+ | + |
+ | + |
ความเห็น |
บริษัท Gar Bo Motion Picture Company เปิดดำเนินการในปี 1978 สามหนุ่มก็ช่วยกันทั้งแสดง กำกับ และดูแลคิวบู๊ โดยได้เพื่อนๆ ฝูงๆ อีกหลายคน ไม่ว่าจะเปีน หวงไปหมิง ซื่อเทียน หรือรุ่นน้อง อย่าง หยวนเปียว, หลินเจิ้งอิง มาร่วมงาน
ผลงานประเดิมบริษัทคือ หนังเรื่อง Dirty Tiger, Crazy Frog เป็นหนังในแนวกังฟูตลก ซึ่งก็ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี จนกระทั่งมีผลงานในแนวทางเดียวกันออกมาอีกเรื่องในปีต่อมา ซึ่งหนังเรื่อง The Odd Couple ผลงานลำดับที่สอง ยิ่งประสบความสำเร็จ เหนือชั้นขี้นไปอีก หนังยังยืนพื้นตลกกังฟู เช่นเดิม แต่เพิ่มสีสรรค์ และมุขต่างๆ เข้าไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโชว์ ฉากต่อสู้ด้วยอาวุธทีทำออกมาได้อย่างน่าทึ่ง
หลังจากมีผลงานยอดเยี่ยมอยู่ถึงสองเรื่อง น่าเสียดายที่ Gar Bo Motion Picture Company ก็ยุติบทบาทไปในปี 1979 นั้นเอง หงจินเป่าเข้าทำงานกับ Golden Harvest อย่างเต็มตัว ขณะที่เม๊าะเจี่ยก็ร่วมกับเพื่อนฝูงดาราตลก และนักเขียนบท เปิดบริษัท Cinema City บริษัทผลิตหนังที่ยิ่งใหญ่แห่งยุค 80 ที่เม๊าะเจียะเองมีบทบาทสำคัญทั้งเบื้องหลัง และเบื้องหน้ากับบทบาทการแสดงในหนังชุด Aces Go Places (เก่งกับเฮง) ด้านหลิวเจียงหยง ก็ยังคงรักษาสถานภาพณ์ มือปืนรับจ้าง ที่ทำงานกับทุกบริษัท ไม่ว่าจะเป็นกำกับ คิวบู๊ หรือแสดง
จนกระทั่งในปี 1990 ทั้งสามเพื่อนซี้ได้มีโอกาศกลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง ในช่วงที่สถานการณ์ของบริษัท Cinema City เริ่มใกล้ปิดตัว จากภาวะหนังขาดทุนติดต่อกันหลายเรื่อง (โดยเฉพาะ Undeclared War หนังหวังตลาดตะวันตกที่กำกับโดยริงโก้ แลม ที่ดึงดาราจางฮอลลีวูดมาร่วมแสดง เจ๊งแบบมโหฬาล ขายไม่ออกทั้งในฮ่องกง และนอกฮ่องกง เปิดเหตุให้ Cinema City ต้องปิดตัวลงไปอย่างน่าเศร้า) ทางบริษัทอย่างจะผลิตดหนังง่ายๆ เร็วๆ ออกมากู้สถานการณ์ซักเรื่อง จึงคิดรื่อฟื้นหนังตำรวจ แอ็กชั่น ตลกภาคต่อ ชุด Tiger On Beat (โหดทะลุแดด)
แต่ไปๆ มาๆ ไม่สามารถดึงตัว บุคลากรเก่าๆ จากสองภาคแรกทั้ง โจวเหวินฟะ หลี่ซิวเสียน หลี่หยวนป้า มาได้เลย เม๊าะเจียะ เลยปรับแผน เปลี่ยนเป็นการสร้างหนังแนวใกล้เคียงกัน แต่คิดเนื้อเรื่องขึ้นใหม่ทั้งหมด โดยติดต่อให้ อดีตเพื่อนซี้ทั้ง ในอดีตอย่าง กลับมร่วมงานกันอีกครั้งเกิดเป็นงานที่ชื่อว่า Skinny Tiger and Fatty Dragon ขึ้นมา โดยมอบหมายให้หลิวเจียหยง กำกับ และทั้งสามร่วมกันแสดงในบทนำ
เนื้อเรื่องของหนังนั้นจัดว่าเรียบๆ ง่ายๆ เดินตามรอย แนวทางหนังสองตำรวจคู่หู หนึ่งเจ้าเล่ห์เอาชนะด้วยปัญญา หนึ่งซื่อบื่อเอาชนะด้วยกำลัง ทั้งสองต้องผสานความต่าง ร่วมมือกันทำงานเพื่อชัยชนะ ต่อศัตรู หนังเปิดเรื่องด้วยการแนะนำ ผู้หมวดอ้วน (หงจินเป่า ) ผู้เก่งกาจในทางบู๊ และผู้หมวดโล้น (เม๊าะเจียะ) ผู้เก่งกาจในทางบุ๋น
สองคู่หูร่วมมือทำคดี กันในการเอาผิด อาญากรเจ้าพ่อมาเฟียตัวเอ้ (หลิวเจียหยง) การดำเนินเรื่องของหนังนั้นก็ต้องยอมรับว่า เรื่อยเปื่อยอยู่พอสมควร หนังกระจัดกระจายไปด้วยฉากสืบสวนสอบสวน หาพยานหลักฐาน ปกป้องพยานคนสวย (หนังเรื่องแรกของ อู๋เจียลี่ผู้แสนเซ็กซี่แต่ขี้เหร่) สลับกับฉากบู๊กับเหล่าร้าย และฉากตลกโปกฮาไปตามเรื่อง
สองตำรวจคู่หูทำงานจนล้ำเส้น ถูกขั้นโดนตำหนิต่อว่าจากผู้บังคับบัญชา เมื่อทำดีไม่ได้ดี กลับถูกกดดันจากพวกเดียวกันเอง พ่ออ้วน กับพ่อโล้น จึงตัดสินใจ ลาออกจากงานตำรวจ ย้ายไปอยู่สิงคโปร์ และเปิดกิจการร้านคาราโอเกะ (เฮ้ย !!! … เลยเถิดไปไกลเลยนั้น)
+ | + |
+ | + |
ฟังดูมั่วๆ นะครับ แต่จริงแล้วมันก็มีเหตุผลรองรับอยู่เหมือนกัน หนัง
Skinny Tiger and Fatty Dragon นั้นได้รับเงินทุนบางส่วน
จากบริษัทสัญชาติสิงคโปร์ โดยหนึ่งในเงื่อนไขที่พ่วงเข้ามาก็คือ
หนังต้องยกกอง มาถ่ายทำกันในในสิงคโปร์ด้วย จุดประสงก็คง
เพื่อโปรโมทการท้องเทียวในประเทศ ในหนังจึง
มีทั้งฉากสองพระเอกควงสาวเที่ยวเรือสำราญ และดิ้นกันในดิสโก้เทค สุดทัยสมัย
ชนิดดูไปก็ยังงงไปว่ามาได้ไงหว่า
ก่อนที่จะออกทะเลไปมากกว่า หนังก็พาเรื่องวกกลับมาหาเนื้อหาหลักอีกครั้ง
พวกวายร้ายยังคงจ้องตามราวีไม่เลิก ส่งมือสังหารสาวประเภทสอง (แน่นอนว่า
จากเมืองไทย) มาลอบทำร้าย และจับพยานสาวคนสวยเป็นตัวประกัน
วิธีเดียวที่จะหยุดยั้งความอหังการ ของเจ้าพ่อตัวแสบได ก็คือ ลุยซึ่งหน้า
ซัดกันด้วย หมัด ฟันด้วยมีด กันไปเลย
Skinny Tiger and Fatty Dragon ก็คือว่าเป็นหนังตลก
แอ็กชั่นฮ่องกงเรื่องหนึ่งนะครับ ทั้งมุขตลก และการดำเนินเรื่อง
มาดูยุคนี้ก็ถือว่าเชยไปไม่น้อยแล้ว แต่ในยุคนั้น
มุขตลกถือว่าเป็นจุดขายสำคัญในประเทศยิ่งกว่าฉากบู๊ซะอีก ถึงขั้นที่ว่า
ในตอนทำหนังเสร็จ เม๊าะเจียะ ต้องลงมากำกับเพิ่ม
ในฉากถ่ายซ้อมเพื่อเพิ่มมุกตลก กันเลยทีเดียว
การดำเนินเรื่องขอวหนังอาจจะดูมั่วๆ ไปบ้าง แต่ภาคบู๊สุดยอด
แบบมือไม่ตกเช่นเคย ช่วงนั้นหนังตำรวจแอ็กชั่นของฮ่องกง ได้รับอิทธิพลจาก
Police Story (วิ่งสู้ฟัด) ที่เน้นคิวบู๊ประเภท
ฉากสตั้นโชว์ความสามารถในการเจ็บตัว และความวินาสสันตโร กันเป็นส่วนใหญ่
แต่ Skinny Tiger and Fatty Dragon กลับยินดีที่จะเน้นคิวบู๊ตัวต่อตัว
การต่อสู้ด้วยมือ หรืออาวุธสั้น และยาว อย่างพลอง หรือมีด
เรียกว่าชวนให้สงสัยกันไปเลยว่า ทั้งตำรวจ ทั้งมาเฟีย เอาปืนไปไว้ไหนกันหมด
ถึงแม้หนังจะมีดารา และผู้กำกับอย่าง เป็นยอดผู้กำกับคิวบู๊แห่งวงการ
แต่ทั้งสองกลับเลือก ที่จะมอบตำแหน่งผู้กำกับคิวบู๊
ให้กับเด็กหนุ่มหน้าใหม่ไร้ชื่อเสียง ไร้เครดิต (ในช่วงเวลานั้น)
อย่างหงหยันหยัน และฉีเป่าหัว (Ridley Tsui) รับหน้าที่ไป
ทั้งสองคนอาจจะม่ได้มีชื่อเสียงโด่งด่ง ประสบการณ์ก็ไม่มาก
อาุยุอยู่แค่ยี่สิบต้นๆ เท่านั้น แต่ฝีมือนั้นไม่ธรรดา หงหยันหยัน
(ที่หลายๆ คนอาจคุ้นเคยเขา ในบท “ตีนผีเจ็ด” ในหนังชุดหวงเฟยหง)
ถนัดกับมวยจีนแบบเก่า ขณะนั้นอยู่ในทีมของ ปรมจารย์หลิวเจียเหลียง
ซึ่งหลิวเจียหยง ชื่นชมในฝีมือ และขอยืมตัวมาช่วย ส่วน ฉีเป่าหัว
ร่ำเรีียนมาทางงิ้ว และศิลปะป้องกันตัวสมัยใหม่
ทั้งสองก็ไม่ทำให้ทั้งคนดู และสองปรมจารย์ อย่างหลิวเจียหยง หงจินเป่า
ต้องผิดหวัง ช่วยกันสร้าง ออกแบบ รวมถึงร่วมแสดงในบท
ตัวประกอบรับหมัดรับเท้า ในฉากบู๊ที่ทั้งสนุก และหลากหลาย
หงจินเป่าได้มีโอากส ล้อเลียน (และบูชา) ราชานักบู๊บรูซ ลี อีกครั้ง
(หลังจากเคยทำหนังล้อเฮียบรูซแบบเต็มๆ มาแล้วในชื่อว่า Enter The Fat
Dragon) ทั้งการแผดเสียงแหลม ปั้นหน้ากวน และลีลาต้อยหนัก แตะสูง แบบบรูซ
ลีที่เราคุ้นเคยกัน หงจินเป่า พิสูจน์ให้เห็นนว่า
ถึงแม้รูปร่างหน้าตาจะห่างกันคนละโลก แต่หงจินเป่าเป็นหนึ่งใน นักแสดงกลุ่ม
Bruceploitation (เลียนแบบบรูซ ลี) ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลยทีเดียว.
Skinny Tiger and Fatty Dragon ยังมีฉากต่อสู้ด้วยอาวุธที่ยอดเยี่ยม
หงจินเเป่าโชว์การใช้อาวุธทั้งกระบองสั้นคู่ กระบองสองท่อน
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีดคู่ ที่ทั้งหงจินเป่า
และหลิวเจียหลงดวลกันชนิดมันหยด ทั้งไวทั้งพริว
เรียกว่าในหมู่มวลหนังที่มีฉากหนังสมัยใหม่ด้วยกัน Skinny Tiger and Fatty
Dragon น่าจะเป็นหนังประเภท “ด้วยอาวุธ” ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งเลย
ฉากการดวลมีดนั้นเป็นส่วนหนึ่งของ คิวบู๊ท้ายเรื่องที่กินเวลาหลายนาที
โชว์คิวบู๊ที่หลากลาย ทั้งสตั้นเจ็บตัว ฉากตลุมบอล ดวลหมัดเท้า
และฟาดฟันกันด้วยอาวุธอย่างที่กล่าวไปแล้ว นับเป็นฉากที่เยี่ยม
โดดเด่นเป็นพิเศษ ช่วยฉุดภาพรวมของหนังให้ดูดีขึ้นาด้วยอย่างเหลือเชื่อ
เรียกว่ารอฉากนี้ฉากด้วยก็คุ้มแล้วนะครับ
ควาามลงตัวหลายๆ อย่างของ Skinny Tiger and Fatty Dragon
อาจจะเทียบงานแบบเดียวกันในช่วงนั้น (โดยเฉพาะวิ่งสู้ฟัด) ไม่ได้
แต่ก็ยังเป็นงานที่น่าดูอยู่ดี
โดยเฉพาะภาคบู๊ของหนังที่ทำออกมาได้อย่างสุดยอด หนังยังเป็นงานในยุคท้ายๆ
ของทั้งสาม เป็หนังเรื่องท้ายๆ ที่เม๊าะเจียะสร้าง
เป็นงานกำกับเรื่องสุดท้ายหลิวเจียหยง และน่าจะเรียกได้ว่า Skinny Tiger
and Fatty Dragon เป็นหนังเรื่องสุดท้าย ที่สภาพร่างกาย ตลอดจนความฟิต
รูปลักษณ์แห่งความหนุ่ม (ใหญ่) ของพระเอกนักบู๊ทั้งสอง อย่าง หงจินเป่า
และหลิวเจียหลง ยังคงพร้อมสมบูรณ์แบบอยู่ ก่อนที่วัยจะมากขึ้น
ในช่วงเวลาอีกไม่นานหลังจากนั้น..
ที่มาของข้อมูล : http://mihk2002.wordpress.com/2008/04/12/skinnny-tiger-fatty-dragon/
+ | + |
+ | + |
นายโอ สารคามผู้เป็นตำนานของเวบนี้หรือในชื่อใหม่ว่า"ศักดิ์ "
กรุณาอย่าเพื่งโพสกระทู้เข้ามาไม่งั้นผมจะลบกระทู้ของคุณออกเพราะคุณโพสชน
กับข้อมูลที่ผมนั่งพิพ์เป็นวรรคเป็นเวรจนข้อความของผมที่พิมพ์เอาไว้หาย
เกลี้ยงหมดเลย..โปรดใช้วิจารณญาณของคุณด้วย!ผมเตือนคุณแล้วนะ!