราจะพบว่า
ทั้งสองตัวละครเกิดการผ่านพ้นแบบเดียวกัน คือ ไม่ใช่แค่ “ดูเก๋า” แต่พวกเขา“เก๋าจริงๆ”)..