Mobile Version / สำหรับโทรศัพท์มือถือ ยินดีต้อนรับท่านผู้มาเยือน www.peoplecine.com ท่านยังไม่ได้ log in นะครับ เข้าใช้งานระบบ / สมัครสมาชิก/ ลืมรหัสผ่าน

ประธานกรรมการ :ปวีณ เขื่อนแก้ว
เวบมาสเตอร์:อนุกูล วิมูลศักดิ์ 084-819-7374,095-308-6840


= ภายใน24ชั่วโมง , = ภายใน 3 วัน = ทั่วไป , = คลาส2 , = คลาส3 ,
รูป
ตำนานนักพากย์ผู้ยิ่งใหญ่เจ้าของ อ่าน ตอบ ผู้ตอบหลังสุด
-พันธมิตร ปะทะ อินทรี ในช่วงดันดารา ตีสิบ52728.. 23/10/2553 22:20
-เยี่ยมบ้านใหม่ของนักพากย์ศุภชัย 10 ตค.5350842.. 12/10/2553 17:52
-บทบาทของสมาคมที่เกี่ยวข้องกับนักพากย์ฯ47881.. 3/10/2553 6:02
-สัมภาษณ์นักพากย์หนัง พี่ต๋อง - แก่นจัง52123.. 22/9/2553 13:18
-ใครเป็นใครใน "พันธมิตร"1051821.. 1/9/2553 11:41
-เปิดรับสมัครอบรม "เทคนิคการใช้เสียงและลีลาในการทำงานบันเทิง"54271.. 31/8/2553 1:18
-ก่อนทีมอินทรีย์ สหมงคลใช้ทีมพากย์ไหนคับ 59621.. 11/8/2553 15:40
-Sub. เกรดสูง / พากย์เกรดต่ำ53156.. 3/8/2553 15:04
-ควานหานักพากย์หนังกลางแปลงที่อยู่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ตอนนี้838331.. 18/7/2553 13:57
-นักพากย์การ์ตูนทางโทรทัศน์1987648.. 13/7/2553 17:09
-หนังพากย์มีเสน่ห์อยู่มากมาย51202.. 12/7/2553 11:53
-นักพากย์รับงานพากย์หนังเรื่องระเท่าไหร่ครับ51664.. 12/7/2553 11:35
-ทีมพากย์ อินทรีหายไปใหน55549.. 4/3/2553 13:43
-โอ๊ต จักรกฤษณ์ หาญวิชัย96732.. 2/2/2553 19:27
-หนังสือตำนานนักพากย์ผู้ยิ่งใหญ่602615.. 13/1/2553 9:14
-"คุยเฟื่องเรื่องนักพากย์" โดย "ชัยเจริญ"1136337.. 25/11/2552 9:01
เลือกหน้า
[<<] [15] [16] [17]
จำนวนหัวข้อทั้งหมด 265

(ID:4424) ควานหานักพากย์หนังกลางแปลงที่อยู่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ตอนนี้


เรียนคุณลุงคุณป้า คุณน้าคุณอา ศิลปินในเงามืดที่ยังไหวอยู่กับการพากย์หนังแบบสด หรือหนังกลางแปลง กรุณาตอบกลับด้วยครับ   เพราะเร็วๆ นี้ ทีมงานสื่อสร้างสรรค์ไทย บริษัท ไทย ครีเอท มีเดีย จำกัด อยากจัดกิจกรรมพบปะแลกเปลี่ยนพูดคุยเพื่อนำไปสู่การจัดกิจกรรมพากย์หนังแบบสดๆ ให้รุ่นลูกหลาน-เหลนโหลน ได้ดูได้ชมกัน เป็นการสาธิตศิลปะการพากย์ให้เป็นแบบอย่างแก่อนุชนรุ่นหลังที่รักในวิชาชีพและศิลปะในแขนงนี้ได้สืบทอดไว้ โดยกดมาที่เบอร์  08-9780-6134 เพื่อพูดคุยสอบถามเบอร์ติดต่อกันไว้ครับ...ขอบพระคุณมากๆ ครับผม

ความเห็น

[1] [2]


(ID:41256)


ผมเคยพากษ์กลางแปลงเมื่อยี่สิบปีก่อน (2527-2530)สมัยเรียนช่างอีเล็กทรอนิคส์ ได้ไปช่วยงานเพื่อนที่เรียนด้วย ซึ่งครอบครัวเขา มีหน่วยหนังเร่ รับงานเครื่องไฟ จัดบริการเครื่องขยายเสียงงานบุญ งานศพ ผมไปฝึกพากษ์หนังที่แรกก็เป็นผู้ดูนักพากษ์ เป็นแบบครูพัก ลักจำเอา แล้วมาลองพากษ์เอง หนังส่วนใหญ่เป็นหนังจีนชอว์ ซึ่งเป็นยุคที่หนังชอว์ใกล้เลิก มีน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นหนังเก่า ผมพากษ์หนังจีนชอว์เรื่องแรก แต่จำซื่อไม่ได้แล้ว หนังที่พากษ์ยากมากคือ หนังตลกฝรั่ง เพราะตัวแสดงพูดเร็วมาก และมีบทสนทนามาก พากษ์เปลี่ยนเสียงไม่ทัน หนังอินเดียพากษ์ง่าย เนื่องจากมีเพลงร้องประกอบ ทำให้พักเหนื่อย และใส่มุขเวลามีเพลงประกอบ ผมมีความจำดีสามารถพากษ์หนังโดยไม่ต้องดูบท เพราะว่าพากษ์หนังเดียวกันซ้ำกันหลายครั้ง เนื่องจากเจ้าภาพงานจ้าง เลือกหนังที่ตรงกัน ทำให้เราจำบทได้ จำเรื่องราวในหนังได้  เวลาพากษ์เมื่อปรากฎบนจอ จับไมค์และสวิชท์กดตัดเสียงชาวด์หนังในพิลม์เพื่อจะได้พากษ์เรื่องแทรกได้เลยโดยไม่ต้องดูบทพากษ์ เพราะเราจำได้หมดแล้ว แต่พากษ์หนังเรื่องนั้นเป็นแรกต้องดูบทพากษ์ บางครั้งระหว่างพากษ์หนังฝนตกกระทันหัน ไฟดูดต้องหยุดชั่วคราว ก็เป็นประสบการณ์ชีวิตอย่างหนึ่ง ในยุคที่ผมเป็นนักพากษ์สมัครเล่นนี้ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ก็คือ หนังจีนซึ่งตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย เริ่มพากษ์เสียงไทยในพิลม์ เพราะอาจจะเป็นการลดต้นทุนการฉายในโรงภาพยนตร์ ที่ไม่ต้องจ้างนักพากษ์ และหน่วยหนังเร่ก็ไม่ต้องจ้างนักพากษ์เช่นกัน  ผมเคยหน้าแตกอยู่ครั้งหนึ่งได้เตรี่ยมตัวจะพากษ์หนังจีนอยู่หนึ่งซึ่งจำได้ทุกวันนี้ คือ เรื่อง สองพยัฆค์ลำพอง นำแสดง เดวิด เจียง และ
ฉีเฉ้าเฉียน  ได้ทดลองไมค์เสียงก่อนจะพากษ์ซึ่งฉายเป็นเรื่องที่สองเพราะเรื่องแรกที่ฉายเป็นหนังไทย ม้วนสุดท้าย ผมเปิดไฟดูบทพากษ์ เพื่อรอไตเติ้ลหนัง พอไต้เติ้ลมาเท่านั้น เสียงพากษ์ในพิลม์ออกมา ผมเลยหน้าแตกต่อคนนั้งดูหนังกลางลานวัดจำนวนเป็นพัน เลยต้องปิดไฟเลิกพากษ์ในคืนนั้นและไม่ได้เงินค่าพากษ์  ผมก็แปลกใจทำไมมีบทพากษ์มากับม้วนพิลม์หนัง ซึ่งเรื่องนี้ได้สอบถามจากหน่วยหนังเร่นั้นว่า เป็นหนังที่ฉายชนโรง เจ้าภาพเขาใจจริงในเอาเรื่องนี้มาฉายเพราะราคาแพงมากเมื่อนำมาฉายกลางแปลง เพราะตอนนั้น เดวิด เจียง ไม่ได้สังกัดชอว์ฯ แล้ว ส่วนฉีเฉ้าเฉียน ดังมาจากหนังจีนชุด ของ เอทีวี เรื่องกระบี่ไร้เที่ยมทาน  เรื่องนี้ผมได้หาเจอเป็นหนังแผ่น ซีวีดี ที่เยาวราช (ปี 2552) ได้ซื้อเก็บไว้เป้นที่ระลึก


การพากษ์หนังของผม ส่วนใหญ่พากษ์คนเดียวทั้งเสียงผู้ชาย เสียงผู้หญิง เสียงกระเทย เน้นความสนุกสนานเพราะคนดูหนังในชนบทเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ นานที่ปีหนจะได้ดูหนังกลางแปลง ไม่ได้ดูทุกวัน จะได้ดูหนังชักครั้ง ต้องรอเทศกาลงานวัดประจำปี งานอุปสมบทและงานศพนั้นเจ้าภาพนั้นจะต้องมีฐานะดีร่ำรวยจึงจ้างหนังกลางแปลงมาฉายในงานสมโภชได้  เทคนิคการพากย์ง่ายนอกจากใจรักแล้ว ต้องพูดให้ทันหนัง  พากย์ออกจากใจ  เทคนิคการทำทำเสียงให้มือความแตกต่าง เวลาพากษ์พูดหลายภาษา หลายสำเนียง พากษ์ตามตัวแสดงให้เสียงกลับกัน คือ คนอ้วน พากษ์เสียงเล็ก คนตัวเล็ก ผอม พากษ์เสียงใหญ่ ฯลฯ


ผมได้พากษ์ในระยะเวลาสั้นไม่กีปี หลังจากปี 2530ถึง ปัจจุบัน (2553) ไม่ได้พากษ์อีกเลย เพื่อเข้ามาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ จนจบทั้งนิเทศฯและกฎหมาย ซึ่งรับราชการในปัจจุปัน


จาก คนเคยพากษ์หนัง





(ID:41257)

อ่านจนจบได้เนื้อหาดีมากครับตรงใจกับผมเลยและในอนาคตพวกเราคงได้ร่วมงานไทยซีนด้วยกันและพากย์หนังให้สมาชิกได้ดูกันนะครับเพราะตอนนี้ผมได้บอกให้คุณต๋องหาทางรวบรวมสมาชิกที่มีความสามรถพอจะพากย์หนังได้มารวมทีมเฉพาะกิจในยามว่างครับ

ซึ่งทีมพากย์ของเวปเราผมใช้ชื่อว่าทีมต๋องไทยซีนครับ เพื่อที่จะได้คุ้นเคยกับผู้ฟังกันได้งายขึ้นครับ ส่วนอนาคตจะเปลี่ยนชื่อทีมพากย์เฉพาะกิจนี้ก็ถึงค่อยเปลี่ยนทีหลังก็ได้ครับแต่ผมอยากให้มีคำว่าไทยซีนพ่วงท้ายด้วย เพราะมันฟังดูขลังดีครับ




(ID:41379)

ต่อเนื่องจาก ความเห็นที่ 1 

 ตอนที่ผมเข้ามาเรียนต่อกรุงเทพฯ และได้ทำงานไปด้วยอยูที่ โรงงานทอผ้าแถวซอยกลับเจริญ พระประแดง (ปี2530 -2532) ได้เห็นหนังกลางแปลงที่มาฉายงานวัด  ปิดวิกล้อมผ้า  โดยหนังจีน หนังฝรั่ง ไม่มีการพากษ์หนังซึ่งหนังส่วนใหญ่ได้พากษ์ไทยลงพิลม์   คนส่วนใหญ่เริ่มไม่ได้พบการพากษ์หนัง ในส่วนหนังอินเดีย ไม่มีการมาฉายกลางแปลงอีกเลย 

ครั้งแรกผมเข้ามากรุงเทพฯ ความหวังว่าจะมาสมัครเป็นนักพากษ์หนังประจำหน่ยวหนังเร่ในกรุงเทพฯ-สมุทรปราการ  แต่ก็ได้รับการปฏิเสธหลายที่  ด้วยเหตุผลหลายประการ คือ ประการแรก เป็นช่วงเวลาขาลงของธุรกิจหนังกลางแปลง ซึ่งคนเริ่มไม่นิยมจ้างหนังมาฉายมากหนักไม่เฟื่องฟูเหมือนแต่เดิม  เนื่องจากตอนนั้นคนเริ่มนิยมดูหนังจากม้วนวิดีโอเป็นส่วนใหญ่   ประการที่สอง หนังจีน หรือหนังฝรั่งได้พากษ์ไทยลงพิลม์ทั้งหมดแล้ว นักพากษ์หลายคนเริ่มตกงานซึ่งจะยึดเป็นอาชีพถาวรไม่ได้ในช่วงเวลานั้น ไม่เหมือนกับยุคก่อนๆแล้วจากเหตุผลดังกล่าวจึงทำให้ผมต้องยุติที่จะยึดอาชีพพากษ์หนังต่อไปโดยเด็ดขาด  จึงต้องหันไปทำงานเป็นกรรมกรโรงงาน  ซึ่งมีรายได้เป็นประจำ ยุคนั้นคนไทยเรียกว่า ยุคนิกซ์ (สมัยพลเอกชาติชายฯ เป็นนายกรัฐมนตรี)  เท่าที่สังเกตคนในยุดนั้น คนไทยดูหนังฝรั่ง เริ่มนิยมดูหนังชาวด์แทร็กมีซับไตเติลภาษาไทย โรงหนังเริ่มมีในห้างสรรพสินค้ามากขึ้น เรียกว่าโรงภาพยนตร์ระบบมัลติเพลกซ์  ส่วนโรงหนังขนาดใหญ่ๆก็เริ่มปรับตัวลงเป็นโรงหนังชั้นสอง โดยมีฉายหนังสองเรื่องควบกันและฉายวนทั้งวัน  ราคาบัตรประมาณ 20 บาททุกที่นั้ง

จะเห็นได้ว่าช่วงนั้นตามโรงหนังชั้นสองได้ฉายหนังควบและยังมีการพากษ์หนังอยู่โดยนักพากษ์ประจำโรงหนัง ซึ่งเป็นการพากษ์ทับเสียงพากษ์ไทยในพิลม์ที่มีการพากษ์มาแล้ว  ต่อมาระยะหลังมาก็ได้เลิกไป  ให้คนดูหนังได้ฟังเสียงพากษ์ไทยในพิลม์ ซึ่งปัจจุบันนี้โรงหนังชั้นสองในกรุงเทพ  ชานเมือง และต่างจังหวัดได้มีเลิกกิจการไปมากแล้ว 

ปัจจุบันจะดูหนังจะต้องไปดูที่ห้างสรรพสินค้า  หากดูหนังกลางแปลงจะต้องไปดูงานแก้บนตามศาลเจ้าต่างๆ เพราะงานวัดประจำปีไม่นิยมจ้างหนังกลางแปลงไปฉายแล้ว เท่าที่ได้สอบถามเจ้าอาวาสวัดในหมู่บ้านของผมเองมาว่าเหตุใดไม่จ้างหนังกลางแปลงมาฉายบ้าง ท่านตอบว่าคนส่วนใหญ่นิยมดูละครโทรทัศน์มากกว่าหนังกลางแปลง ถ้าจะดูหนังก็ไปซื้อหนังแผ่นมาดู เนื่องจากปัจจุบันนี้มีระบบโฮมเธียรเตอร์ ที่มีคุณภาพเสียงใกล์เคียงกับโรงหนังในห้างสรรพสินค้า  

 แม้แต่หนังไทยตั้งแต่หนัง 16 ม.ม. เมื่อได้มาฉายกลางแปลงงานวัดแล้ว ยังมีการพากษ์หนังโดยใช้นักพากษ์หนังทั้งชายและหญิง มีการเปิดแผ่นเสียงชาวค์ประกอบด้วย ช่วงนี้ผมเป็นเด็กมีอายุ 6-7 ขวบ(ปี2515-2518) ยังพอจำภาพเก่าได้  ต่อมาหนังไทยยุค 35 ม.ม มีการเสียงพากษ์เสียงในพิลม์ ซึ่งวงการหนังไทยให้ความสำคัญในการพากษ์หนังไทยมาก มีการประกวดการพากษ์ให้รางวัลตุ๊กตาทอง ในสาขานักพากษ์ดีเด่นทั้งหญิงและชาย ต่อมาได้มีการยกเลิกรางวัลนี้ไป จะเห็นได้จากหนังไทย ตั้งแต่ปี 2534 เป็นต้นมา เริ่มไม่ให้นักพากษ์อาชีพมาพากษ์หนังไทยแล้ว แต่ให้ผู้แสดงหนังไทยทุกคนเป็นผู้พากษ์เสียงตัวเอง ยกเว้นตัวประกอบ   ด้วยความทันสมัยของเทคโนโลยีการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในระบบดิจิตอล ตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา หนังไทยใช้ระบบบันทึกเสียงผู้แสดงระหว่างการถ่ายทำ ทำให้การพากษ์หนังไทยอาจจะไม่มีแล้ว

แรงดลบันดาลใจจากการได้มีโอกาสเป็นนักพากษ์สมัครเล่นในช่วงอายุ 20 กว่านี้ เป็นแรงหนุนส่งให้มาเรียนด้านนิเทศศาสตร์ จบปริญญาและได้ใช้ทักษะจากเป็นนักพากษ์หนังที่เคยมีมาก่อนมาประกอบการเรียนวิชาการภาพยนตร์ จนได้เกรดA   นอกจากนี้ ทักษะที่ได้จากเป็นนักพากษ์นี้ ยังสามารถใช้ประโยชน์ในการพูดเสนอข้อมูลต่างๆเพื่อเป็นการจูงใจผู้ฟังได้ดีอีกด้วย  

จะเห็นได้ว่าภาพยนตร์นอกจากให้ความบันเทิงแล้ว ยังเป็นแรงจูงใจอีกด้วย  ซึ่งมีภาพยนตร์ไทยเรื่องหนึ่ง ที่เป็นแรงดลบันดาลใจให้ผมมาเรียนกฎหมาย(นิติศาสตร์) และใช้ความรู้นี้มาทำงานราชการในปัจจุบัน คือ เรื่อง อย่าบอกว่าเธอบาป ถ้าจำไม่ผิดออกฉายประมาณ ปี 2534 นำแสดงโดย ศรัญญู วงษ์กระจ่าง  สินจัย  หงษ์ไทย สร้างโดย บริษัทไทเอนเตอร์เทนเมนต์ กำกับโดย อังเคิล ฉากในภาพยนตร์ส่วนใหญ่เป็นฉากว่าความคดีในศาลเป็นส่วนใหญ่ ได้ปริญญานิติศาสตร์ ก็เพราะเกิดจากแรงจูงใจจากภาพยนตร์เรื่องนี้

ปัจจุปันนี้ หาชมหนังกลางแปลงได้ยากมาก เห็นควรมีการอนุรักษ์รักษาไว้ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องฉาย  พิลม์ภาพยนตร์ และการพากษ์หนัง

ผมดีใจมาก ได้เจอเว็บไซด์ไทยซีนนี้ ที่พอจะได้มีการแลกเปลี่ยนแปลงความคิดเห็น เล่าประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมา จึงขอขอบคุณ และชื่นชม คณะผู้จัดทำเว็บไซต์ทุกท่าน มา ณ โอกาสนี้

จาก คนเคยพากษ์หนัง




(ID:41380)
เนื้อหาที่เขียนมานี้ดีมากครับไม่ทราบว่าคุณลูกบ้านกล้วยปัจจุบันนี้ทำงานเกี่ยวกับอะไรและที่ใหนครับ ว่างๆคงมีโอกาสได้เจอกันนะครับ



(ID:41799)

ขอขอบคุณมากครับ ที่ทีมงานข่าวไทยซีน มา ณ โอกาสนี้ ซึ่งให้ความสนใจกับประสบการณ์ชีวิตของผมในช่วงระยะเวลาหนึ่งได้เป็นนักพากษ์สมัครเล่น มาเล่าสู่กันอ่าน 

ในปัจจุบันนี้ผมไม่มีโอกาสได้พากษ์หนังอีกแล้ว เพราะปัจจุบันได้รับราชการตำแหน่งเป็นนักกฎหมายภาครัฐ(นิติกร)ในหน่วยงานราชการแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯนี้เองงานส่วนใหญ่เป็นงานด้านกฎหมาย   ซึ่งตอนนี้เป็นฝ่ายติดตามผลงานพากษ์ของผู้อื่นมากกว่า 

แต่ก็สามารถที่จะให้ความเห็นและความรู้ทางวิชาการเกี่ยวกับวงการภาพยนตร์ การพากษ์ และระบบเสียงได้เพราะมีพื่นฐานความรู้ด้านภาพยนตร์ เนื่องจากจบนิเทศศาสตร์มาอีกสาขาหนึ่ง เคยทำหนังสั้นระหว่างที่เรียนอยู่ ประมาณปี 2533 โดยถ่ายทำหนังสั้นด้วยพิลม์ 16 มม.   ส่วนเรื่องการพากษ์หนังนั้นเป็นประสบการณ์สมัยอยู่ต่างจังหวัด ก่อนที่จะเข้ามาเรียนหนังสือพร้อมกับการทำงานในระหว่างเรียน  และในส่วนความรู้เกี่ยวกับระบบเสียงเพราะได้เรียน ปวช.ช่างอิเล็กทรอนิกส์ โดยได้นำความรู้ไปช่วยปรับปรุงระบบเสียงของหน่ยวหนังเร่ของเพื่อนที่ได้ร่วมเรียนด้วยกัน และได้ติดตามไปด้วยช่วยฉายหนังกลางแปลง จนได้มีโอกาสพากษ์หนังในระยะเวลาสั้น สองปีกว่า  ซึ่งอาจเป็นโชคชะตาก็เป็นไปได้ หากไม่เว็บไซด์ไทยซีนแล้วก็คงจะไม่มีโอกาสได้เขียนประสบการณ์ชีวิตมาแลกเปลี่ยนกันในครั้งนี้




(ID:41804)

เขียนดีมากครับผมอยากให้ท่านเขียนข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่เพื่อเป็นวิทยาทานให้กับสมาชิกเวปเราและบุคคลทั่วไปที่เข้ามาอ่านบทความชิ้นนี้ครับ อย่างน้อยก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ทำให้คนอ่านได้เข้าใจถึงชีวิตนักพากย์หนังมากขึ้น ขอขอบคุณล่วงหน้าสำหรับข้อมูลดีๆแบบนี้ครับ[




(ID:41906)

การพากษ์หนังกลางแปลงก่อนปี 2530  สามารถประกอบเป็นอาชีพหลักได้ เนื่องจากในแต่ละจังหวัด แต่ละอำเภอจะมีหน่วยฉายหนังเร่ไม่มากเท่าไร   ส่วนใหญ่จะดำเนินการธุรกิจเป็นแบบครอบครัวและจะรับงานทุกคืนไม่ว่าเว้น  ซึ่งในต่างจังหวัดเมื่อยี่สิบปีก่อนย้อนหลังไปแล้ว  ชาวบ้านในชนบทจะหาความสุขความบันเทิงจากหนังกลางแปลงตามงานวัด งานศพ งานอุปสมบท  งานฉลองตราตั้งเป็นเจ้าอาวาส หรือเจ้าคณะตำบล  แต่ไม่นิยมจ้างหนังกลางแปลงมาฉายในงานแต่งงาน   

โดยเฉพาะงานศพจะมีการจ้างหนังกลางแปลงมาฉายมากที่สุด บางครั้งเจ้าภาพมีฐานะดีงานศพจะมีหนังกลางแปลงมาฉายทุกคืน หน่วยหนังเร่ใด โชคดีรับฉายหนัง 3 ถึง 4 คืน  ถือมีรายได้มากที่เดี่ยว และเจ้าภาพส่วนมากมักจะให้มีหนังจีนมาฉายอย่างน้อย 1 เรื่อง ซึ่งจะต้องใช้นักพากย์แล้ว จึงทำให้นักพากษ์มีงานทุกคืน  

ค่าจ้างพากษ์หนังไม่แพงมากนัก  ซึ่งผมเป็นนักพากษ์ใหม่ก็พากษ์ให้ฟรี  ถือว่าเป็นการฝึกพากษ์ ต่อมาเจ้าหน่วยหนังเขาสงสารจึงให้ค่าตอบแทน   พอจำได้ว่าประมาณปลายปี 2527  ผมได้ค่าจ้าง 70 บาทต่อการพากษ์หนังหนึ่งเรื่อง โดยความยาวของหนังจีน ประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง  ตอนนั้น ถือว่าเป็นรายได้สูง  ในตอนนั้นค่าแรงชั้นต่ำ  ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะประมาณ 60 บาท  แต่จะต้องทำงานทั้งวัน    ช่วงเวลานั้นอัตราค่าจ้างหนังกลางแปลงไปฉายตามงานต่างๆ  เช่น  ฉาย 3เรื่อง ราคา ประมาณ 3000-5000 บาท  ถ้า  5 เรื่อง  ราคาประมาณ5000-10000 บาท   ขึ้นอยู่กับความใหม่ของหนัง ชนโรงก็ราคาแพง ถ้าลาโรงไปแล้วราคาก็ลดหลั่นลงไป  และขึ้นอยู่กับสำเนาฟิลม์หนัง ซึ่งเรียกว่า ก็อบปี้เอ หรือ ก็อบปี้บี ประมาณนั้น

บรรยากาศงานวัดหรืองานศพ ที่มีการจ้างหนังกลางแปลงไปฉาย   ชาวบ้านมักจะมีการสื่อสารโดยพูดกันปากต่อปาก  หรืองานวัดจะมีป้ายโฆษณาบอกไว้  หรือกรณีงานศพก็อาจจะแจ้งไว้ในการ์ดเชิญว่ามีมีภาพยนตร์ฉายในงานนั้นด้วย  

ช่วงเวลาหัวค่ำชาวบ้านต่างจะพาลูกหลาน มีทั้งเดิน และนั่งรถไถนาหรือรถอีแตน จากหมู่บ้านใกล้เคียง หรือตำบลใกล้เคียงมาดูหนังกันเต็มลานวัดมีจำนวนอาจมากกว่าพันคนได้ หนุ่มสาวได้มีโอกาสได้พบกัน  แม่ค้าพ่อค้าก็มาขายถั่วต้ม   น้ำแข็งไสน้ำหวาน    หากงานต่างๆมีการจ้างหนังกลางแปลงมาฉายแล้ว เปรียบเสมือนเป็นการรวมญาติมิตร เพื่อนฝูง  และถ้าหากตรงกับฤดูกาลช่วงเลือกตั้ง ผู้แทน  หรือ สจ.แล้ว ผู้สมัครก็ได้มีโอกาสมาหาเสียงได้อย่างสบายไม่ต้องไปเคาะประตูบ้านให้เสียเวลา  แต่บรรยากาศอย่างนี้ไม่มีอีกแล้วหรือมีน้อยลงมาก  ล่าสุดนี้ผมได้ไปเที่ยวงานวัดอินทร์ฯ  บางขุนพรหม เมื่อเดือนมีนาคม 2553 เห็นมีคนมาดูหนังกลางแปลงน้อยมากน่าจะไม่เกิน 30 คนได้  ส่วนต่างจังหวัดเมื่อสงกรานต์ปีนี้ (2553) ที่ผ่านมา ผมกลับบ้านเกิดที่ต่างจังหวัด มีงานฉลองการรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ โดยกลางคืนมีการจ้างหนังกลางแปลงมาฉาย เห็นมีคนมานั่งดูหนังกลางแปลงไม่ถึง20 คน  คนดูก็คือเจ้าภาพที่จ้างมานั้นเอง  ปัจจุบันนี้คนนิยมดูหนังกลางแปลงน้อยมากและจะหมดความนิยมลงทุกวัน  โดยจะส่งผลกระทบถึงธุรกิจอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของประเทศไทยเราด้วย

หลักการพากษ์หนังกลางแปลง ซึ่งผมอาศัยครูพักลักจำ โดยผมจะนั่งข้างนักพากษ์ และนักพากษ์ได้บอกว่าให้สังเกตจากการดูการพากษ์ของท่าน  แต่ผมก็ยังไม่ได้มีโอกาสพากษ์ 

จนกระทั้งมีงานศพงานหนึ่ง  ซึ่งเจ้าภาพได้มาจ้างให้มาฉายหนังในงานโดยจ้างเฉพาะเครื่องฉาย พร้อมจอและระบบเสียงเท่านั้น  ส่วนตัวฟิลม์หนังนั้น  เจ้าภาพจะหามาเอง  วันนั้นเมื่อยี่สิบปีก่อนก็ยังพอจำได้   หลังจากได้มีการตั้งเครื่องฉาย กลางจอ และทดสอบแสง สีเสียงเสร็จแล้ว โดยเปิดเพลงจากเทป  ซึ่งเพลงที่เปิดฮิตที่สุดตอนนั้น เป็นของพี่เป้า สายัณห์ สัญญา เพลงไก่จ๋า อยู่ในชุด หนึ่งปีที่ทรมาน โดยเปิดวนไปเวียนมาหลายครั้งหลายหน   โดยคนมาชมหนังกลางแปลงในงานวันนั้นมีจำนวนมาก ได้มีการจับจองที่นั่งกันเต็มลานวัด  เสียงรถไถนา ที่ขนคนเดินทางมาจากหมู่บ้าน ตำบลข้างเคียงมาหาที่จอดภายในวัด เจ้าภาพก็ต้องขอแรงจากเจ้าหน้าที่ อสบ. คือ อาสาสมัครป้องกันภัยประจำหมู่บ้าน ปัจจุบันนี้ไม่แน่ใจว่ายังมีอยู่หรือไม่ มาคอยดูแลความเรียบร้อยในงานศพ โดยในช่วงเวลาทุ่มครึ่งพระสวดอภิธรรม เราจึงปิดเสียงเพลงที่เปิดที่รอจะฉายหนัง โดยให้ปล่อยให้เป็นพิธีกรรมบนศาลาวัด

ในเบื้องต้นตอนที่ติดตั้งขึ้นจอหนังเสร็จแล้ว  เจ้าภาพจะหาอาหารมาเลี้ยงพร้อมทั้งมีของแถมมาให้ด้วย คือ เหล้าข้าว 35 ดีกรี แต่คนฉายหนังซึ่ง ถือว่าเป็นหัวทีมงาน ได้ขอเหล้าขาวเพิ่มอีก 1ขวด พร้อมทั้งดอกไม้ 7 สี 7 ดอก ธูปอีก 9 ดอก เพื่อมาบูชาครูบาอาจารย์   เจ้าที่ เจ้าทาง  พระภูมิ เจ้าที่ โดยขอสมาอภัย  ที่ได้มาตั้งจอหนังและเครื่องฉายในวัดนี้   ถ้าเป็นงานศพก็เคารพผู้ตายสรำลึกนึกถึงพระคุณท่านที่ลูกหลานญาติของผู้ตายได้จ้างหนังเรามาฉาย  จึงขอให้การฉายหนังเรียบรื่น โดยเวลาฉายหนังอย่าให้หนังขาดบ่อยมาก  ขอให้คนชมหนังที่เราฉายอย่าได้ลุกหนีหายให้อยู่กับเราตั้งแต่ฟิลม์ฉายม้วนแรกจนถึงฟิลม์ฉายม้วนสุดท้าย  และสิ่งสำคัญที่ขอ ก็คือ อย่าให้ฝนตกเลย

เวลาที่เราได้ทดสอบแสง สี  เสียง ก็ได้จุดธูปบูชา พร้อมกับเปิดขวดเหล้าขาว เทใส่แก้วพร้อมบูชา โดยปักธูป 9 ดอก พร้อมดอกไม้ และตั้งขวดเหล้าขาว ไว้ที่หน้าเครื่องฉายหนัง  ส่วนเหล้าที่เทไวในแก้วก็เทลงดิน เป็นการบูชาเจ้าที่เจ้าทาง เมื่อธูปไหม้หมดแล้ว จึงลาขอเหล้ามากินได้เพื่อเป็นสิริมงคลต่อทีมงาน

ในงานศพวันนั้น เจ้าภาพได้บอกว่าได้เช่าหนังมาฉาย 5 เรื่อง ซึ่งแต่เป็นเรื่องใดไม่ทราบ เพราะได้ไปเช่าหนังที่ศูนย์ในกรุงเทพฯ  น่าจะมาถึงประมาณทุ่มครึ่ง  และให้ฉายหลังจากพระสวดพระอภิธรรมเสร็จแล้ว ซึ่งวันนั้นได้สวดเพียงจบเดียวเพราะเจ้าภาพต้องการจะให้ดูหนังแต่หัวค่ำ  แต่เมื่อพระสวดพระอภิธรรมเสร็จแล้ว ฟิลม์หนังก็ยังมาไม่ถึง   คนดูก็เวียนกันมาสอบถามจะฉายเวลาเท่าไร ลูกหลานที่พามาด้วยเริ่มง่วงนอนกันแล้ว   ทางเราก็บอกว่าฟิลม์หนังที่เจ้าภาพหามาให้ฉายนั้นมาจากกรุงเทพฯ    ชาวบ้านก็ยังไม่เข้าใจ  นึกว่ามีเครื่องฉายแล้วน่าจะฉายได้ ทางเราก็ไปถามเจ้าภาพเมื่อไร ฟิลม์หนังจะมาถึง    เจ้าภาพก็ตอบไม่ได้เช่นกันเพราะสมัยก่อนไม่มีโทรศัพท์มือจะได้สอบถามว่ามาถึงไหนแล้ว  เจ้าภาพก็บอกว่าให้ฉายหนังตัวอย่างไปก่อน  บังเอิญวันนั้นเราไม่ได้ติดหนังตัวอย่างไปด้วยต้องปล่อยให้จอว่างๆอย่างเดี่ยว  วัยรุ่นหรือกิ๊กโก้บ้านนอกส่วนหนึ่งได้เมาเหล้าข้าวเริ่มโวยวายขึ้น   เจ้าภาพต้องไประงับเหตุโดยประกาศที่เครื่องฉายว่าขณะนี้กำลังรอพิลม์หนังอยู่ และบอกว่าคืนนี้ได้ดูหนังแน่นอน  สักพักหนึ่งประมาณสามทุ่ม มีรถแท็กซี่วิ่งเข้ามาที่ลานวัดโดยขอทางผู้ชมอยู่ที่หน้าจอ วิ่งตรงมาที่เครื่องฉาย  คนดูหนังต่างตบมือกันใหญ่เพราะว่าได้ดูหนังแน่นอน  เพราะเจ้าภาพอีกคนได้เช่ารถแท็กซีขนฟิลม์หนังจากกรุงเทพฯ โดยเร่งรีบเต็มที่เลย

เมื่อรถแท็กซี่จอดตรงเครื่องฉาย  เจ้าภาพที่ได้เช่าหนังก็ลงมาพร้อมคนขับแท็กซี่  ได้เปิดท้ายกระโปร่งหลัง  ซึ่งผมกับคนฉายก็ได้มาช่วยยกกระเป๋าพิลม์หนังลงจากรถ พร้อมกับตรวจเช็ดพิลม์หนัง ซึ่งมีทั้งหมด 5 เรื่อง  เป็นหนังไทย 4 เรื่อง  หนังจีนของชอว์ฯ 1 เรื่อง (ขออภัยจำซื่อไม่ได้)  ซึ่งต้องใช้คนพากษ์   แต่เราไม่นำคนพากษ์มาเนื่องจากเจ้าภาพได้จ้างมาเฉพาะเครื่องฉายกับจอเท่านั้น  แล้วจะตามนักพากษ์มาได้อย่างไรเพราะว่าไม่โทรศัพท์มือถือที่จะติดต่อได้อย่างปัจจุบันนี้   ซึ่งผมได้สอบถามเจ้าภาพผู้เช่าหนังว่าทำไมได้เช่าหนังจีนพากษ์มาด้วย  ซึ่งเขาบอกว่าเป็นหนังแถมมาให้ เพราะเจ้าของศูนย์เช่า  ขอร่วมทำบุญกับงานศพโดยให้หนังดังกล่าวมาและให้ฟรีไม่คิดเงิน แต่อย่างไรก็ตามจะต้องแก้ผ้าหน้าเอาหน้ารอดไปก่อน โดยให้เริ่มฉายหนังไทยเป็นเรื่องแรก เพื่อไม่ให้คนดูจำนวนนับพันได้บ่นว่าได้

ในระหว่างที่หนังไทยได้ฉายเป็นเรื่องแรกนั้น  ผมก็เริ่มเปิดกระเป๋าพิลม์หนังจีนโดยดูบทพากษ์  เจ้าภาพจึงถามว่าพอพากษ์ได้หรือไม่  ผมก็สองจิตสองใจ  ซึ่งเจ้าภาพบอกว่าถ้าไม่ได้ฉายแล้วน่าเสียดายมาก และอาจเสียน้ำใจ เจ้าศูนย์เช่าหนัง ที่ให้หนังจีนมาช่วยฟรีๆ   ผมเลยตัดสินใจจะลองพากษ์  เพราะได้ดูเขาพากษ์มากแล้ว  เป็นโอกาสที่เราจะพากษ์ของจริงบ้างแล้ว เลยตกลงกับเจ้าภาพว่าจะเป็นผู้พากษ์ โดยจะฉายเป็นเรื่องที่สอง  ซึ่งคนฉายก็บอกว่าให้ลองดูเพราะเห็นว่ามีแววตั้งแต่ได้ทดสอบเสียง โหล โหล หนึ่ง สอง สาม ในการติดตั้งระบบเสียงในงานต่างๆ  ซึ่งน่าจะพากษ์หนังได้

วันนี้ก็จบเพียงเท่านี้ก่อนครับ  พรุ่งนี้จะเขียนเล่าประสบการณ์มาใหม่อีกครั้งหนึ่ง  ถ้าไม่เบื่อเสียก่อน  ที่คนเล่านั้นเริ่มมีอายุ และมักจะเล่าเรื่องเก่า




(ID:41907)
อ่านแล้วเห็นภาพเลย พรุ่งนี้ผมจะมารออ่านอีกนะครับ



(ID:41986)

การพากษ์หนังครั้งแรกของผมนั้น เกิดจากความจำเป็นก็เพราะว่าเจ้าภาพได้เช่าหนังไทย มา4 เรื่อง แต่ศูนย์เช่าหนังแถมให้ฟรี 1เรื่อง ซึ่งเป็นหนังจีนของบริษัทชอว์   ผมจึงต้องรับอาสาเป็นผู้พากษ์เอง ตอนนั้นหัวใจเต้นแรง พูดง่ายว่าตื่นเต็นมากรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เพราะว่าเมื่อได้พากษ์หนังไปแล้วจะถูกใจคนดูนับพันที่นั้งเต็มลานวัดหรือไม่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้านี้  

ผมเสียบไมโครโฟนเข้ากับเครื่องขยายเสียง พร้อมกับสวิทซ์กดตัดชาวน์  รอเวลาหนังม้วนสุดท้ายชึ่งเป็นหนังไทยที่กำลังฉายอยู่บนจอ     ผมได้ทดสอบเสียง "โหล โหล หนึ่ง สองสามสี่" เมื่อตั้งเสียงพูดให้เข้าที่แล้ว เปิดไฟแสงสว่างดวงไฟ กลางบทพากษ์ตรวจดูความเรียบร้อยว่าบทพากษ์มีครบตามม้วยฟิลม์ทุกม้วมหรือไม่  ถ้าไม่ครบตรงไหนจะได้ดำน้ำได้   เพื่อตรวจเช็ดเสร็จแล้ว ซึ่งโชดดีครับบทพากษ์มีครบตามจำนวนที่กำหนดไว้ โล่งใจหายกังวล  ผมได้เปิดอ่านหน้าแรกของบทพากษ์ว่ามีบทสนทนาอย่างไรบ้าง ซึ่งเหลือเวลาอีก 5 นาทีหนังไทยเรื่องแรกที่กำลังฉายอยู่ใกล้จบ  

คนฉายหนังเริ่มสาวฟิลม์ แล้วนำหนังจีนที่ผมกำลังจะพากษ์ต่อไปมาต่อฟิลม์ท้ายม้วน โดยคนฉายได้ตะโกนให้ทราบว่า หนังกำลังจะลงจอแล้วนะ ไห้เตรียมตัวพากษ์ได้ ผมได้สติสายตาจ้องไปที่จอ ปากเตรียมจะขยับจะพากษ์ บนจอเริ่มมีเลขหัวม้วน เสียงดังติ๊บๆๆๆ บนจอมีภาพเป็นเลข ห้า สี่ สาม สอง หนึ่งปรากฎ ผมก็พากษ์ทันที "ในช่วงเวลาแห่งบันเทิงต่อไปนี้ ขอเสนอผลของชอว์บราเดอร์ ผลิตผลของบริษัทไหปลาทองคำ" พอจบคำนี้คนดูหนังมีฮาและหัวเราะ เต็มลานวัด  ผมได้ยินเสียงฮาของคนดูหนังเริ่มมีกำลังใจเต็มร้อยบอกตัวเองว่าไปรอดแน่น  การพากษ์หนังจีนตอนต้นบอกชื่อเรื่อง บอกชื่อนักแสดง ตรงนี้ต้องใส่มุขนิดหน่อย เช่น "นำแสดงโดย เยียหัว  จงหัว และเกาหัว" พอพากษ์จบคำนี้คนดูมีเสียงฮาขึ้นอีก บอกตัวเองในใจว่าแจ้งเกิดได้แน่นอน  แม้แต่คนฉายยื่นขำ ฮากลิ้ง  การพากษ์หนังดำเนินไปได้ดีจนจบเรื่อง ตอนจบกล่าวขอบคุณเจ้าภาพ ผู้ชมหนัง ได้กล่าวว่า"หากคำพูดใดที่ทำให้ท่านไม่พอใจต้องขออภัยด้วย วันนี้พากษ์ได้พากคนเดียวเสียงผู้หญิงอาจเหมือนเป็ดซึ่งนักพากษ์ผู้หญิงไปคลอดลูก"  เจ้าภาพได้ฟังแล้วชื่นชมพร้อมยกเหล้าขาวให้ดื่มเป็นกำลังใจ

หลังจากพากษ์หนังเรื่องแรก ก็มีเรื่องที่สอง สาม ฯลฯ ในงานอื่นๆที่จัดหาหนังกลางแปลงไปฉาย ชีวิตผมจากเด็กตั้งเครื่องขยายเสียงกลายเป็นนักพากษ์ประจำหน่วยหนังโดยฉับพลัน  ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพื่อความสนุกมากกว่า แต่ก็ไม่ทิ้งการเรียน และยังมีอาชีพเสริมอีกอาชีพหนึ่ง คือ เป็นช่างซ่อมโทรทัศน์ วิทยุ ต่อเครื่องขยาย  ในวันศุกร์และเสาร์สามารถไปพากษ์หนังนอกพื่นที่ต่างจังหวัดได้ ส่วนวันธรรมดา ก็สามารถไปพากษ์ได้บริเวณไม่ไกลมากนักภายในอำเภอใกล้เคียง 

ส่วนใหญ่จะพากษ์จีนเป็นหลัก มีอยู่ครั้งหนึ่งได้พากษ์หนังฝรั่ง โดยธรรมดแล้วเจ้าภาพไม่นิยมหาหนังฝรั่งไปฉายเพราะกลัวคนหนีกลับบ้านหมด เนื้อหาของหนังฝรั่งในต้นเรื่องไม่ตื่นเต้นมาก จะต้องดูตั้งหัวเรื่องจนจบจึงจะเข้าใจได้   หากตอนกลางเรื่องเผอนอนหลับอาจดูไม่รู้เรื่องเลย   และอีกประการหนึ่งหนังฝรั่งส่วนมากจะไม่มีการถ่ายทำในระบบซีรีรามาสโครป  เวลาฉายจะต้องฉายครึ่งจอ  คนดูจะหวุดหวิดและหนังอินเดียก็มีลักษณะเช่นกัน  เจ้าภาพจะหาหนังฝรั่งมาฉายส่วนใหญ่ เป็นหนังสงครามหรือหนังคาบอยในช่วงนั้น (2527-2530)หนังคาบอย หาดูได้ยากมากเนื่องฮอลีวู๊ดไม่ได้สร้างขึ้นอีก  ซึ่งอาจจะเป็นได้ว่า คลิ้นอีสวูท พระเอกหนังคาบอบเริ่มมีอายุแล้วและพลิกผันตัวเองมาเป็นผู้กำกับ

หนังฝรั่งที่ผมพากษ์นั้นส่วนใหญ่จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับสงครามโลก ครั้งที่ 2 อาทิหนังที่คลาสิกที่สุดของหนังสงคราม ยุทธภูมิกลางเขนเหล็ก เจ้าภาพแต่ละท้องที่ชอบจัดให้ไปฉายมาก ชึ่งรบกันระหว่างเยอรมันและรัสเชีย เวลาพากษ์ต้องใส่อารมณ์ตามสีหน้าผู้แสดงและพูดเร็ว  บางครั้งบทพากษ์บางครั้งยาวจะต้องรวบคำให้สั้นลง และใส่มุขตลกตบท้าย

การพากษ์หนังกลางแปลงที่ประความสำเร็จ  จะต้องทำให้คนดูหนังมีเสียงฮา ขำให้ใด้   ไม่ต้องเน้นเสียงหล่อ เสียงสวยมากนัก  การนั่งพากษ์หนังคนเดี่ยวจะต้องทำให้เหมือนกับการนั่งพูดให้คนฟัง ไม่ใช่เป็นการอ่านหนังสือให้คนฟัง จะต้องพูดให้เป็นและมีอารมณ์ขันหากพูดอะไรคนก็หัวเราะ ฮา หรือตลก  การใช้เสียงจะต้องมีหนักเบาตามอารมณ์ของตัวหนัง การใช้ภาษาไทยต้องชัดเจน

การพากษ์หนังเป็นทั้งพรสวรรค์ และพรแสวงควบคู่กัน  ซึ่งพรสวรรค์นั้นได้แก่ลักษณะของการพูดจะต้องไม่ติดอ่าง ต้องมีประสาทว่องไว  สมองกับปากต้องมีความสัมพันธ์กัน ส่วนพรแสวงนั้นจะต้องมีใจรัก มีการฝึกฝน เก็บคำคม สุภาษิต คำพังเพย  คำนิยมที่ใช้แต่ละสมัย และหาคำขอบคุณมาขอบคุณเจ้าภาพที่ได้จ้างหนังกลางแปลงมาฉาย

ข้อควรระวังเป็นอย่างยิ่ง ให้การพากษ์หนังกลางแปลงนั้น  หลี่กเลี่ยงคำพูดที่เสียดสี ดูหมิ่นบุคคลอี่น เพราะในแต่ละท้องถิ่นนั้นมีแตกต่างกันมาก คำพูดบางคำพูดใช้กับท้องถิ่นหนึ่งคนขำฮา   แต่หากมาใช้อีกท้องถิ่นหนึ่งอาจจะถูกถุ่งน้ำแข็งขว้างปาใส่ระหว่างการพากษ์ได้  ซึ่งเราจะศึกษาแต่ละท้องถิ่น ตำบล ที่เราไปพากษ์หนังว่าเป็นลักษณะอย่างไร   ซึ่งผมเคยไปพากษ์หนังที่แห่งหนึ่งในระหว่างพากษ์นั้นมีวัยรุ่นคนหนึ่งเดินฝ่าคนดูมาเข้ามาซึ่งผมก็ไม่สนใจเพราะสายตาจ้องอยู่ที่จอหนัง สักพักหนึ่งวัยรุ่นคนนั้นได้เดินเข้าตรงหน้าผมทำให้ผมได้ตกใจมาก จึงหยุดการพากษ์นิดหนึ่ง วัยรุ่นคนนั้นได้ยื่นแก้วเหล้าขาวให้ผมดื่ม และบอกว่าชอบมากพากย์ได้ตลกมา จึงเอาเหล้ามาให้ผมดื่ม  โดยผมต้องรับไมตรีจิตและจิบนิดหน่อย พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณโดยพากษ์ไปในตัวหนัง ทำให้คนชมก็ฮากันทั้งลานวัด  ซึ่งเป็นประสบการณ์ชีวิต

ในครั้งต่อไป ถ้ามีเวลาผมจะเขียนเล่าเกล็ดเก็บตกจากการพากษ์หนังกลางแปลง มาเล่าให้อ่านกันต่อไป

 




(ID:41993)
ผมอ่านมาถึงตรงนี้แล้วจะเห็นได้ว่าสมาชิกของเวปเราแต่ละท่านมีประสบการณ์ที่ไม่ธรรมดาเลยครับ ซึ่งผมหวังว่าถ้าทางทีมงานเราได้มีโอกาสจัดงานของเวปอีกก็จะขอเชิญคุณลูกบ้านกล้วยมาร่วมวงพากย์เฉพาะกิจด้วยนะครับเพราะผมกำลังทำโปรเจ็คนี้กับคุณต๋องไทยซีนของเราอยู่ในเรื่องการหานักพากย์ทั้งเก่าและใหม่มาร่วมงานกันเฉพาะกิจเพื่อให้สมาชิกและคนดูหนังทั้วไปได้มีโอกาสที่จะสัมผัสกับศิลปะการพากย์หนังในอดีตครับ เอาไว้วัน 2 วันนี้ผมจะโทรไปพูดคุยด้วยนะครับ ขอขอบคุณที่ให้ความรู้ดีๆและประสบการณ์ที่มีคุณค่าเหล่านี้ให้พวกเราได้รับรู้กันครับและจะขอติดตามบทความนี้ต่อไปครับ



(ID:42118)

วันนี้จะขอเล่าเกร็ดเล็กๆน้อยเกี่ยวกับวิถีชีวิตของนักพากษ์หนังกลางแปลงที่ได้พบเห็นจากประสบการณ์ของตนเอง และนักพากษ์ท่านอื่นๆ ได้เคยเล่าสู่กันฟัง ขอให้ผู้อ่านใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วย ไม่จำป็นต้องเห็นพ้องแต่อย่างใด

ตอนแรกผมได้พากษ์หนังกลางแปลงระยะหนึ่งพอได้เงินเล็กน้อย   หากว่ากันไปแล้วยุดเศรษฐกิจเมื่อยี่สิบปีก่อน ประมาณปี 2528 ตอนนั้น  ก๋วยเตี่ยวราคาชามละ 5 บาท 7 บาท พิเศษราคา 10 บาท  ราคาทองคำบาทละๆประมาณ 2500 บาท เงินเดือนข้าราชการซีหนึ่ง ประมาณ 2080บาท   ราคาน้ำมันเบนซิน ลิตรละประมาณ 5 บาท  ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 60 บาท  ราคาข้าวปลือกเกวียนละ 3000 บาท  ข้าวสารกระสอบ 100 กิโลกรัมกระสอบละ 600 บาท   ราคาบัตรดูหนังในโรงหนังต่างจังหวัด  เริ่มจาก 7 บาทซึ่งมีที่นั่งแวติดหน้าจอ   แถ้วถัดมาราคา 10 บาท   15  บาท  และที่นั่งแถวบนหรือหลังสุดราคา 20 บาท  ส่วนห้องวีไอพี ซึ่งอยู่ติดกับห้องฉายหนัง ราคา 30 บาท

ผมพากษ์หนังกลางแปลงตอนนั้นได้ค่าพากษ์ เรื่องละ 70 บาท ต่อมาขยับขึ้นในราคา มาเป็น 150 บาทต่อเรื่องในปี 2530 ซึ่งตอนนั้นหนังที่พากษ์เริ่มมีน้อยแล้ว โดยแต่เดิมผมรับงานพากษ์ สัปดาห์หนึ่งประมาณ 3 คืน ต่อมาก็เป็นสัปดาห์ ละ1คืน ต่อมาก็เป็นเดือนละ 2 คืนบ้าง และในต้นปี 2530 ผมไม่มีงานพากษ์หนังกลางแปลงเลย เพราะว่า หนังจีนและหนังฝรั่งพากษ์ไทยลงพิลม์หมดแล้วส่วนหนังอินเดียไม่มีการการฉายแล้ว  ตอนนั้นบริษัท
นนทนันเอนเตอร์เมนท์ เป็นตัวแทนจำหน่ายหนังจีนในประเทศไทยได้รับลิขสิทธิ ของโกวเด็นฮาร์ดเวต  ซีริรามาซิ้ตตี้  และ ดีแอนด์บีพิลม์ ถือว่าเป็นหนังจีนแอ็คชั้นที่ทันสมัยมากที่สุดและมีคุณภาพดี  เป็นผลให้ให้หน่วยหนังเร่ได้ตัดปัญหาคือไม่ต้องจ้างนักพากษ์อีกแล้ว เมื่อกลางจอตั้งเครื่องแล้วฉายหนังได้เลย ข้อดีของการพากษ์ไทยลงพิลม์ระบบเสียงดีใช้นักพากษ์หลายคน  ส่วนใหญ่จะเป็นนักพากษ์ที่มีคุณภาพซึ่งเคยได้ยินเสียงในหนังไทย อีกส่วนหนึ่งก็เป็นนักพากษ์จากโทรทัศน์ช่องต่างๆมาร่วมกันพากษ์เสียงไทยลงพิลม์ 

ถ้ามองในแง่ธุรกิจถือว่าเป็นการลดทุนดีมาก   แต่ในตอนนั้นคนต่างจังหวัดก็เริ่มนิยมดูหนังกลางแปลน้อยลงมาก  สังเกตุได้จากตอนที่ผมพากษ์หนังเป็นเรื่องสุดท้าย ก่อนเดินทางเข้ากรุงเทพมาศึกษาต่อ มีคนนั่งดูหนังไม่ถึงร้อยคน ถ้าย้อนกลับไป3ปีที่แล้ว แต่ละท้องที่ ที่หน่วยหนังเร่ไปฉายมีคนดูหนังจำนวนนับพันเต็มลานวัด  สาเหตุสำคัญในช่วงนั้น  คนไทยเริ่มดูหนังจากเครื่องวิดิโอเทปมากขึ้นเรื่อยๆ  สะดวกสบายนอนดูหนังที่บ้าน

 แต่เดิมงานศพมักจะมีการจ้างหนังมาฉาย   แต่ก็เปลี่ยนมาเป็นฉายหนังจากวิดิโอแทน ซึ่งทำให้เจ้าภาพได้ลดต้นทุนการจัดงานได้มากขึ้น  เพี่ยงแต่นำเครื่องรับโทรทัศน์และเครื่องเล่นวิดิโอจากบ้าน มาติดตั้งในศาลาวัดและไปเช่าหนังในตัวอำเภอหรือจังหวัด  พอพระสวดพระอภิธรรมเสร็จแล้ว  เจ้าภาพก็เปิดหนังจากวิดิโอเทปให้ผู้มาร่วมงานศพได้ชมก่อนกลับบ้าน 

ซึ่งเป็นผลให้หน่วยหนังเร่บางหน่วยต้องเลิกกิจการไปเป็นจำนวนมาก โดยหันไปประกอบอาชีพอื่น ซึ่งบางหน่วยหนังเร่ก็ยังฉายอยู่แต่ถือว่าเป็นงานอดิเรกแล้ว    ส่วนนักพากษ์หนังกลางแปลงจากเคยมีงานมีรายได้ดี กลายเป็นผู้ตกงานจะต้องไปประกอบอาชีพอื่น เช่น บางท่านหันไปเป็นโฆษกงานวัดพูดเชิญชวนให้ผู้มีจิตศรัทธามาทำบุญ  บางท่านโชคดีหน่อย ก็หันเห่ไปเป็นนักจัดรายการวิทยุกระจายเสียง คลื่นเอเอ็มของสถานีวิทยุท้องถิ่นนั้น  บางท่านก็ต้องกลับไปช่วยภรรยาทำนา เพราะช่วงที่มีงานพากษ์ฮอตสุด ไม่มีโอกาสช่วยภรรยาทำนาเลยเพราะช่วงกลางวันจะต้องนอนพักผ่อน  ชี่วิตเหมือนนกขมิ้นล่อนเร่นอนแรมไปกับหน่วยหนังเร่กว่าจะได้กลับบ้านนานเป็นสัปดาห์    ส่วนผมนั้นได้โอกาสมาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ซึ่งยุติบทบาทนักพากษ์กลางแปลงสมัครเล่นโดยปริยายที่เคยสร้างความบันเทิงและความสุขให้กับผู้ชมหนังกลางแปลง ได้มีเสียงหัวเราะและเฮฮา เสมือนเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของนักพากษ์  เมื่อหนังฉายจบแล้วคนชมลุกเดินกลับบ้านก็ลื่มนักพากษ์เลย ซึ่งคนต่างจังหวัดไม่นิยมที่จำชื่อนักพากษ์หนัง ไม่เหมือนกับการจำชื่อนักร้องยอดนิยมเมื่อแสดงจบ  แล้วมีแฟนๆเพลงไปขอลายเซ็นหลังเวที   ส่วนนักพากษ์ได้พากษ์หนังจบแล้วก็จบไปจะมีคนสักกี่คนที่จะให้ความสนใจ 

ในปัจจุบันนี้ก็เช่นกัน คนส่วนใหญ่ที่ชมหนังพากษ์ไทยในพิลม์ไม่ว่าจากโรงภาพยนตร์ หรือทางโทรทัศน์ก็ตาม ไม่ให้ความสนผู้ที่พากษ์เสียงภาษาไทยเท่าไรนัก  ซึ่งโดยนิสัยของคนไทยส่วนใหญ่ไม่นิยมอยากรู้เบี้องต้นของภาพยนตร์  ซึ่งสังเกตได้จากภาพยนตร์ไทยในยุดก่อนโดยตอนจบ มีคำว่า สวัสดี คำเดียวโดดแล้วภาพก็หายไป ไม่เหมือนกับภาพยนตร์ฝรั่งตอนจบจะมีการให้เคดิตผู้ที่อยู่เบี้องหลังการสร้าง  คนส่วนใหญ่จะรู้สึกรำคาญโดยสังเกตุจากคนดูในโรงหนังตอนจบมีอักษรเคดิตขึ้นเมื่อไรลุกเดินออกจากโรงหนังทันที่  ส่วนในการฉายหนังกลางแปลงมักตัดพิลม์ตอนท้ายออก  

จะทำอย่างไรให้คนได้อ่านเคดิตของหนัง  มีผู้สร้างหนังจะต้องนำภาพเบื้องหลังการถ่ายทำ หรือภาพหลุดระหว่างการถ่ายทำ  หรือภาพอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นระหว่างการถ่ายทำ  โดยนำเสนอพร้อมอักษรให้เคดิต  เราจะเห็นได้จาก หนังของเฉินหลงทุกเรื่องมักจะมีภาพดังกล่าว เช่น เรื่อง วิ่งสู้ฟัดทุกภาค จึงเป็นผลให้คนชมภาพยนตร์ไม่กล้ารุกหนีเพราะอยากจะดูภาพเบื้องหลังตอนจบ ก็อาจจะเป็นวิธีการการอย่างหนึ่งที่สามารถดึงดูให้คนชมหนังได้อ่านอักษรเดคิตท้ายของหนังท้ายเรื่องได้

ข้อดีของการได้อ่านอักษรเคดิตของหนังท้ายเรื่อง นอกจากเราจะรู้ใครแสดงเป็นใครในหนังแล้วในเบี้องหน้าแล้ว ในเบื้องหลังเราก็จะรู้ว่าใครเป็นผู้ทำหน้าที่อย่างใดในภาพยนตร์เรื่องนั้น และสิ่งสำคัญที่สุดเราก็รู้ปีค.ศ ที่เริ่มมี
ลิขสิทธิขึ้น

คราวหน้าถ้าผมมีเวลา ผมจะเล่าเรื่อง ไสยศาสตร์และความเชื่อ ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการฉายหนังและพากษ์หนังกลางแปลง ขอให้ใช้วิจารณญาณในอ่าน  อย่าเชื่อทั้งหมด เพราะเป็นประสบการณ์ส่วนตัวนะครับ

 




(ID:42156)
ผมอยากทราบว่าคุณลูกบ้านกล้วยเคยพากย์หนังที่จังหวัดใหนครับและเป็นคนจังหวัดอะไรครับเพราะบรรยากาศเหมือนที่อุดรบ้านผมเลยครับ



(ID:42443)

ตามที่ ทีมข่าวไทยซีนอยากทราบว่าผมเคยพากษ์หนังจังหวัดไหนบ้าง ในช่วงนั้นผมเดินทางไปพากษ์หนังแถวภาคกลางครับ (ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง)  ซึ่งผมเป็นคนลพบุรีตั้งแต่เกิด ปัจจุบันนี้เป็นคนกรุงเทพโดยปริยายเพราะมาอยู่ที่กรุงเทพตั้งแต่ปี 2530 เข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยและปัจจุบันรับราชการในหน่วยราชการแห่งหนึ่ง  ตลอดจนทะเบียนบ้านและบัตรประชาชนก็เป็นคนกรุงเทพ แต่ก็กลับไปญาติพี่น้องที่ลพบุรีทุกๆเทศกาลงานบุญ

ปัจจุบันผมไม่ได้จับไมค์พากษ์หนังเป็นเวลานานถึง 23 ปีแล้ว ตอนนี้คงให้พากษ์หนังไม่คล่องแคล่วแล้วเหมือนตอนหนุ่มแล้ว ขณะนี้อายุเข้ากลางคนแล้ว และสิ่งสำคัญตอนนี้ระบบสายตาสั้นลง คือ มองไกลไม่ชัดเจนจะต้องส่วมแว่นตา เวลาจะอ่านหนังสือก็ต้องถอดแว่นตาออกซึ่งเป็นที่ทรมานมาก   ประสบการณ์ของผมที่เกี่ยวการได้สัมผัสการเป็นนักพากษ์หนังกลางแปลงที่มีมาในอดีตหากไม่มีเวปไซด์ไทยซีนซึ่งเป็นเวทีทางความคิดของที่คนชอบหนัง ก็ไม่มีช่องทางถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนไความเห็นได้ซึ่งประสบการณ์ที่ผมได้รับมากถือว่ายังมีเล็กน้อยเท่านั้น   หากยังมีนักพากษ์หนังอีกมากมายที่มีประสบการณ์ในการพากษ์หนังระดับชั้นบรมครู  หากเป็นไปได้จึงขอให้ทีมงานข่าวไทยซีนช่วยไปสัมภาษณ์ท่านเหล่านั้นแล้วนำข้อมูลมาเผยแพร่เสนอให้กับ ชาวเว็บไทยซีนได้รับรู้บ้าง หากพูดแบบวิชาการก็คือเป็นองค์ความรู้ หรือ KM ให้กับอนุชนคนรุ่นหลังและวงการหนังไทย ที่ถือว่าเป็นทุนทางวัฒนธรรมของชนชาติไทยเรา ผมเชื่อว่ามุมมองและประสบการณ์ของนักพากษ์ของท่านอื่นๆ จะเป็นข้อมูลที่สำคัญที่จะบอกความเป็นมาของสังคมไทยแต่ละยุคแต่ละสมัย ในการศึกษาค้นคว้าต่อไป

 




(ID:42586)

อ่านแล้วครับ แต่ยังไม่ครบ  งานเข้ามาซะก่อน ...เดี๋ยวผมจะหาเวลาช่วงดึกๆ จะได้มีสมาธิดีๆ นั่งอ่านให้จบครับ ได้อะไรมากกว่าที่คิดครับ ขอบพระคุณนะครับ...




(ID:43157)

ห่างหายไปหลายวันเนื่องจากผมติดสัมมนาวิชาการที่ จังหวัดระยอง เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2553 หลังจากนั้นป่วยหลายวัน จึงไม่ได้เขียนเล่าประสบการณ์ เพื่อเล่าสู่กันฟัง และเริ่มไม่แน่ใจว่า จะมีสมาชิกท่านใดจะสนใจหรือไม่ 

วันนี้จะเล่าเกร็ดเล็กๆน้อยเกี่ยวการฉายหนังกลางแปลงต่างจังหวัด  ในช่วงที่ผมเป็นนักพากษ์หนังอยู่ 2- 3ปี นี้ได้เทคนิคการการติดตั้งจอหนัง เครื่องฉาย  และระบบเสียง ซึ่งเป็นเสนห์ และเทคนิคดึงดูผู้ชม ที่บ่งบอกงานที่มีคุณภาพดี ดังนี้

1.การติดตั้งจอหนัง  ซึ่งมีจอขนาดเล็กและจอใหญ่  หากเป็นจอหนังขนาดใหญ่แล้วโดยบ่งบอกในแง่ของทีมงานได้แสดงถึงความยิ่งใหญ่  หากเกี่ยวข้องกับเจ้าภาพได้แสดงถึงเป็นผู้มีฐานะดี   หากมองเรื่องความยิ่งใหญ่ของงานมหรสพสมโภชแล้วงานนั้นมีความสำคัญ   ถ้ามองในเรื่องแรงงานจะต้องใช้คนจำนวนมากในการดึงขึงจอหนังขึ้นเพื่อตั้งขึ้น โดยบ้างครั้งจะต้องใช้รถยนต์ดึงขึงจอหนังขึ้นจึงได้ตั้งขึ้น เพราะลำพังแรงงงานคนไม่สามารถจะดึงขึ้นได้ สิ่งที่เป็นเสน่ห์ที่สำคัญ คือ จอหนังจะต้องสะอาด บ้างครั้งจะต้องซักจอหนังกันที่ลานวัด โดยขอให้เจ้าภาพนำเครื่องสูบน้ำสายยางสูบน้ำจากสระหรือบ่อน้ำของวัดที่เราไปฉายเพื่อให้จอขาวสะอาด 

ในเรื่องขนาดของจอ จะสอบถามเจ้าภาพก่อนว่า บริเวณที่จะไปฉายเป็นสถานที่ลักษณะอย่างใดว่าเป็นลานวัด สนามฟุตบอล  หรือ กลางถนน   มีครั้งหนึ่งได้ตั้งจอฉายขนาดใหญ่ความสูงประมาณตึก 3 ชั้นความยาวกว่า 20เมตร จะใช้พื้นที่มีขนาดกว้างพอสมควร พอตั้งเสร็จแล้ว ไปใต้กึ่งไม้ น่าจะเป็นมะม่วงเวลาฉายหนังเงาของใบมะม่วงไปบังแสงจากเครื่องฉายทำให้ภาพหนังขอบด้านบนขาดไป ซึ่งเป็นที่น่าเกลียดมาก เจ้าภาพ และคนดูไม่สบอารมณ์เลย เพราะว่าเราไม่สอบถามรายละเอียดพื้นที่จากเจ้าภาพ ซึ่งเรามุ่งความอลังการของจอหนังจะต้องใหญ่ 

และมีอีกงานหนึ่ง เป็นงานศพเจ้าภาพมีเงิน โดยวันเผาศพ ตอนกลางคืนมีทั้งภาพยนตร์และลิเก มีคนมาเผาประมาณ 2 พันกว่าคน ลานวัดแคบมาก ในโรงลิเก ติด เมรุ เพื่อต้องเอาเสียงตะโพน ปีพาทย์ บรรเลงตอนเผาจริงในเวลากลางคืน ดังนั้น หนังจะต้องไปฉายที่สนามฟุตบอลของโรงเรียนซึ่งอยู่ติดกับวัด ทีมงานเราได้เอาจอขนาดเล็กไปตั้งเพราะดิคว่าจะต้องไปประชันกับลิเกในลานวัดเนื่องจากมีพื้นที่จำกัด  แต่เมื่อเจ้าภาพให้ไปตั้งจอหนังที่สนามฟุตบอล ทีมงานของเราได้นำจอขนาดเล็กมา  ซึ่งคนดูหนังเต็มสนามฟุตบอลนับพันคน และจอหนังขนาดเล็กไม่มีสมดุลย์กันเลย   ดังนั้น ขนาดของจอหนังจะต้องมีความเหมาะสมกับบริเวณพื้นที่ที่ตั้งจอหนัง เพื่อมิใช้ผู้ชมหนังนั้งดูหนังด้วยอึดอัด  และหลีกเลี่ยงการติดตั้งจอใกล้ หลอดไฟแสงสว่าง เพราะจะทำให้ภาพไม่คมชัด

2.เครื่องฉายหนัง จะตั้งระยะให้เหมาะสมกับกับจอ อย่าได้แสงที่ฉายได้ล้นจอ ให้เต็มพอดีกับบริเวณขอบแถบผ้าสีน้ำเงิน เพื่อทำให้เก็บรายละอียดของหนังได้ครบถ้วน

3.ระบบเสียง คนต่างจังหวัดนิยมเสียงเบสเป็นส่วนใหญ่

วันนี้ ขอยุติเพียงเท่านี้ครับ 

 

 




(ID:43221)

 

แก้ไขนิดนึงค่ะ

 

จาก "พากษ์" ......   เป็น "พากย์"

 

 




(ID:43273)
กำลังตามอยู่นะครับ



(ID:43289)
อ้าว  จบซะแล้ว กำลังมันส์ ๆ  รีบ ต่อนะครับ  แหม่  ยังกับย้อนไปในยุควัยรุ่นตอนนั้นเลยนะครับ อิอิ



เลือกหน้า
[1] [2]
จำนวนหัวข้อทั้งหมด 31

กลับขึ้นข้างบน / กลับหน้าแรก

ค้นกระดานข่าว:


ถูกเปิด: ถูกคลิ๊กแล้ว: 116947589 ตอนนี้มีผู้เข้าชม : 1 ล่าสุด :Jamesfap , RobertMIGH , LavillKer , Maciedetpailt , BobbyHOm , Sallycgriet , CarolyncJuh , แสบ chumphon , LouieTub , rudgoodcomua ,