Mobile Version / สำหรับโทรศัพท์มือถือ ยินดีต้อนรับท่านผู้มาเยือน www.peoplecine.com ท่านยังไม่ได้ log in นะครับ เข้าใช้งานระบบ / สมัครสมาชิก/ ลืมรหัสผ่าน

ร่วมทดสอบ Peoplecine mobile Beta0.1


รูป
ย้อนอดีตวันหวานยังหวานอยู่เจ้าของ ผู้ตอบหลังสุด
-อาจารย์สุจิน ตำนานใบปิดหนังไทยยังไม่มีคนตอบ
-เปี๊ยก โปสเตอร์ยังไม่มีคนตอบ
-สมบัติ เมทะนียังไม่มีคนตอบ
-ไชยา สุริยัน มล.อภิรัฐ จรูญโรจน์.. 29/12/2566 15:23
-รําลึก53ปี มิตร ชัยบัญชา.. 29/10/2566 16:52
-American Graffiti Cast: Then and Now (1973 vs 2021)ยังไม่มีคนตอบ
-เอกสารกฤตภาค (Clipping) ข่าวภาพยนตร์จากสิ่งพิมพ์ยุคเก่า.. 14/2/2566 0:33
-Mary Poppins (1964 vs 2022) ยังไม่มีคนตอบ
-The A Team (1983) Cast: Then and Nowยังไม่มีคนตอบ
-Top 20 Catchiest Songs from Classic Movie Musicalsยังไม่มีคนตอบ
-THE TEN COMMANDMENTS 1956 Cast THEN AND NOW 2022 ยังไม่มีคนตอบ
-THE SEARCHERS 1956 Cast THEN AND NOW 2022ยังไม่มีคนตอบ
-The Sound of Music Tour.. 5/6/2565 13:22
-ภาวนา ชนะจิต เทสหน้ากล้องครั้งแรกยังไม่มีคนตอบ
-50 ACTION STARS ⭐ Then and Now .. 13/12/2564 14:05
-แมน ธีระพลยังไม่มีคนตอบ
เลือกหน้า [1] [2] [3] [4] [5] [6] [7] [8] [9] [10] [11] [12] [13] [14] [15] [16] [17] [18] [19] [20]
จำนวนหัวข้อทั้งหมด 315

สัมภาษณ์พิเศษ เปี๊ยก โปสเตอร์ ... Exclusively at Peoplecine


มีโอกาสได้เดินทางไปที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา โดยจุดหมายอยู่ที่ บ้านพักของนักวาดภาพโปสเตอร์และใบปิด ที่ถือว่าเป็นมือหนึ่งของประเทศไทย และอดีตผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง ... เปี๊ยก โปสเตอร์ ... ที่ปัจจุบัน ท่านเลิกกำกับภาพยนตร์ไปแล้ว แต่ก็ยังคงวาดภาพอยู่

อาจมีการตัดบางคำพูดและบางข้อความไปบ้าง เพื่อความเหมาะสมและความกระชับครับ

+

ความเห็น

[1]


ขออนุญาติเรียกอาเปี๊ยกนะครับ ... อาเปี๊ยกมาอยู่ที่ปากช่องตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่

ประมาณ 18 ปีแล้ว ที่นี่อากาศดี เงียบสงบ เย็นสบาย ปีที่แล้วมีคนถามว่าน้ำท่วมบ้านมั๊ยครับ เราก็ตอบเออ ถ้าที่นี่ท่วมก็คงท่วมกันทั้งประเทศล่ะ

ตอนนี้อาเปี๊ยกอายุ 80 ปีแล้ว แต่ยังดูแข็งแรง

ก็เพราะอากาศของที่นี่ด้วยส่วนนึง แล้วอาก็ออกกำลังกายด้วยนะ ทุกเย็นอาจะไปเล่นเทนนิสที่ข้างล่างรีสอร์ทนี่แหละ วันไหนมีเพื่อนเล่นด้วยก็ลงเกมกันซักนิดหน่อย วันไหนไม่มีใครมาเล่น อาก็น็อคคนเดียว พอได้เหงื่อ แล้วเราก็ต้องดูแลเรื่องอาหารด้วย กินยังไง กินอะไร ให้มันมีปริมาณและคุณค่ากับตัวเรายังไง นี่อามีห้องห้องนึงที่ทำไว้ เรียกว่าห้องโภชนาการ (หัวเราะ) ก็จะมีหนังสือเกี่ยวกับอาหารและการดูแลร่างกายด้วยอาหาร ทำตารางการกินอาหารให้ตัวเองไว้ด้วย ทุกวันนี้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารไปแล้ว (หัวเราะสนุกเชียว) มีรายการทีวีขอมาสัมภาษณ์กันเยอะ แต่ไม่ถามเรื่องหนังเรื่องวาดภาพแล้ว มาถามแต่เรื่องอาหาร (หัวเราะเสียงดังมาก) แล้วก็ต้องให้เข้าครัวโชว์ฝีมือ

ที่ทางเดินเข้าบ้านอาเปี๊ยก ผมเห็นมีภาพวาดใหญ่มาก ใหญ่เท่ากับคัทเอาท์โฆษณาหนังเลยครับ เป็นภาพป่าและสัตว์ป่า ... อาเปี๊ยกวาดเล่นๆ หรือไว้ทำอะไรครับ

ทุกวันนี้ อาก็ยังรับจ้างวาดภาพอยู่ แต่จะไม่ใช่ภาพโฆษณาหนังเหมือนก่อนแล้ว ก็แล้วแต่ว่าใครจะมาจ้าง เราก็ยังต้องทำงานอยู่นะ เพราะเราก็ต้องหาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอยู่ อีกอย่าง เราก็อายุมากแล้ว ไม่อยากรบกวนพวกลูกหลาน เราต้องไม่ทำตัวให้เป็นภาระ เรายังทำได้อยู่ เราก็ทำ และมันก็เป็นงานที่เรารักด้วยนะ เราทำเราก็มีความสุข นี่อีกอย่างนึงมั้ง ที่ทำให้อาแข็งแรง ... ส่วนภาพนี้ พอดีว่าทางศูนย์โตโยต้าที่ปากช่องนี่แหละ ก็มีความสนิทสนมกันดี เค้ากำลังจะทำศูนย์ใหม่ เน้นแบบรักษ์ธรรมชาติ ก็อยากได้ภาพเกี่ยวกับธรรมชาติไปติดที่ผนัง อย่างที่เห็นนั่นแหละ ทั้งผนังเลย แล้วเค้าก็บอกว่าอาอยากวาดอะไร วาดแบบไหน แล้วแต่เลย อาก็เลยคิดว่าเราอยู่ปากช่อง ก็วาดภาพเขาใหญ่แล้วกัน ก็จะมีอะไรต่างๆ ที่อยู่ในเขาใหญ่ น้ำตก ช้าง พญากระรอกดำ (ชี้ให้ดูที่ภาพกระรอก) ไอ้ตัวนี้อาเพิ่งไปเห็น ตอนนั้นเข้าไปถ่ายรูปเพื่อจะเอามาเป็นแบบ เจอตัวอะไรดำๆ ใหญ่ๆ บินผ่านหัวไปเลย อาก็มองไม่ชัด ก็ไปถามทาง จนท. เค้าก็เอารูปมันมาให้ เราก็เออ เพิ่งเคยเห็น ชื่อมันฟังดูเท่ดี พญากระรอกดำ ก็เลยเอามาวาดเพิ่ม

เหมือนจะยังวาดไม่เสร็จนะครับ

ใกล้แล้ว ถ้าไม่นึกอะไรใหม่ๆ ได้อีก (หัวเราะ) นี่วาดมา 6 เดือนแล้วนะ (เสียงคุณแม่บ้านลอยมา ... ก็วาดไปแก้ไป ลบนั่นเพิ่มนี่ จะเสร็จยังไงล่ะ) พอเราวาดตรงนี้ไปแล้วเรารู้สึกไม่ชอบ ก็ขับรถขึ้นเขาใหญ่เลย ไปถ่ายรูป หามุมแปลกๆ แล้วก็กลับมาแก้ คืออันนี้มันไม่เหมือนตอนวาดพวกใบปิดนะ พวกนั้นต้องวาดให้เสร็จตามเวลา เพราะต้องใช้โฆษณาก่อนหนังจะเข้าฉาย แต่อันนี้เราทำตามเวลาสะดวก ทางคนจ้างเค้าก็บอกไม่รีบครับอา เมื่อไหร่ก็ได้ครับ แต่ว่าศูนย์ใกล้จะเปิดแล้วครับ (หัวเราะ) เหมือนกดดันอยู่นิดๆ

เห็นภาพวาดเป็นภาพของคุณอา แล้วมีลายเซ็นต์เต็มไปหมด

ภาพนี้ พวกลูกศิษย์เค้ามาจัดวันเกิดเมื่อปีที่แล้ว เค้าจับให้อานั่งเฉยๆ แล้วตลกดี พวกเค้าก็เข้าแถวกัน แล้วผลัดกันมาแต้มสี ครั้งละ 1 เส้น แล้วก็ไปต่อแถวอีก เวียนกันไปเรื่อยๆ จนภาพเสร็จ ก็สนุกสนานกันไป (ชี้ให้ดูที่ลายเซ็นต์) ที่เราพอรู้จักก็มีนี่ ทองดี , บรรหาร , ดำรง , นี่เจ้าอังเคิ่ล จริงๆ แล้วอังเคิ่ลนี่ไม่ได้เป็นลูกศิษย์อาโดยตรงนะ เป็นศิษย์ของศิษย์อีกที แต่เค้าก็นับถือว่าเราเป็นอาจารย์ด้วย เจ้าปื้ดอีกคน

เอ๊ะ นี่ลายเซ็นต์คุณ ชัย ราชวัตร

ใช่ๆ ชัย ราชวัตรนี่มาช้ากว่าเพื่อน เค้าวาดกันเสร็จไปแล้วเพิ่งมาถึง ก็เลยวาดนี่ไง (ชี้ไปที่ภาพ มีรูปไอ้จ่อย จากการ์ตูน ผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมิน เล็กๆ อยู่) แล้วก็เซ็นต์ชื่อไว้

***ขอพักก่อนครับ เดี๋ยวมีต่อ***



มาที่เรื่องการวาดภาพครับ อาเปี๊ยกเข้ามาทำงานนี้ได้ยังไง

คือตอนเด็กๆ อาชอบวาดภาพ แล้วอยากทำงานเกี่ยวกับการวาดภาพ ที่สมัยนั้นเค้าเรียกว่าเป็นช่างเขียน อาก็ไปเรียนที่เพาะช่าง พอจบมาก็ได้ทำงานวาดภาพ เป็นพวกโฆษณาสินค้า ทั้งโปสเตอร์และใบปลิว คำว่าโปสเตอร์ เมื่อก่อนจะหมายถึงป้ายโฆษณาใหญ่ๆ เลยนะ แต่เดี๋ยวนี้เค้าเรียกคัทเอ้าท์ บิลบอร์ด ซึ่งจริงๆ แล้ว คัทเอ้าท์นี่มันเป็นอีกแบบนึงนะ คัทเอ้าท์ (Cut-Out) ก็ตรงตัวเลยคือ เป็นภาพที่ตัดออกมา คือวาดก่อนแล้วก็ตัด ให้มันดูลอยออกมา ส่วนใบปลิว เดี๋ยวนี้เค้าเรียกโปสเตอร์ พวกใบปิดหนังนี่แหละ ... ตอนนั้นทางคุณพิสิฐ (ตันสัจจา) เจ้าของโรงหนังเฉลิมไทย มาเห็นภาพโฆษณาที่อาวาด แล้วก็มาชวนให้ไปวาดป้ายโฆษณาหนังของเฉลิมไทย อาก็เลยไปลองดู แล้วก็มีเจ้าของหนังเค้าชอบ ก็เลยได้มาวาดพวกใบปิดด้วย

ใบปิดเรื่องแรกที่อาเปี๊ยกวาด คือเรื่องอะไร และปีอะไรครับ

(นึกอยู่สักพัก) รู้สึกจะเป็นหนังฝรั่ง ของคุณพิสิฐนี่แหละ (ค่ายเอเพ็กซ์ ตอนนั้นชื่อปิรามิด) เป็นหนังอิตาลี่ เรื่องเกาะรักเกาะสวาท ปีไหนจำไม่ได้แล้ว นานมาก แล้วก็วาดมาเรื่อยๆ

ตอนนั้นเซ็นต์ชื่อ เปี๊ยก โปสเตอร์ หรือยังครับ

ยังๆ เซ็นต์แค่เปี๊ยก จนต่อมามีงานเยอะขึ้น อาก็วาดคนเดียวไม่ไหว ไม่ทัน เลยต้องไปหาคนมาช่วย ก็ไปหาแถวเพาะช่างนี่แหละ แล้วก็ดูว่าใครมีฝีมือดี แล้วพอจะไปได้ ก็เอามาฝึก แต่ทองดีนี่เดินเข้ามาหาเองนะ เค้าเป็นเด็กต่างจังหวัด บอกว่าอยากวาดภาพแบบอา ขอมาเรียนอยู่กับเรา แต่พอได้เห็นงานวาดที่เค้าเอามาให้ดู อาก็บอกว่ายังไม่ดี ไปเรียนก่อนมั๊ย แต่ยังไงไม่รู้นะ อาก็รับให้เค้ามาอยู่กับเรา ให้ฝึกงานเป็นลูกมือของพวกรุ่นพี่ๆ อีกที ทองดีเค้าเก่งนะ เรียนรู้เร็ว จนฝีมือเริ่มดีขึ้น ตอนหลังก็เลยให้เค้าวาดเอง ช่วงนั้นเรียกว่าทำงานกันเป็นทีม ก็เลยเพิ่มคำว่าโปสเตอร์เข้าไปต่อท้ายชื่อ กลายเป็น เปี๊ยก โปสเตอร์ คล้ายๆ เป็นชื่อสตูดิโอไง

แล้วได้มาทำหนัง

ตอนที่วาดใบปิด ทางผู้สร้างเค้าจะเอาภาพนิ่งจากในหนังมาให้เราดูเป็นแบบ บางทีก็ไม่ใช่ภาพจากหนัง เป็นท่าแอ็คชั่นของดารามาให้ แต่ก็มีหนังบางเรื่องเค้ายังถ่ายไม่เสร็จ ก็ไม่มีภาพนิ่งมาให้ เราก็ไม่รู้ว่าจะวาดยังไง ก็เลยต้องเข้าไปกองถ่าย แล้วถ่ายภาพมาเองเลย ก็เลยได้เห็นการทำงานในกองถ่ายอยู่บ่อยๆ แล้วตอนนั้นอาก็เขียนหนังสือกับเพื่อนอยู่ด้วย ชื่อหนังสือดาราภาพ (ก็คือ Starpics นี่แหละ) เพื่อนเค้าก็อยากทำหนัง มาช่วยกันยุให้อาไปกำกับ บอกว่าอาไปตามกองถ่ายหนังบ่อย น่าจะมีความรู้บ้าง อาก็บอกไม่เอา ยังไงก็ไม่ทำ ไม่ชอบ ชอบวาดรูป จนสุดท้ายก็ยอม เพราะเพื่อนตื้ออยู่นาน แล้วก็คิดในใจ เออ ไม่ใช่เงินเรา เจ๊งก็ช่างมัน (หัวเราะ) ก่อนจะทำก็ได้ไปดูงานที่โรงถ่ายที่ญี่ปุ่นอยู่หลายเดือน ก็ได้ไปเห็นการทำงานของญี่ปุ่น มันคนละเรื่องกับบ้านเราเลย เราก็เรียนรู้ว่า ทุกอย่างมันจบที่โต๊ะ แล้วค่อยมาทำงานตามแผน ไม่เหมือนบ้านเรา บางทีถ่ายไปก็นั่งเขียนบทกันไป (หัวเราะอีก) แล้วอีกอย่างที่ทำให้ตัดสินใจทำหนัง คือมีอยู่วัน อาได้เข้าไปอยู่ในห้องประชุมของทีมงาน เห็นเค้ากาง Storyboard ออกมาดูกัน อาก็เฮ้ย เอาวะ ได้วาดภาพแล้วโว้ย (หัวเราะดังมาก) ก็น่าจะเรียกว่า อาเป็นคนแรกในบ้านเราเลยนะ ที่ถ่ายหนังโดยทำ Storyboard ก่อน คือมันช่วยให้ทำงานกันง่ายขึ้น ไม่ต้องอธิบายกันมาก ถ่ายตามที่เราวาดไว้นี่แหละ เพราะเราคิดอะไร แล้วเราจะวาดออกมาได้ดีกว่ามานั่งอธิบายไง

กลับมาไทย ก็ทำเรื่องแรกคือเรื่อง โทน ... ทำไมต้องเรื่องนี้ และทำไมไม่มีดาราดังในตอนนั้นครับ

ก็มีที่มาพอสมควรกับเรื่องโทน (ผมเลยขอเล่าสั้นๆ นะครับ---ddd) ตอนนั้นบ้านเราทำหนัง 16 มม. แต่อาเป็นคนชอบดูหนังฝรั่ง ที่มันถ่ายมาแบบ Scope จอกว้าง เห็นรายละเอียดอะไรเยอะมาก แล้วก็หนัง 16 มม.ของเรามันก็ไม่มีเสียงนะ ต้องมาพากย์กันเองตอนที่ฉายให้คนดูนั่นแหละ ตอนที่ตกลงว่าจะกำกับหนัง อาก็บอกเพื่อนก่อนเลยว่า ไม่เอานะแบบ 16 มม. จะเอาแบบ 35 มม.เลย แล้วก็ต้องมีเสียงในฟิล์มด้วย ก็ได้ตามนั้น ถือว่า โทน นี่เป็นหนังไทยเรื่องแรกเลยนะ ที่ถ่ายทำเป็น 35 มม. แล้วก็มีเสียงในฟิล์ม เสียงก็ต้องไปทำกันที่ญี่ปุ่นเลย แต่พอออกมาแล้วมันดีมาก คนดูก็ตื่นเต้นกันใหญ่ ได้ดูแบบจอกว้างๆ ... ส่วนดารา ที่เป็นคุณไชยา ที่ตอนนั้นก็ไม่ใช่ดาราดังนะ ก็เพราะว่าดาราดังๆ เค้าไม่มีคิวให้ (หัวเราะ) มิตร ชัยบัญชานี่หมดหวังเลย มีคิวให้ 3 วันต่อหนัง 1 เรื่อง จะให้เราทำหนังแบบเร่งรีบ เราก็ไม่ทำดีกว่า พอดีว่ามีความสนิทส่วนตัวกับคุณไชยาอยู่แล้ว คุณไชยาเคยพูดกับอาไว้ตั้งแต่อายังวาดภาพอยู่ บอกว่า ถ้าอาจะทำหนังเมื่อไหร่ เรียกเค้าได้เลย ก็เลยได้คุณไชยามาเล่น

ปรากฏว่าหนังได้เงินถล่มทลาย

สายหนังเค้าก็งงนะ เรื่องโทนนี่มันไม่เหมือนหนังไทยทั่วไปเลย มันดูแล้วเหมือนหนังฝรั่ง เพราะอาชอบดูหนังฝรั่งอยู่แล้ว เราก็เอาวิธีคิด วิธีเล่าเรื่องมาจากพวกฝรั่งนี่แหละ กลายเป็นว่าเรื่องโทน นอกจากคนดูจะเป็นกลุ่มหนังไทยแล้ว ก็ยังได้กลุ่มที่ดูหนังฝรั่งเพิ่มเข้ามาด้วย รายได้ถือว่าเป็นรองแค่ มนต์รักลูกทุ่ง เรื่องเดียว แต่มนต์รักลูกทุ่งนั่นเค้าฉายนานนะ เกือบครึ่งปีล่ะมั้ง

มาถึงเรื่องที่ 2 เรื่อง ดวง

ตอนที่ตั้งชื่อเรื่องโทน อาก็คิดว่าคงจะได้ทำหนังแค่เรื่องเดียว เพราะเราไม่ชอบ เราชอบวาดภาพมากกว่า ก็เลยตั้งชื่อว่า โทน แต่พอหนังมันได้เงิน อาก็มาคิด เออ สงสัยดวงเรานี่คงจะต้องทำหนังล่ะมั้ง ก็เลยได้ชื่อ ดวง มา (หัวเราะ) ส่วนพระเอกเรื่องนี้ คุณไพโรจน์ ใจสิงห์ ตอนนั้นไปเห็นเค้าร้องเพลงอยู่ ก็เห็นว่าเค้าหน้าเหมือนดาราหนังแขกดีนะ ดูหล่อแบบแขกๆ ก็เลยไปชวนมาเล่น ส่วนเหตุผลที่ไม่เอาดาราดังๆ มาเล่นก็เหมือนเดิม เค้าไม่มีคิวให้ ... ลองมองกลับมาดู การตั้งชื่อหนัง อาก็ตั้งเหมือนจะเกี่ยวกับตัวเองอยู่ด้วยเหมือนกัน

เรื่องที่ 3 เรื่อง ชู้ ... (แสดงว่า คุณอาาาา) <--- ผมคิดในใจ :)

(หัวเราะนำมาเลย เหมือนรู้ว่าผมคิดอะไร) เรื่องนี้มาจากหนังสือ แต่จับประเด็นมาแค่ 3 บรรทัด แล้วก็มาแต่งเพิ่มเติมเอง ตอนนั้นทำหนังได้เงินมา 2 เรื่องติดกัน รู้สึกว่าตัวเอง ห้าว มาก (หัวเราะ) เลยทำเรื่อง ชู้ ที่ทั้งเรื่องเล่นกันอยู่ 3 คน แถมเนื้อเรื่องก็ไปอยู่แค่สถานที่เดียวคือที่เกาะ ตอนนั้นสนุกกับการทำหนังแล้ว แล้วเรื่องนี้มันท้าทายดี ไม่กลัวด้วยว่าคนดูจะว่าไง อยากทำ ห้าวไง (หัวเราะ) ก็รู้สึกว่าจะได้เงินเยอะ ก็เลยมีหนังทำต่อเนื่อง พวกสายหนังนี่เอาเงินมากองให้เลยนะ เชื่อใจเรามาก ให้เงินมาก่อน ยังไม่รู้เลยว่าเราจะทำเรื่องอะไร

ย้อนกลับนิดนึงครับ ... อาเปี๊ยกมากำกับหนัง แล้วยังวาดภาพพวกใบปิดอยู่มั๊ยครับ

หยุดเลย ตอนนั้นหนังมันเอาเวลาของเราไปหมด พวกใบปิดก็ยังรับทำอยู่นะ แต่จะให้พวกลูกศิษย์เค้าวาดกัน ทางคนมาจ้างก็เชื่อใจ เพราะเราก็การันตีฝีมือด้วย จึงได้เห็นชื่อของ ทองดี , บรรหาร อยู่ที่ใบปิด แล้วหนังของเราเอง ก็ให้ ทองดี กับ บรรหาร นี่แหละมาวาดให้ สองคนนี้ฝีมือดีมาก อย่างเรื่องนี้ไง (ชี้ให้ดูใบปิดเรื่อง ชู้) เรื่องนี้มีใบปิด 2 แบบนะ แบบแนวนอนที่เป็นหน้าดารานำ 3 คน บรรหารวาด กับแนวตั้ง ทองดีวาด

***พักก่อนครับ วันหลังมาต่อ***



ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ


อยากอ่านต่อแล้ว ~>.<~


และทำมาอีกหลายเรื่อง จนมาถึง วัยอลวน

เรื่องนี้ตอนแรกแย่เลย พวกสื่อเอาไปเขียนเลยว่า หนังเจ๊งแน่นอน และพอหนังเข้าโรง เป็นอย่างงั้นจริงๆ ไม่มีคนไปดู เพราะไม่ชอบดารา ... พระเอกผอมตัวดำ นางเอกก็เด็กตัวกลมๆ มันไม่เหมือนกับพระเอกนางเอกเรื่องอื่นๆ ก็เลยคิดวิธีใหม่ คือเอาพวกนักเรียนนักศึกษามานั่งดูหนังกัน แล้วทีนี้พวกวัยรุ่นเค้าชอบ ก็เลยปากต่อปาก สุดท้ายได้เงินไปเยอะเลย พวกสายหนังเค้าก็เชื่อใจอีก เอาเงินมาให้ทำภาค 2 เลย

แสดงว่าการเอากลุ่มเป้าหมายเข้ามาดูหนังกันก่อน เพื่อหวังสร้างกระแส

ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แค่คิดว่ามันเป็นหนังวัยรุ่น ถ้าวัยรุ่นดูแล้วชอบ ก็น่าจะบอกต่อๆ กัน แล้วก็เป็นอย่างงั้นจริงๆ ... ตอนที่คุณเก้ง (จิระ มะลิกุล) จะฉายหนัง แฟนฉัน ก็มาหา มาขอความคิดเห็น เพราะกลัวว่าหนังจะไม่ได้เงิน ก็เลยแนะไปว่า ลองเอาพวกกลุ่มต่างๆ มาดูหนังกันก่อน พวกกลุ่มมัธยม กลุ่มมหา'ลัย กลุ่มคนทำงานหนุ่มสาว ก็คงจะได้ผลนะ มันเกิดการบอกต่อ ทำให้คนอยากดูกัน

ตัวละครใน วัยอลวน มีตัวตนจริง และอาเปี๊ยกก็ใส่เรื่องราวของตัวเองเข้าไปด้วย

มีจริง เป็นเรื่องของหลานสาว ก็เห็นว่าเออ กว่าเค้าจะรักกับแฟนได้นี่ มันผ่านอะไรมาเยอะ ต่อสู้กันเพื่อความรักดี ก็เหมือนในหนังเลย ตอนแรกผู้ชายไม่ได้จีบ ไปๆ มาๆ ก็แอบรักกัน ส่วนเรื่องราวของอาไม่มีในหนัง ไม่ได้ใส่ แต่จะมีบางเหตุการณ์ที่ใส่เข้าไปเหมือนจะเปรียบเทียบกับตัวเรา อย่างพระเอกเป็นคนที่ต้องหาเงินเรียนเอง ก็ไปทำงานรับจ้างกับพวกกรรมกร มันก็จะมีอยู่ฉากนึงที่ตั้งใจจะพูดก็คือ ฉากที่พระเอกไปยืนอยู่บ้านพักกรรมกร แล้วพวกกรรมกรยืนอยู่ชั้นบน แต่พอสุดท้ายพระเอกเรียนจบ พระเอกยืนอยู่ชั้นบน แล้วมีภาพรับปริญญาเป็น Background มีพวกกรรมกรมาหา มายินดีด้วย ก็จะยืนกันอยู่ข้างล่าง แต่พระเอกก็บอกให้ขึ้นมาข้างบนสิ แล้วตัวพระเอกก็เดินลงไปข้างล่าง มันก็มาเจอกันตรงกลางบันได มันเหมือนกับว่าคนเราอย่าไปมีชนชั้นหรือแบ่งแยกอะไรกันเลย มันสามารถเดินทางไปด้วยกันได้ ไม่ใช่ว่าพอเป็นปัญญาชนแล้วก็จะต้องอยู่กันคนละชั้นกับพวกกรรมาชีพ

ตอนนั้น หนังไทยพระเอกต้องล่ำๆ บึกๆ นางเอกต้องสวยหวานเรียบร้อย

ก็เรื่องนี้พระเอกมันไม่ต้องไปต่อยกับใครนี่ มันมาเรียนหนังสือ นางเอกก็เป็นเด็กนักเรียนอยู่ ก็ต้องไม่เรียบร้อยบ้าง (หัวเราะ) ตอนนั้นโดนว่าเยอะ แต่เราก็ต้องบอกว่า เราเลือกดาราจากบท ให้มันตรงกับบท

แล้วก็กำกับหนังมาเรื่อยๆ ... เมื่อกี้อาเปี๊ยกบอกว่า ตั้งแต่มาทำหนัง ก็หยุดวาดภาพใบปิดเลย แต่ผมแอบรู้มาว่าใบปิดเรื่อง วัยอลวน คุณอาวาดนี่ครับ

วัยอลวนมีใบปิด 2 แบบ ตอนแรกก็ให้ลูกศิษย์เค้าวาด แต่งานเค้าคงเยอะ ก็ยังวาดไม่เสร็จซักที หนังจะต้องโฆษณาแล้ว ใบปิดยังไม่เสร็จ อาก็เลยวาดเองซะเลย ทีนี้ลูกศิษย์เค้ารู้ว่าอากำลังวาดอยู่ เค้ากลัวเราจะโกรธ ก็เลยรีบวาดใหญ่เลย ก็เลยกลายเป็นว่าเรื่องนี้มีใบปิด 2 แบบ แบบไม่ได้ตั้งใจ คล้ายๆ กับเรื่องชู้ ที่มี 2 แบบ แต่เรื่องนั้น ลูกศิษย์ 2 คนเค้าขอวาดคนละแบบ อันนั้นตั้งใจ

อาเปี๊ยกวาดใบปิดหนังของตัวเองกี่เรื่องครับ

2 เรื่อง วัยอลวน กับ สะพานรักสารสิน

แล้วเรื่องนี้ล่ะครับ (กางใบปิดเรื่อง ดวง ที่ขอยืมมาจากท่านพี่จุ๊บ ให้อาเปี๊ยกดู) เรื่องนี้เป็นลายเซ็นต์คุณอานะครับ

(ตั้งใจดู) ไม่ได้วาดนะเรื่องนี้ สงสัยลูกศิษย์เค้าเซ็นต์แทน ปลอมลายเซ็นต์ให้ (หัวเราะ)

***พักก่อนครับ วันหลังมาต่อ ... อีกนิดหน่อย***



สนุกมากครับ รออ่านต่อครับ ขอบคุณมากๆเลยครับคุณ ddd


เลือกหน้า
[1]
จำนวนหัวข้อทั้งหมด 6

กลับขึ้นข้างบน / กลับหน้าแรก

ค้นกระดานข่าว:


ถูกเปิด: ถูกคลิ๊กแล้ว: 113127946 ตอนนี้มีผู้เข้าชม : 1 ล่าสุด :Eldarbsa , Serzwid , bkNer , Eldarako , Serzwgs , Eldarxks , Davidsjc , W.chakkrit , proertdinue , Serzfmk ,