จะเป็นไปได้หรือเปล่าถ้าเราซื้อลิขสิทธิ์หนังเป็นแผ่นดีวีดีหรือดิจิตอลระบบอื่นๆมาฉายโดยไม่ใช้ฟิล์ม ไม่ใช้เครื่องฉายระบบเดิม เปลี่ยนรูปแบบ มีเพียงจอเครื่องเสียงเท่านั้น สำคัญคือลิขสิทธิ์เอาแบบต่างประเทศที่ไม่ใช้ฟิล์ม 35 มม. คงจะเข้าท่า เส้นไม่มี คนฉายก็ไม่ต้องง้อ กางจอเสร็จเสียบปลั๊ก ดูได้เลย แบบที่คณะเราลองกับหน่วยพี่นิสมบูรณ์ คงจะเข้าท่า ไม่แน่แฟนหนังกลางแปลงอาจจะเพิ่มขึ้น งานก็เพิ่มขึ้น ต้นทุนค่าแรงลดลง คนทำหน่วยก็อยู่ได้ ดีไหมครับ ลองเจรจากับบริษัทผู้ผลิตหนังดู
ขอแจมครับ ชอบ ชอบ
สำหรับบางที่ บางแห่ง หนังกลางแปลงไม่เคยกลับมาเยี่ยมเยียนเป็นสิบปีแล้วครับ
แต่อย่างที่บ้านผม อำเภอเสาไห้ นับครั้งได้ว่าปีหนึ่งไม่เกิน 5 ครั้ง
ที่จะได้ยินเสียงหนังล่องลอยมากระทบหู ในยามค่ำคืน จะมีก็เพียงบางคืนเท่านั้น
ที่เจ้าประจำจะแวะเวียนมาปิดวิก สร้างบรรยากาศให้ได้ยินเสียงซาวด์บ้าง แต่ก็น้อยมากครับ
ซึ่งก็ดูเหมือนว่ารสนิยมของกลุ่มผู้ชมทั้งเจ้าภาพและคนดูหนังก็เปลี่ยนไปจากเดิมครับ
ผมคงต้องยอมรับว่าใน "บางแห่ง" มองว่าการดูหนังกลางแปลงเป็นเรื่องไม่ทันสมัยหรือเสียเวลา
ไม่เหมือนกับการชมคอนเสิร์ตหรือวงดนตรีที่มาแทนที่ ซึ่งเป็นที่ถูกใจของเจ้าภาพหรือผู้ที่หามาทำการแสดง
...ในทางกลับกัน บรรดาเจ้าภาพก็มีความคิดที่ว่าหาหนังมา ก็เกรงจะไม่มีคนดู เนื่องจากบรรดาหนังต่างๆ
ก็ถูกเคเบิ้ลท้องถิ่น นำมาออกอากาศรอบแล้ว รอบเล่า ณ วันเดียวกันกับที่หนังวางแผงขาย หรืออาจจะก่อนหน้านั้น
..หรืออีกประการหนึ่งก็คือเรื่อง "เงิน" ซึ่งเราก็ทราบกันดีว่า ค่าฟิล์มแปรผันตรงกับความใหม่ของหนัง จึงไม่แปลก
ที่ว่างบประมาณเป็นตัวกำหนดขนาดคนดูหนัง จนทำให้กระทั่งบางงานผมยังฉายดูกันเองเลยก็มีครับ
สรุปว่าไม่แปลกครับที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งสองฝั่ง คือ ผู้ชม และผู้ฉายอย่างผม ที่ต้อง
ปรับตัวให้เข้ากับสภาพสังคมปัจจุบัน วันก่อนๆผมคงซื้อ CD เพื่อที่จะฟังเพลงโปรดที่ผมอยากฟัง และผมก็คิดว่า
มันดีที่สุดสำหรับผมตอนนี้แล้ว มาวันนี้ผมจำไม่ได้แล้วว่าซื้อ CD แผ่นสุดท้ายคือแผ่นไหน เพราะมันก็มาถึงยุค MP3
หรือแม้กระทั่งผู้ขายเองก็ต้องปรับตัวมาขาย MP3 แบบรวมมิตร ให้มันแล้วเรื่องไปซะเลย อย่างที่เราเห็น
มาวงการหนัง ก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างที่ผมสังเกตุและติดตามมา กับคำถามที่ว่าในเมื่อทุกอย่างมันเริ่ม
จะรองรับออกมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเล่น HiDef จากราคาเรือนหมื่น จนเหลือไม่กี่พันบาทก็หาซื้อได้
หลากหลายยี่ห้อ และหลายรุ่น ..ซึ่งคำถามก็คือ ออกมาขายทำไม เยอะแยะ ..และคำตอบก็น่าจะรู้กันอยู่ครับ
ผมว่าอีกไม่นานก็คงเหมือน CD กะ MP3 ไงครับ ถึงวันนั้นก็คงมีผู้ขายหนังคงจะมองเห็น "สัจธรรม" ว่าทุกอย่าง
ก็คงต้องปรับสภาพเปลี่ยนตามมา ถ้ามันห้ามกันไม่ไหว ก็ตามกระแสมันไปเสียเลย ผมเข้าใจว่าอย่างงั้น
ผมอาจจะเข้าใจผิดคนเดียวก็ได้นะครับ...มันเป็นความรู้สึกน่ะครับ 555
เห็นด้วยนะครับ ปรับสภาพเพื่อความอยู่รอด แต่ใจของเราก็ยังชอบระบบฟิล์มไม่เคยจางหาย คงเหลือแค่ชาวสมาชิกเรานี้แหละที่จะสานต่อและเล่าขานให้คนรุ่นหลังได้รับรู้
ครับ ผมคิดว่าผมเข้าใจความรู้สึกของทุกท่านเท่าที่ประสบการณ์อันน้อยนิดในวงการที่ผมมีอยู่ครับ
ผมเองไม่ได้มีเจตนาที่จะบอกว่า เราต้อง "เปลี่ยนแปลง" ทุกอย่างที่มีการเปลี่ยนแปลงครับ
คุณค่าที่มีอยู่ในตัวมันเองก็ยังคงมีอยู่ "เหมือนเดิม" ครับ และก็ยังคงทรงคุณค่าในตัวเองมาโดยตลอด
แต่การที่เราต้องมองว่าสิ่งต่างๆที่อยู่ รอบๆตัวเรา ว่ามันไปในทิศทางไหนแล้วตอนนี้ ผมก็ดูว่ามัน "จำเป็น"
ที่เราก็น่าจะต้องรู้ไว้ครับ มันก็เหมือนกับว่าเป็นกระแสที่เราไม่สามารถห้ามอะไรได้ นอกเสียจาก "รับรู้"
และ "ยอมรับ" มันก็เท่านั้นครับ ถ้าผมถามว่าตอนนี้จะมีซักกี่ท่านที่ยังใช้กล้องแบบใช้ฟิล์มอยู่ หลายท่าน
ก็น่าจะพอรับรู้ความรู้สึกแบบที่เราเคยเป็น ก็เช่นกันครับ แต่ผมว่ามันคงอีกนาน กว่าที่ทุกอย่างจะเป็นไปอย่าง
ที่มันจะเป็น.... กลับมาประโยคเดิมตอนแรกครับ ผมเองก็พร้อมที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่มันจะเกิดขึ้นมาพักใหญ่ๆ
บ้างแล้วครับ กับการลงทุนที่ไม่ใช่น้อย สำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างผม โดยไม่มีทุนรอนสะสมใดๆ ก็ถือว่ามันควรค่า
และน่าจดจำไปตลอดชีวิต ที่เราได้มี "โอกาส" ได้สัมผัสหรือได้ลองทำดูซักครั้งครับ หลังจากที่ได้ลองดูแล้ว
เราจะรู้ว่า สิ่งที่เราอยากทำมาทั้งชีวิต และเราได้ทำมันสำเร็จ มันมี "คุณค่า" มากเกินกว่าที่จะบรรยายได้หมดครับ
ผมก็ยังรู้สึกอย่างนั้นอยู่เหมือนเดิมครับ.....
ชอบคำว่า รับรู้ / ยอมรับ มากครับ มันทำให้ได้คิดอะไรหลายๆอย่าง โดยเฉพาะความชอบกับสิ่งที่ต้องเปลี่ยน หรือความหลงกับความเป็นจริง
ยอมรับความเป็นไปว่าความชอบคือความชอบ เราบังคับให้ใครมาชอบเหมือนเราไม่ได้ ไม่ว่าหนังกลางแปลงจะอยู่กับเราอีกกี่ปี ความชอบคงอยู่กับเราจนตายจากกันไป อีกอย่างการเอาดีวีดีไปฉายกลางไม่ว่าจอจะใหญ่หรือเล็กมันก็คือวีดีโอมันไม่มีคุณค่าไม่ต่างกับดูทีวีที่บ้านเลย ถึงแม้ผมจะดูหนังกลางแปลงคนเดียวผมก็จะดู
หนังกลางแปลงมันอยู่ในใจไปแล้วครับ ถึงขนาดบางเดือนไม่ค่อยมีงานก็ยังตั้งจอฉายเล่นเองเลย คิดดูเอาเองละกันว่าหนังกลางแปลงจะตายเมื่อไร มันอาจจะตายไปจากสังคมไทย แต่มันไม่เคยตายไปจากใจ...ครับ
ผมว่าเครื่องฉายโปรเจคเตอร์ล้มเครื่องฉายหนังกลางแปลงไม่ลง เพราะไม่สามารถฉายจอใหญ่อย่าง 14-20 เมตรได้ เป็นไปได้ที่โรงชั้นหนึ่งอาจใช้เครื่องฉายดิจิตอลแทนเพราะใช้จอไม่ใหญ่มาก แต่กับกลางแปลงแล้วมันอีกระดับหนึ่งแต่ระบบฟิล์มมีสิทธิ์หมดไปได้เนื่องจากผู้ผลิตไม่ให้ความสำคัญเลิกผลิตไปเลย ด้วยเหตุปัจจัยหลายๆอย่าง ยุคนี้เป็นการต่อสู้ระหว่างดิจิตอลกับอนาล็อกผู้บริโภคเป็นกรรมการตัดสินจะให้ใครเป็นฝ่ายชนะครับ
แว๊บบ มาอีกทีครับ
ผมว่าบางอย่างเราเป็นคนเลือกได้ที่จะทำหรือไม่ทำอะไรนะครับ
แต่ถ้ามองในเชิงธุรกิจลูกค้าเป็นตัวกำหนดความต้องการครับในตอนนี้
เหมือนอย่างที่ผมเคยรู้สึกมานานแล้วว่าผมฉายหนังดูคนเดียวผมก็ทำได้ แต่โลกความเป็นจริงมันเหนื่อยครับ
ยิ่งถ้าฉายดูกันเอง เก็บของเอง จ่ายตังค์ค่าเช่าฟิล์มเอง ซ่อมเครื่องเอง ผมฉายอยู่ในบ้านคนเดียวน่าจะดีกว่าครับ
ผมคิดว่าตอนนี้โลกมันไปเร็วกว่าที่ผมจะตามมันทันแล้ว จนคิดว่าอยู่เฉยๆซักพัก ก็เลยขอรอดูทิศทางก่อนจะดีกว่าครับ อันนี้ก็เลยเอามาฝากให้อ่านกันเล่นๆครับ ว่าด้วยอนาคตล้วนๆ
http://mblog.manager.co.th/kacharaj/Part2-2/
ขอความเห็นจากพี่ป๊อก เทวดา หน่อยครับ เรื่องลิขสิทธิ์การฉายแบบดิจิตอล ว่ายังเป็นของสายหนัง
แสดงว่าอีกหน่อยเราฉายโปรเจ๊คเตอร์ออกงาน ได้เหมือนการเช่าฟิล์มใช่ไหมครับผม
ผมว่าหนังกลางแปลงบางหน่วยน่าจะเห็นข้อดีบางอย่างนะครับ อย่างเช่นผมผมว่าสะดวกดีไม่ต้องไปรับ-ส่งฟิล์ม
แถมถ้าทำฟิล์มเสียต้องโดนปรับอีกเป็นหมื่นๆครับ
ส่วนเรื่องแสงฉายผมขอ share หน่อยนะครับ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ผมรู้ว่าเครื่องฉายมันก็เหมือนๆ
กับเครื่องที่เราฉายฟิล์มครับ มันก็มีเกรดของมัน ดังนั้นไม่น่าเป็นห่วงครับ สามารถสู้แสงได้สบาย ถ้าสู้เงินได้ครับ
หน่วยไหนมีเงินก็คงไม่สะเทือนหรอกครับ เพราะเขาคงไม่ซื้อเครื่องละหมื่นสองหมื่นแบบผมมาใช้
ดังนั้นสบายมากขึ้นด้วยครับ ..เอามาฝากซักเครื่องก่อนละกันครับ อันนี้ Barco
ส่วน Spec ตาม Link ครับ
http://www.barco.com/en/events/product/1704/specs
อ่ะ อีกนิสสส ใช้หลอดจิ๊บๆ ครับ 3 K Walt หรือคร่าวๆ 14000 LM ครับ