ความเห็น |
ช่วงปีสองปีนี้ หนังอินเดียมาแรงจริงจัง แต่ละเรื่องไม่ว่าจะแนวไหน เรียกได้ว่าอัดแน่นไปด้วยคุณภาพ คราวก่อนก็เพิ่งฟินไปกับ Dhoom 3 มาครั้งนี้ก็ส่งหนังดราม่าโรแมนติกค้นหาความหมายของชีวิตเรื่องนี้มาให้ได้ น้ำหูน้ำตาแตกกันเป็นแถบๆกันอีก ถือเป็นผลงานที่ไม่อยากให้คุณ คุณ คุณ! ทั้งหลายพลาดด้วยประการทั้งปวง
หนังว่าด้วยเรื่องราวของชายหนุ่มจากต่างดาวที่ถูกปล่อยทิ้งไว้บนโลกมนุษย์ โดยที่เครื่องมือสื่อสารกับเผ่าพันธ์ของเขาถูกขโมยไป ทำให้เขาตัดสินใจดั้นด้นออกไปตามหาเพื่อให้ได้มันคืน แต่ทุกครั้งที่เขาถามหาเจ้าเครื่องสื่อสารที่ว่านี้จากผู้คนมากมาย เขาก็ได้รับคำตอบแต่เพียงว่า "ไปถามพระเจ้าสิ" ทำให้เขาเริ่มต้นที่จะตามหาพระเจ้าเพื่อที่จะได้ของสำคัญของเขากลับคืนมา นำไปสู่เรื่องราวที่พลิกผันมากมาย กลายเป็นความสนุกสนานมากถึงมากที่สุดอย่างที่ไม่เคยคิดว่า หนังอินเดียแนวๆนี้สักเรื่อง จะทำได้โดนใจเราขนาดนี้
แม้จะมาพร้อมความยาวเกือบสามชั่วโมง แต่หนังก็ไม่มีโมเมนท์ที่ทำให้ผมเบื่อแต่อย่างใด หนำซ้ำมันกลับทำให้เรารู้สึกสนุกจากพีค ไปพีคมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวหนังไม่ได้เล่าด้วยเทคนิคหวือหวาตระการตา มันกลับเด่นที่บทที่ผูกทุกเรื่องราวที่มีในหนังเข้าไว้เป็นเนื้อเดียวกัน แถมยังเป็นเรื่องราวที่หยิบเอาศาสนาในแบบที่บ้านเราคุ้นเคยมาตีแผ่ในแง่มุม ที่เราเองต่างก็รู้อยู่แก่ใจ แต่บางทีถ้าไม่มีอะไรมาฉุกให้เราได้คิด มันก็จะไม่เกิดคำถามและคำตอบที่ได้มาอย่างในหนังนั่นเอง
หนังสอนให้เรามองโลกในแง่มุมที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็แล้วแต่ เหมาะสำหรับคนที่คิดว่าโลกนี้ช่างโหดร้ายซะเหลือเกิน แต่ตัวละคร PK ในหนังนั้น ทำให้เรามองเห็นด้านดี ด้านที่เอื้อมไม่ถึง ไม่เพียงแต่เรื่องความงมงายในศาสนาและพระเจ้าที่ล้อมอยู่รอบตัวเรามากมายใน สังคมปัจจุบัน หนังยังทำให้เราได้เห็นคุณค่าของการมีชีวิต, มีความรัก และการมุ่งมั่นในความฝัน และเชื่อในสิ่งที่ดี(จริงๆ)
ประเด็นหนังแบ่งด้วยกันเป็นสามพาร์ทใหญ่ๆ พาร์ทแรกก็จะเป็นการเดินทางของ PK ที่ไปค้นพบเรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อของมนุษย์โลก ที่บ่อยครั้งมันกลับมากัดผู้ชมที่นั่งดูแบบเลือดซิบ ด้วยการนำเอา "เรื่องจริง" ที่เกิดขึ้นในสังคม มาเล่าผ่านมุมมองของมนุษย์ต่างดาวที่เรียนรู้จากสิ่งที่เขาเห็น และได้ยิน จนนำมาสู่พาร์ทสองในการปรับตัวให้เข้ากับมนุษย์โลก การเดินทางไปหาพระเจ้าที่เขาเชื่อว่าเป็นผู้ที่นำเอาเครื่องมือสื่อสารของ เขาไป และก็ได้ค้นพบความจริงบางอย่างเกี่ยวกับศาสนาที่เขาได้เรียนรู้ ซึ่งก็เป็นจุดที่กลับมาเสียดสีศาสนาและเรื่องราวการนับถือของผู้คนในบ้านเรา ได้ดีเหลือเกิน โดยเฉพาะนิกายจานบินที่เหมือนเป็นเดอะ สตอรี่ของเขาเหล่านั้นกลายๆ
ส่วนพาร์ทที่สามนี่ถือเป็นพาร์ทที่ผมประทับใจมากๆ ด้วยการนำเอาเรื่องราวความรักของตัวละครมานำเสนอไปพร้อมกับการเสียดสีศาสนา ที่เป็นไปในแนวทางที่น่าประทับใจมากๆ และพีคจริงอะไรจริง เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมของเรื่องราวหลังจากที่ทุกอย่างนำพาให้ตัวละครต่างๆ มาพบเจอเรื่องราวพลิกผันมากมาย และกลายเป็นว่า เขาได้รับอะไรกลับไปในสิ่งที่พวกเขาได้ร่วมสร้างกันมาบ้าง
PK ถือเป็นหนังที่หาดูได้ยากจริงๆ ประเภทที่เล่าเรื่องง่ายๆ จริงใจ แต่สอนศีลธรรมความดีงามให้กับผู้คนได้อย่างเด็ดขาด ทำให้ย้อนกลับมามองตัวเองใหม่ว่า เรานั้นเป็นคนยังไงกันแน่ เรายืนอยู่ตรงไหน และทำอะไรอยู่ นอกจากเรื่องศาสนาที่เด่นชัดมากๆด้วยการปรับเปลี่ยนมุมมองให้กับผู้ชมใหม่ ก็ยังมีการสอดแทรกแง่คิดเรื่องการใช้ชีวิตในตลอดระยะเวลาที่หนังได้เล่า เรื่องราวมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นต่างๆจากตัว PK เอง
นี่คือหนังที่เหมาะสำหรับผู้ชมทุกท่านที่อยากจะดูอะไรดีๆ ฟีลกู้ดๆ สนุกสนาน สอนใจ ไม่ไร้สาระ แต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจของทั้งตัวละครและสาส์นที่พยายามสื่อถึง คนดู มันเล่าได้ตรงไปตรงมาจนน่าขนลุกจริงๆ เป็นหนังที่เพอร์เฟ็กต์เรื่องบทมากๆเรื่องนึงเลยครับ..