Mobile Version / สำหรับโทรศัพท์มือถือ ยินดีต้อนรับท่านผู้มาเยือน www.peoplecine.com ท่านยังไม่ได้ log in นะครับ เข้าใช้งานระบบ / สมัครสมาชิก/ ลืมรหัสผ่าน

ร่วมทดสอบ Peoplecine mobile Beta0.1


รูป
ตำนานนักพากย์ผู้ยิ่งใหญ่เจ้าของ ผู้ตอบหลังสุด
-ก่อนเข้าเรื่อง "คุยเฟื่องเรื่องนักพากย์" ของ "ชัยเจริญ"ยังไม่มีคนตอบ
-เรียน คุณลุงชัยเจริญ ดวงพัตรา (นักพากย์ภาคใต้).. 21/10/2552 9:58
-คุณปราศรัย กีรกะจินดา.. 11/9/2552 13:58
-จาก...ผู้เชี่ยวชาญการทำ Sub. ของภาพยนตร์ทางเคเบิลทีวี.. 19/8/2552 8:53
-ให้เสียงภาษาไทยโดย "พันธมิตร".. 18/8/2552 19:48
-พี่โต๊ะ พันธมิตรและลุงศุภชัยมาเยี่ยมอุดร 30 พค. 2552.. 7/8/2552 18:35
-อุตสาหกรรมหนังไทย.. 7/8/2552 18:09
-ทีมพากย์ในดวงใจ.. 7/8/2552 17:58
-การพากย์ภาพยนตร์ในประเทศเยอรมัน.. 6/7/2552 12:58
-เรียน tongkonrukluktung.. 6/7/2552 12:30
-จาก "สมาคมนักพากย์ภาพยนตร์แห่งประเทศไทย".. 9/6/2552 11:57
-คลิป นักพากย์ ในวันงาน thaicine ฌ โรงภาพยนตร์ BMC ดาวคะนอง วันที่ 17 พ.ค. ครับ.. 23/5/2552 18:19
-เยี่ยมบ้านนักพากย์หนังรุ่นใหญ่.. 18/5/2552 19:29
-การพากย์หนัง (โดย รศ. ดร. ปราณี ศิริจันทพันธ์).. 11/5/2552 9:21
-หารูปทีมภาคของพันธมิตรมาลงมั่งซิครับ.. 11/5/2552 9:17
-ศัพท์ภาพยนตร์.. 11/5/2552 8:51
เลือกหน้า [1] [2] [3] [4] [5] [6] [7] [8] [9] [10] [11] [12] [13] [14] [15] [16] [17]
จำนวนหัวข้อทั้งหมด 265

ให้เสียงภาษาไทยโดย "พันธมิตร"


 

"พันธมิตร"  ที่เรากล่าวถึงนี้ไม่ใช่กลุ่มทางการเมือง 

พวกเขาไม่ได้ออกมาเรียกร้องอะไร  พวกเขาไม่มีสี  ไม่ได้แบ่งฝักแบ่งฝ่าย

 

แต่พวกเขาคือทีมนักพากย์มือวางอันดับหนึ่ง

ที่สร้างความสุข  ความฮา  และความเศร้า ด้วย...

 

"เสียง"

 

 

ทั้ง เฉินหลง   /   โจว ชิง  ฉือ   /   อาร์โนลด์   /   แบรดพิตต์   /   และบรรดาดาราดังระดับโลก

ต่างผ่านฝีปากของทีมพากย์พันธมิตรมาหมดแล้ว

ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังเสียงอันหล่อเหลา  หรือเซ็กซี่เย้ายวนใจ  นั้นคือ...

บรรดาทีมพากย์ที่คุณอาจจะเคยเดินสวนพวกเขาบนท้องถนนก็เป็นได้

 

 

[ คัดลอกจากนิตยสารแจกฟรี  : 

WAKE UP   (QR CODE MAGAZINE  ฉบับแรกของประเทศไทย)

vol. 1   Issue 5

August 2009 ]

 

 

ขอได้รับความขอบคุณจาก...

ชลิดา นภาพิพัฒน์

นายกสมาคม (โดนเซ็นเซอร์).

 



ความเห็น

[1]


 

ในหมู่บ้านย่านประชาชื่น  เรากำลังรอสัมภาษณ์ทีมพากย์พันธมิตร

ที่กำลังทำงานกันอยู่ภายในบ้านหลังสีขาวซึ่งเป็นเหมือนฐานที่มั่นของพวกเขา

เสียงที่เราคุ้นหูในภาพยนตร์เรื่องดัง แว่วมาจากในตัวบ้าน

เรานั่งจินตนาการเสียงหล่อ ๆ สวย ๆ ว่าเบื้องหลังเสียงพวกนั้น...เขาจะมีหน้าตาอย่างไร

 

 

 


+


 

 

ไม่นาน   ปริภัณฑ์ วัชรานนท์  หรือพี่โต๊ะ 

หนุ่มร่างใหญ่แต่ใจดี  หัวหน้าทีมพากย์พันธมิตร  ก็เปิดบ้านออกมาทักทายเรา 

ด้วยเสียงที่หลับตาแล้วอาจจะนึกว่า   เฉินหลง   มาเอง 

ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยราวกับว่าได้เจอตัวจริงของดาราที่ชื่นชอบ

 

 

"ตอนเราเป็นเด็กจะชอบไปดูหนัง  ก็ชอบมองขึ้นไปบน ห้องพากย์   เห็นหัวคนแค่สองคนในห้องพากย์

แต่คนสองคนสามารถทำให้คนหัวเราะก็ได้  ร้องไห้ก็ได้  เขาสะกดคนทั้งโรงได้เลย

สองคนใน ห้องพากย์ ต้องเก่งจริง ๆ ก็เลยอยากเป็นอย่างนั้น"

 

พี่โต๊ะ  เริ่มต้นเล่าแรงบันดาลใจที่ทำให้เขาดำเนินรอยตามความฝันในปัจจุบัน

 

 

และโชคก็เข้าข้าง เด็กชายโต๊ะ 

เมื่อ นักพากย์ ที่อยู่ข้างบ้านของเขาเปิดโอกาสให้เด็กชายคนนี้ได้เดินตามความฝัน

 

แต่การพากย์ครั้งแรกในชีวิตนั้น

ก็ไม่โชคดีเสมอไป

 

 

/  "ตอนนั้น...

 

 

 




 

"ตอนนนั้น  น้าปื๊ด  นักพากย์ที่อยู่ข้างบ้าน  เขาชวนไป พากย์ ที่อ่าวลึกเหนือ  จังหวัดกระบี่

แล้วให้เราไปดูเขา พากย์ หนึ่งรอบ  แต่พอดีไฟดับ  ฝนตก  หนังไม่ได้ฉาย

เราเลยไม่ได้ดูเขา พากย์

 

วันรุ่งขึ้นเราก็ต้องไปอ่าวลึกเหนือ  ทั้ง ๆ ที่หนังก็ไม่เคยเห็น

บทพากย์  ก็ไม่เคยเห็น   ไม่รู้เรื่องเลยว่าเขา  พากย์หนัง  กันยังไง 

พากย์ไปพากย์มาก็ถูกโห่  หนังมันมี  6  ม้วน  พากย์ไปได้  4  ม้วน  บทก็หมดแล้ว

คนดูก็เขวี้ยงกระป๋องโอเลี้ยงเข้ามาในห้องพากย์  ก็โป๊กเข้าหัว

เขาก็ตะโกนมาว่าหยุดพากย์ได้แล้ว  คนดูทนไม่ไหวแล้ว

เพราะเราพากย์เละมาก  เละเทะเลยจริง ๆ

ทีนี้เจ้าของโรงเลยพูดใส่ไมค์ว่า  "ถ้าใครพากย์ไม่เป็นก็ไม่ต้องโห่  ถ้าพากย์เป็นขึ้นมาพากย์"

คนดูก็เลยเงียบลง  แล้วเขาก็ส่งไมค์มาให้เรา  "เอ้า พากย์ต่อ"

ตอนนั้นก็เลยไม่ท้อ  โอกาสมาแล้วก็ต้องรีบคว้า  เราก็พากย์ต่อ

เสร็จจากอ่าวลึกเหนือ  ก็ไปท่าชนะ  ไปท้ายเหมือง  ก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง  เริ่มจับจังหวะถูกแล้ว

เริ่มจบพร้อมหนัง  แต่ก็ยังไม่ได้เรื่องล่ะ  แต่ก็พยายามปรับมาเรื่อย ๆ"

 

 

/  เมื่อหนัง...

 

 




 

เมื่อหนังที่ลงไปในต่างจังหวัดมีเสียงไทยในฟิล์มมากขึ้น  งานของเขาก็เริ่มน้อยลง

เขาจึงต้องตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯ  โดยเริ่มมาพากย์ในโรงหนังแถบชานเมือง

พอดีช่อง 3  ขาดคน  จึงเป็นโอกาสดีให้เขาได้ไปพากย์ที่นี่อยู่เกือบ  10  ปี

แต่เพราะงานนอก ที่เข้ามามากขึ้นทำให้เขาคิดที่จะตั้งทีมพากย์ขึ้นมา

นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของทีมพากย์ที่ใช้ชื่อว่า  "พันธมิตร"

 

 

/ เราเริ่มตั้งในปี 2535 ...

 




 

"เราเริ่มตั้งในปี 2535  แต่มาเป็นรูปเป็นร่างประมาณปี 2540  ที่มาของพันธมิตรนั่นก็คือ...

ถ้าเราไม่มีคนในทีมที่สามารถ พากย์เสียง เป็นตัวละครได้  เราก็จะดึงคนที่บางทีไม่ได้อยู่ในทีมเรา

อยู่ในทีมพากย์อื่น  ใครก็ได้เสียงเหมาะกับตัวละครที่เรารับหนังมา 

เฮ้ย !  คนนี้เหมาะอยู่ตรงนั้นตรงนี้  สนใจไหม มาช่วยกันหน่อย  ไม่เป็นศัตรูกับใครนะ  เราเป็นมิตรกับทุกคนดีกว่า

มาไหม ๆ นั่นคือที่มาของเรา"

 

 

"ช่วงแรกที่เรา พากย์    เราโชคดีได้หนังดี ๆ มาส่งด้วย  เป็นหนังที่ตลก  หนังสนุก  มาส่งเราเยอะ 

หนัง  โจว ชิง ฉือ   เข้ามา   หนังดี ๆ ของเกาหลีเข้ามา   ยังตัวร้ายกับนายเจี๋ยมเจี้ยม  เข้ามา

ซึ่งหนังมันสนุกอยู่แล้ว  เราแค่เอามุขสถานการณ์บ้านเรา  มุขสถานที่ใส่เข้าไป  แต่ให้มันถูกจังหวะหน่อย

แค่คุมจังหวะจะโคนของการปล่อยมุข รับมุข เท่านั้นเอง  อย่าให้สาดกันกระจาย  แบบว่าต่างคนต่างก็สาดมุขกันไปเลอะเทอะ

มันก็จะไม่ขำ  แค่เราไปนั่งจับจังหวะการส่งมุข รับมุข ให้ดี  มันก็จะเข้ากับหน้าหนังพอดี  มันก็จะขำเอง"

 

 

ส่วนการคิดมุขนั้นเกิดจากการติดตามข่าวสารในปัจจุบัน  ทั้งวงการบันเทิง   การเมือง   โฆษณา 

เพื่อให้คนดูได้มีอารมณ์ร่วมกับปัจจุบัน  และเป็นการพัฒนามุขที่ใหม่สดอยู่เสมอ

 

 

"ถ้าหนังมันเข้ามาเนี่ย  พี่จะได้ดูหนังก่อน  พอเห็นหนังปั๊บ  เราเห็นแนวทางหนัง  เราก็จะคุยกับเด็กในทีมว่า...

ในตอนนี้มีคำพูดอะไรแปลก ๆ หรือเปล่า  ดูทีวีสิ  ในโฆษณามันมีอะไรไหม  เพลงมีอะไรไหม  แล้วก็นำมาใส่

ตัวเราจะมีโพยไว้อันหนึ่ง  เอาไว้ในกระเป๋า 

พอเจอคำพูดอะไรดี ๆ ก็จะจดไว้  แล้วดูจังหวะหนัง  ใส่ให้มันตรงกับหน้าหนัง  อย่าฝืนหนังเท่านั้นเอง"

 

 

การทำงานของ     ทีมพากย์พันธมิตร      เริ่มตั้งแต่  10  โมงเช้า

ไปจนกว่าจะเสร็จงาน  ถ้าวันไหนเป็นหนังแผ่นง่าย ๆ ก็สามารถ พากย์ ได้ถึง  5  เรื่อง

ถ้าวันไหนเป็นหนังยาก  เช่น  หนังตลก ก็ได้วันละประมาณ  3  เรื่อง

แต่ถ้าเป็นหนังที่เตรียมเข้าโรงหนัง  ซึ่งต้องใส่อารมณ์มาก  ผิดพลาดได้น้อย  ก็ได้เพียงวันละเรื่อง

 

 

แม้จะเป็น  ทีมพากย์  ที่ได้รับคำชมในเรื่องความตลก  แต่ก็เคยมีบางเสียงติติงมาในเรื่องการใส่มุขมากจนเกินไป

กลายเป็นบทเรียนที่  พันธมิตร  ใส่ใจอยู่เสมอ

 

 

"ถ้าหนังตลก เราจะขยี้ได้เลย  และใช้ความรู้สึกทำงาน  รู้สึกยังไงพูดไปอย่างนั้น 

แต่ถ้าหนังจริงจัง  หนังซีเรียส  ไม่ต้องไปแตะ  คำหนึ่งก็ไม่ต้องขำ  ถ้าทางหนังไม่ให้ อย่าไปบิด

เพราะเมื่อก่อนใหม่ ๆ เคยไปบิดอยู่เรื่องสองเรื่อง ก็ยังเสียใจจนบัดนี้ 

เคยมีเรื่อง  Battle Royal   หนังมันโหดและมันเคร่งเครียดมาก  แล้วก็ถูกสั่งมาว่าควรจะขำ

เออ !  เราก็ขำเข้าไป 

แต่พอมาตอนนี้  เรามานั่งดูดีวีดี  ซื้อมานั่งดูหนัง  เราก็เสียใจนะ

แต่แรก ๆ เรายังไม่สามารถไปต่อรองได้ 

แต่พอช่วงห้าปี เจ็ดปีหลังเนี่ย  ถ้าเกิดทางหนังไม่ให้นะ ไม่ต้องขำ  ไม่เล่นคือไม่เล่น  ช่วงนี้เรามีสิทธิ์จะเลือกตรงนี้ได้"

 

 

" การพากย์หนัง เหมือนกับการปรุงอาหาร  คนหนึ่งอาจจะเป็นขิง  เป็นข่า  เป็นตะไคร้ 

ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับคนปรุง  การปรุงอาหารเก่ง ๆ ให้รสออกมาจัดจ้านก็เหมือนหนังดี ๆ สักเรื่อง ต้องใช้การจัดการที่ดี

หนังตลก  มุขต้องดี  ยิงถูกเวลา  ไม่ให้เจี๊ยวจ๊าวเกินไป  ซึ่งเราต้องระวังตัวเอง  ต้องควบคุมตัวเอง

ส่วนหนังผี  หนังชีวิตก็เป็นไปตามความสามารถของแต่ละคน

ถ้าถามว่า พากย์หนัง ชาติไหนยากที่สุด  มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าชาติไหน

เพราะพอใส่เสียงไทยไปก็เป็นเสียงไทยหมด  หนังไม่ได้แยกแยะชาติ  แต่แยกแยะอารมณ์"

 

 

สิ่งสำคัญที่ไม่แพ้คนพากย์  คือคนแปลบทที่ถือว่าเป็นหัวใจของ  นักพากย์

 

 

"เราจะ พากย์  ดีไม่ดี  อยู่ที่คนแปล  คนแปลต้องเข้าใจเรานะว่า...

ฝรั่งพูดสิบคำ  คุณแปลมาสองสองหรือสิบเนี่ย...ไม่ได้

ฝรั่งพูดสิบ คุณต้องเหลือแปด  เพื่อให้เราพูดให้ทันกับปากให้มันรู้เรื่อง  ไม่ใช่พูดสิบ  แปลมาสิบสอง สิบห้า

คนดูก็ไม่รู้เรื่อง  ต้องมานั่งตัดคำ  พอเอาสมองมานั่งตัดคำ  แล้วเอาสมองไหนไปคิดมุข  หนังก็จะไม่สนุก"

 

 

"เมื่อเราถามถึง นักพากย์ ที่ดี     พี่โต๊ะ ตอบทันทีว่า  "คุณสมบัติของ นักพากย์ ที่ดีคือ ...

เสียงต้องดี   ประสาทสัมผัสดี   ตาดู   หูฟัง   ปากพูด   อารมณ์ความรู้สึกต้องดี 

ไม่ใช่แค่ พากย์ ได้     พูดตามตัวละครได้  แต่ไร้อารมณ์ความรู้สึก ก็ไม่ใช่ การพากย์ ที่ดี

ซึ่งการเริ่มต้น พากย์ นั้นต้องเริ่มจากปรับภาษาก่อน  เพราะถ้าใครพูดไม่ชัด  ก็ต้องมาปรับใหม่

แล้วต้องเริ่มจากตัวประกอบ  เป็น ชาย  ก.       ชาย ข.     หญิง ก.     หญิง ข.

แล้วค่อยเริ่มไต่เป็นตัวละครที่เริ่มมีอารมณ์"

 

 

"อาชีพ พากย์หนัง  มันสอนกันไม่ได้  แค่บอกได้แค่แนวทาง   บอกอารมณ์   คุณต้องฝึกฝน  ต้องใช้เวลา

การเริ่มต้นที่จะ พากย์ ก็เริ่มจากอ่านหนังสือให้คล่อง  

ฝึกอ่านหน้ากระจก   ดูตัวเองอ่านออกเสียง  อัดเทปเอาไว้  ลองฟังแล้วรู้สึกอย่างไรกับตัวเอง  อย่าหลอกตัวเอง"

 

 

"ความสุขสำคัญที่สุด  ให้ความบันเทิงกับคนดู  เป็นผู้สื่อสารระหว่างหนังที่เขาสร้างมาแล้วให้คนดูเข้าใจ

ถ้าเราทำอย่างนั้นได้  เราก็โอเคแล้ว  เราก็พอใจแล้ว 

ให้คนดูมีความสุข  ไม่ว่าจะสุขด้วยการขำ  หรือสุขกับความจริงจังของหนัง  แค่นี้เราก็โอเคแล้วนะ  เราก็พอใจแล้ว"

 

 

 

 

 




เลือกหน้า
[1]
จำนวนหัวข้อทั้งหมด 5

กลับขึ้นข้างบน / กลับหน้าแรก

ค้นกระดานข่าว:


ถูกเปิด: ถูกคลิ๊กแล้ว: 117960795 ตอนนี้มีผู้เข้าชม : 1 ล่าสุด :Jerekioxgew , พีเพิลนิวส์ , นุกูล , จาทีเอ , อั้น , เอก , นนท์ , แสบ chumphon , วัตร , เอ๋ ,