![]() | ![]() |
![]() |
ความเห็น |
ไม่ว่าข้อเท็จจริงในช่วงต้นทศวรรษที่ 1950 จะเป็นอย่างไร แต่หนังเรื่อง Roman Holiday พยายามจะเชื่อว่า ครั้งหนึ่ง-โลกของเรายังสวยสดงดงาม ผู้คนก็ยังคงมีจิตใจที่อ่อนโยน โอบอ้อมอารี และอานุภาพของความรักอยู่เหนืออานุภาพของเงินตรา
กล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่คือหนังที่ถูกสร้างด้วยจุดประสงค์เพื่อนำพาผู้ชมหนีไปจากโลกของความเป็น จริง และให้ความรู้สึกเหมือนกับมันเป็น ‘วันหยุดพักผ่อน’ อันสุดแสนรื่นรมย์ตามชื่อเรื่อง
ส่วนที่นับว่าน่าทึ่งก็คือ กาลเวลาที่ผ่านพ้นไปกว่าห้าสิบปี-แทบจะไม่ได้ทำให้หนังดูเชยหรือพ้นยุคพ้น สมัยทั้งในแง่ของเนื้อหาและกลวิธีในการนำเสนอแต่อย่างใด และนั่นต้องยกให้เป็นเครดิตของคนสองคน หนึ่งก็คือวิลเลี่ยม วายเลอร์ ผู้กำกับที่นอกจากจะได้ชื่อว่าเน้นความประณีตและพิถีพิถันในส่วนของงาน โปรดักชั่นแล้ว ยังเก่งกาจในการสร้างอารมณ์ร่วม-โดยไม่ทิ้งร่องรอยแห่งการพยายามบีบเค้น อย่างมีพิรุธ
อีกคนหนึ่งก็คือดัลตัน ทรัมโบ คนผูกเรื่องและเขียนบทภาพยนตร์ที่ช่วยทำให้ Roman Holiday ไม่ได้เป็นแค่หนังตลกโรแมนติกที่ล่องลอยอยู่ในโลกของความฟุ้งเฟ้อเพ้อฝัน ร้อยเปอร์เซ็นต์ หากในด้านหนึ่ง มันถูกถ่วงไว้ด้วยเนื้อหาที่ขึงขังจริงจัง และแง่คิดที่คมคาย
ข้อมูลหนึ่งที่หลายคนอาจจะไม่ล่วงรู้-ก็คือ เงื่อนไขเริ่มต้นของ Roman Holiday ไม่ได้มาจากเรื่องในจินตนาการ ทว่าทรัมโบได้รับแรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์จริงของเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต พระขนิษฐาในสมเด็จพระราชินีอลิซาเบ็ธที่สองแห่งสหราชอาณาจักร...
รื่องมีอยู่ว่า หลังจากการเสด็จสวรรคตของพระเจ้าจอร์จที่หก พระราชบิดา เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตผู้ซึ่งได้ชื่อว่าทรงมีพระสิริโฉมงดงาม-ได้รับโปรด เกล้าให้เป็นผู้แทนพระองค์ของพระราชินีอลิซาเบ็ธไปในการรัฐพิธีต่างๆหลาย ครั้งหลายครา และนั่นรวมถึงการเสด็จเยือนประเทศเพื่อนบ้านเพื่อกระชับสัมพันธไมตรี และครั้งหนึ่ง ระหว่างที่ทรงพำนักอยู่ในกรุงโรม ประเทศอิตาลี มีกระแสข่าวลือแพร่สะพัดออกมาว่า พระองค์ทรงแอบไปมีความสัมพันธ์ในทางโรแมนติกกับใครบางคน กรณีดังกล่าวก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมกับทางสำนักพระราชวัง กระทั่งในที่สุด พระองค์ทรงถูกเรียกตัวให้กลับประเทศทันที
แต่เรื่องของเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต-ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งและไม่ใช่ทั้ง
หมดของปูมหลังความเป็น
อีกส่วนหนึ่งที่ใครๆคงมองเห็นได้ชัดเจนก็คือการที่หนังของวายเลอร์
นำเอาหนังตลกโรแมนติคเรื่อง It Happened One Night ของแฟรงค์ คาปร้า(Mr.Smith
Goes to Washington, It’s a Wonderful Life)
ที่ว่าด้วยเรื่องของนักหนังสือพิมพ์หนุ่มที่จับพลัดจับผลู
ร่วมผจญภัยไปกับลูกสาวมหาเศรษฐีที่หนีออกจากบ้าน-มาทำการรีไซเคิลนั่นเอง
อันที่จริงแล้ว ตัวคาปร้าก็หมายมั่นปั้นมือที่จะได้เป็นคนกำกับ Roman Holiday ด้วยซ้ำ ทว่าด้วยเหตุผลอย่างน้อยสองประการที่ทำให้เขาจำเป็นต้องถอนตัว ข้อแรกเกี่ยวข้องกับการที่คาปร้าได้รับแจ้งจากบริษัทพาราเมาท์ ซึ่งเป็นต้นสังกัด-ว่า หน่วยงานเซ็นเซ่อร์ของอังกฤษเตือนว่า ตัวหนังจะต้องถูกคว่ำบาตรอย่างแน่นอน-ถ้าหากเนื้อหาส่วนหนึ่งส่วนใด พาดพิงถึงเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต หรือส่อแสดงถึงพฤติกรรมนอกลู่นอกทางของพระองค์
อีกข้อหนึ่ง-เกี่ยวข้องกับความไม่เชื่อมั่นในหนังเรื่องนี้ของบริษัทพารา เมาท์เองที่ยื่นเงื่อนไขที่คาปร้ายอมรับไม่ได้ว่า หนังเรื่องนี้จะต้องถ่ายทำกันภายใต้งบประมาณที่จำกัด และไม่มีการยกกองไปถึงประเทศอิตาลี-ซึ่งถือเป็นการสิ้นเปลืองและยุ่งยากใน แง่ของการควบคุม รวมทั้งให้ใช้ฟิล์มฟุตเตจในห้องสมุด (stock footage) แทนสำหรับช็อทที่จำเป็นต้องแสดงถึงสภาพบ้านเมือง
ในที่สุด คาปร้าก็ถ่ายโอนโครงการสร้างหนังเรื่องนี้ให้กับวิลเลี่ยม วายเลอร์รับช่วงไปแทน ซึ่งภายหลังจากการเจรจาต่อรองกับสตูดิโออีกหลายรอบ เงื่อนไขหลายๆอย่างก็ผ่อนปรนพอสมควร ตั้งแต่ทุนสร้างที่ได้รับเพิ่มขึ้น(แต่ถึงอย่างนั้น พาราเมาท์ก็ยังคงยืนยันให้ถ่ายหนังเรื่องนี้ด้วยฟิล์มขาวดำ) และการใช้สถานที่จริงในกรุงโรมสำหรับการถ่ายทำหนังตลอดทั้งเรื่อง
อย่างไรก็ตาม ยังมีเรื่องวุ่นๆอีกบางเรื่องที่อยู่เบื้องหลังหนังที่ในภาพลักษณ์เบื้อง หน้าดูสะอาดสะอ้านและไม่มีพิษไม่มีภัยอะไร และมันเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง
ดังที่ได้กล่าวไว้ตอนต้น เครดิตของคนสร้างเรื่องและเขียนบทได้แก่ดัลตัน ทรัมโบ แต่ถ้าตรวจสอบจากตัวหนังฉบับดั้งเดิม ก็จะพบว่าผู้เขียนบทตามที่ระบุไว้ในรายชื่อต้นเรื่อง-ก็คือ เอียน แม็คเคลแลน ฮันเตอร์ และจอห์น ดีห์ตัน โดยที่ฮันเตอร์เป็นคนคิดเรื่อง...
ข้อเท็จจริงก็คือ ทรัมโบเป็นหนึ่งในสิบบุคคลในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของฮอลลีวู้ด(หรือที่ในเวลา ต่อมา พวกเขาได้รับการขนานนามว่า Hollywood Ten) ที่ปฏิเสธการไปให้ปากคำตลอดจนความร่วมมือกับคณะกรรมการตรวจสอบพฤติการณ์อัน ไม่เป็นอเมริกัน หรือ House Un-American Activities Committee (HUAC) ซึ่งได้รับการสถาปนาขึ้นด้วยจุดประสงค์เพื่อจัดการกับบุคคลที่มีความคิดโอน เอียงหรือฝักใฝ่ในลัทธิคอมมิวนิสต์
ผลลัพธ์ก็คือ ทรัมโบและคนอื่นๆไม่เพียงพบตัวเองถูกขึ้นบัญชีดำ
และหางานทำไม่ได้ในฮอลลีวู้ด หากในฤดูใบไม้ผลิของปี 1950
พวกเขาทั้งสิบคนยังต้องระเห็จเข้าไปใช้ชีวิตในเรือนจำเป็นเวลาตั้งแต่หก
เดือนจนถึงหนึ่งปี ช่วงระหว่างนี้เองที่ทรัมโบเขียนบทหนังเรื่อง Roman
Holiday แต่ก็อย่างที่รู้กัน เขาไม่อาจจะใส่ชื่อของตัวเองลงไป
เพราะสตูดิโอจะไม่มีวันยอมซื้อบทหนังหรืออนุมัติให้สร้างอย่างแน่นอน
และต้องไหว้วานให้เอียน แม็คเคลแลน ฮันเตอร์ เพื่อนนักเขียนบทด้วยกัน
ยอมรับสมอ้าง-ว่าเป็นเจ้าของผลงาน
ส่วนที่นับว่าเย้ยหยันก็คือ บทหนังของทรัมโบไม่เพียงได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ในปี 1954 เท่านั้น หากมันยังชนะรางวัล และที่กลายเป็นเรื่องตลกร้ายสุดๆก็คือ ไม่มีใครขึ้นไปรับมอบเกียรติยศอันสูงส่งนี้ เพราะฮันเตอร์ซึ่งถูกใช้ชื่อบังหน้าแทนทรัมโบ-ก็เพิ่งจะถูกขึ้นบัญชีดำ และหลบหนีอยู่ตรงไหนซักแห่งในประเทศเม็กซิโก
อย่างไรก็ตาม หลังจากเรื่องวุ่นวายยุ่งเหยิงในทางการเมืองผ่านพ้นไป เครดิตของคนสร้างเรื่อง-ถูกเปลี่ยนกลับมาเป็นของทรัมโบ (โดยที่เครดิตของฮันเตอร์ในฐานะคนเขียนบท-ก็ยังคงไว้เหมือนเดิม) และภรรยาหม้ายของเขาก็ได้รับมอบตุ๊กตาทองย้อนหลังในปี 1993 หรือราวสี่สิบปีนับจากหนังออกฉายครั้งแรก และราวสิบเจ็ดปีนับจากที่ทรัมโบอำลาโลกใบนี้
แต่ไม่ว่าเรื่องราวเบื้องหลังจะปั่นป่วนเพียงใด Roman Holiday ก็ยังคงเป็นหนังที่คนจดจำในฐานะของเรื่องโรแมนติกพาฝัน-ที่ให้น้ำหนักกับแง่ มุมความรักเป็นสำคัญ..
หนังเปิดเรื่องด้วยหนังข่าวที่รายงานความเคลื่อนไหวของเจ้าหญิงแอนน์ (ออเดรย์ เฮพเบิร์น) แห่งราชอาณาจักรสมมติแห่งหนึ่งในยุโรป ซึ่งอยู่ในระหว่างการเสด็จเยือนประเทศเพื่อนบ้านของพระองค์เพื่อกระชับ สัมพันธไมตรี แม้ประโยคหนึ่งของคนรายงานข่าวจะบอกว่า เจ้าหญิงผู้ทรงมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา-ไม่ได้ส่อแสดงให้เห็นถึง ความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าในตลอดช่วงหนึ่งอาทิตย์ของปรากฏตัวต่อสาธารณชน แต่ข้อเท็จจริงในฉากถัดมาก็คือ พระองค์ก็เหมือนกับเด็กสาวทั่วไปที่อยากจะสนุกตามวิสัยของคนรุ่นราวคราว เดียวกัน และไม่ต้องการถูกผูกมัดด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบอันใหญ่โต ภารกิจที่น่าเบื่อและเต็มไปด้วยพิธีรีตอง หรือการต้องแสดงออกอย่างสำรวมตามแบบอย่างของคนที่เป็น ’เจ้าหญิง’ พึงกระทำ
ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยากว่า
ภายหลังจากที่พระพี่เลี้ยงบรรยายสรุปตารางการทำงานในวันรุ่งขึ้นอันแน่น
เอียดให้ทรงรับทราบ จู่ๆ พระองค์ก็เกิดหมดความอดทน และ ‘เบรกแตก’ ขึ้นมา
ร้อนถึงหมอหลวงต้องเข้ามาฉีดยาเพื่อผ่อนคลายเส้นประสาทของพระองค์
(หนึ่งในอารมณ์ขันที่ตอกย้ำความไม่ซีเรียสของเนื้อหา-ก็คือฉากที่ท่านนายพลฯ
ซึ่งเข้ามาดูอาการของเจ้าหญิง ถึงกับเป็นลมในทันทีที่ได้เห็นเข็มฉีดยา)
แต่ก่อนที่ยาจะออกฤทธิ์
เจ้าหญิงแอนน์ก็หาทางพาตัวเองหลบหนีออกมาจากสถานทูตในยามค่ำคืน
และมันไม่ได้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของการผจญภัยที่เจ้าหญิงบอกในเวลาต่อมา
เธอจะทะนุถนอมความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่รู้ลืม
แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิตของเธอ
อย่างที่ผู้ชมสามารถคาดเดา คนที่บังเอิญมาพบเจ้าหญิงนอนไม่ได้สติอยู่ข้างถนนในกรุงโรม-ก็คือ โจ แบรดลี่ย์ (เกรกอรี่ เป็ค) นักหนังสือพิมพ์ถังแตกชาวอเมริกัน ตรงไหนซักแห่งแถวๆนี้เองที่หนังค่อยๆหันเหตัวเองออกจากโลกของความเป็นจริง และนำคนดูเข้าสู่โลกแห่งจินตนาการ
สิ่งที่ผู้ชมค่อยๆซึมซับเกี่ยวกับตัวโจ-ก็คือ เขาไม่ได้เป็นคนที่เลวร้ายอะไร หลังจากที่ชายหนุ่มเห็นว่าการปล่อยให้หญิงสาวซึ่งเขาเข้าใจว่าเมามายจนครอง ตัวไม่อยู่-หลับใหลในสภาพเช่นนี้ คงจะไม่เป็นผลดีต่อสวัสดิภาพของเธอ ในที่สุด เขาก็จัดแจงหอบหิ้วหญิงสาวกลับไปค้างคืนที่ห้องพักของเขา (อีกหนึ่งในอารมณ์ขันของหนังได้แก่ตอนที่เจ้าหญิงแอนน์ได้เห็นอพาร์ทเมนต์ ขนาดเท่ารังหนูของโจ เธอเอ่ยปากอย่างสะลึอสะลือขึ้นว่า “นี่เรากำลังอยู่ในลิฟท์ใช่มั้ย”) และตลอดช่วงเวลาเหล่านี้ ผู้ชมก็ได้เห็นว่าโจปฏิบัติกับหญิงสาวตามควรแก่อัตภาพ และเป็นสุภาพบุรุษเพียงพอที่จะไม่ได้หาเศษหาเลยทั้งๆที่โอกาสเอื้ออำนวย (ดังจะเห็นได้จากช่วงหนึ่ง เจ้าหญิงแอนน์ถึงกับบอกให้โจช่วยถอดเสื้อผ้าของเธอ แต่เขาก็ไม่ได้ตอบสนองคำสั่งนั้นอย่างครบถ้วนกระบวนความ)..
จริงๆแล้ว ถ้าจะบอกว่าหนังไม่มีแง่มุมในเชิงวิพากษ์วิจารณ์สังคมเลย-ก็อาจจะไม่ถูกต้อง ทีเดียว เพราะเนื้อหาในส่วนที่เกี่ยวกับพฤติกรรมฉกฉวยของโจ-โดยเฉพาะภายหลังจากที่ เขาพบว่าสาวจรจัดที่นอนอยู่ในห้องพักของเขาเป็นถึงเจ้าหญิง ไม่ได้มุ่งบอกว่าโดยเนื้อแท้แล้ว ตัวละครเป็นคนเห็นแก่ตัว และไร้คุณธรรม เท่ากับการสะท้อนให้เห็นว่า ทั้งหลายทั้งปวง มันกลั่นกรองมาจากแรงบีบคั้นในทางเศรษฐกิจและสภาพสังคม
จากคำบอกเล่าของตัวละคร
เขาไม่ได้เป็นเพียงแค่เป็นนักหนังสือพิมพ์ไส้แห้งเท่านั้น
แต่ยังมีสภาพการทำงานที่เรียกได้ว่าตกเป็นเบี้ยล่างของเจ้านายที่ชื่อเฮนเนส
ซี่มาเป็นเวลายาวนาน
ความมุ่งหวังสูงสุดของเขาก็คือการได้ไปจากสำนักข่าวแห่งนี้
และกลับนิวยอร์กซักที และแล้วโอกาสทองนั้นก็มาเยือน
เมื่อเขาเสนอที่จะขายบทสัมภาษณ์เจ้าหญิงแอนน์อย่างชนิดเจาะลึกทุกประเด็น
เพื่อแลกกับเงินก้อนโต ทั้งนี้โดยมีเออร์วิ่ง(เอ็ดดี้ อัลเบิร์ต)
ทำหน้าที่เป็นตากล้องพาพาราซซี่ แน่นอนว่า
ตัวเจ้าหญิงแอนน์เองนอกจากจะไม่รู้ไม่เห็นกับแผนการนี้
เธอยังเชื่ออย่างไร้เดียงสาว่าโจเป็นชายหนุ่มที่จิตใจงดงาม
และปราศจากความเห็นแก่ตัวโดยสิ้นเชิง
แต่กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว ผู้ชมตระหนักดีตั้งแต่ต้นว่าพระเอกของเราจะไม่มีวันทำในสิ่งที่น่าผิดหวัง และเสื่อมเสียเช่นนั้น และไม่ต้องสงสัยเลยว่า ในอีกไม่ช้าไม่นาน ‘ความเป็นมนุษย์’ ในตัวโจจะได้รับการกอบกู้กลับคืน เนื้อหาในส่วนที่จับใจผู้ชมมากที่สุด-ก็คือ ตอนที่ชายหนุ่มแสดงให้เห็นว่า เขาตัดสินใจเลือกที่จะกระทำในสิ่งที่ ‘ถูกต้องและเหมาะควร’ แม้ว่าสุดท้ายแล้ว มันหมายถึงการสูญเสียโอกาสที่เขาจะได้ปลดแอกตัวเอง
คงไม่จำเป็นต้องบอกว่า สัมพันธภาพระหว่างเจ้าหญิงแอนน์กับโจ แบรดลี่ย์ลงเอยอย่างไร เพราะผู้ชมสามารถมองเห็นถึง ‘ความเป็นไปไม่ได้’ ตั้งแต่แรกเริ่ม แต่ถึงอย่างนั้น การผจญภัยร่วมกันระหว่างคนทั้งสอง-ก็เป็นช่วงที่น่าสนุกสนาน ชวนติดตาม และเป็นหนึ่งในเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ตัวหนังตราตรึงอยู่ในความประทับใจของ ผู้ชม ข้อสำคัญ การใช้ประโยชน์จากการถ่ายทำในสถานที่จริง-ก็อยู่ในระดับที่ไม่มากหรือน้อย เกินไป รวมทั้งไม่ทำให้รู้สึกว่า หนังมุ่งมั่นที่จะขายวิวทิวทัศน์
ตรงกันข้าม หลายๆฉากกลับช่วยเพิ่มเสน่ห์ดึงดูดให้กับหนัง อาทิ ฉากน้ำพุเทรวี่(ในช่วงที่พระเอกเฝ้าคอยนางเอกนอกร้านตัดผม), ฉากบันไดสเปน(ที่พระเอกแกล้งทำเป็นได้เจอกับนางเอกอีกครั้งโดยบังเอิญ) หรือฉากรูปปั้นบนฝาผนังที่ชื่อว่า month of truth ซึ่งเป็นฉากที่ทำให้ตำนานเบื้องหลังเกี่ยวกับประติมากรรมชิ้นนี้ขจรขจาย....
แต่ความจริงที่ต้องยอมรับก็คือ หนังเรื่อง Roman Holiday
จะไม่มีทางผ่านบททดสอบในแง่ของการเวลาได้อย่างทนทานเพียงนี้-ถ้าหากปราศจาก
ออเดรย์ เฮพเบิร์น และถึงแม้ว่าข้อมูลจากหลายแหล่งจะพยายามบอกว่า Roman
Holiday ไม่ใช่ผลงานการแสดงเรื่องแรกของเฮพเบิร์น
เพราะเธอได้บทเล็กๆน้อยๆมาก่อนหน้านี้ไม่น้อยกว่า 6-7 เรื่อง
อีกทั้งยังเคยมีประสบการณ์ในการเล่นละครเวที แต่ไม่มีทางปฏิเสธได้เลยว่า
นี่คือการค้นพบครั้งสำคัญทั้งในความเป็น ’ดวงดาวจรัสแสง’ ของเธอ
และทักษะทางการแสดง เฮพเบิร์นแสดงเป็นเจ้าหญิงแอนน์ได้อย่างไม่มีที่ติจริงๆ
บุคลิกของเธอผสมผสานทั้งความบริสุทธิ์ อ่อนหวาน และไร้เดียงสา
แต่ขณะเดียวกัน-ก็เปราะบางอ่อนไหว
ฉากที่ทำนบทางอารมณ์ของเธอพังทลายในตอนต้น-อธิบายอย่างชัดแจ้งและจับต้อง ได้ถึงความกดดันที่คนเป็นเจ้าหญิงต้องเผชิญ ขณะที่ช่วงที่เธอกับโจร่อนเร่พเนจรไปทั่วกรุงโรม ภาพของเจ้าหญิงแอนน์ผู้งามสง่าที่ผู้ชมได้เห็นตอนต้นก็เลือนหายไป กลายสภาพเป็นเด็กสาวธรรมดาๆที่เปี่ยมไปด้วยความร่าเริงแจ่มใสและความมีชีวิต ชีวา
กล่าวได้ว่าบทเจ้าหญิงแอนน์เป็นเหมือนของขวัญที่ฟ้าประทานมาให้กับเฮ พเบิร์น และส่งให้เธอได้แจ้งเกิดอย่างเต็มภาคภูมิ มองในแง่นี้แล้ว-ก็ต้องชื่นชมในความใจกว้างของเกรกอรี่ เป็ค ซึ่งตอนนั้น เขาเป็นดาราใหญ่อยู่แล้ว-ที่ยอมปล่อยให้นักแสดงโนเนมอย่างเฮพเบิร์น แย่งความเด่นในทุกฉากที่ออกร่วมกัน และถ้าจะกล่าวอย่างไม่เกรงใจแฟนๆของเกรกอรี่ เป็คแล้ว บทโจ แบร็ดลี่ย์เป็นบทที่ไม่เข้ากับบุคลิกที่ดูผึ่งผาย และไม่ค่อยจะขี้เล่นของเขาซักเท่าไหร่ และคนหนึ่งที่น่าจะเล่นบทนี้ได้ดีกว่าอย่างแน่นอน-ก็คือวิลเลี่ยม โฮลเด้น ซึ่งในปีถัดมา เขาก็ได้ร่วมแสดงกับเฮพเบิร์นอย่างเข้าขาและลื่นไหลในหนังของบิลลี่ ไวลเดอร์เรื่อง Sabrina (1954)
ไม่ว่าจะอย่างไร
ส่วนที่นับว่าเป็นคุณค่าอีกประการหนึ่งของหนัง-ได้แก่การที่มันไม่ได้สาละวน
อยู่กับการสร้างความซาบซึ้งให้กับผู้ชม
แต่ลงเอยด้วยการบอกให้ผู้ชมได้รับรู้ว่า ทั้งเจ้าหญิงแอนน์
และโจ-ต่างก็ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างเพิ่มเติม
อย่างที่กล่าวไว้ตอนต้น นอกจากความรักแล้ว โจได้พบว่า เขาเองก็ยังหลงเหลือความเป็น ’คน’ และไม่ใช่นักตลบตะแลงปลิ้นปล้อน หรือนักฉวยโอกาสอย่างที่เงื่อนไขแวดล้อมพยายามหล่อหลอมให้เขาเป็น ขณะที่ตัวเจ้าหญิงแอนน์เอง ช่วงเวลา 24 ชั่วโมงที่ผ่านพ้นไป-ได้ทำให้เธอเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ และฉากที่บอกถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นทางการก็คือตอนที่เธอกล่าวกับท่าน ทูตว่า เขาไม่จำเป็นต้องอ้างถึงคำว่า ‘หน้าที่ความรับผิดชอบ’ กับเธออีกต่อไป
“ถ้าหากไม่ใช่เพราะฉันตระหนักในหน้าที่ความรับผิดชอบของฉันต่อราชวงศ์ และต่อประเทศชาติแล้ว ฉันคงจะไม่กลับมาหรอกคืนนี้…หรือตลอดไป”
หนังอาจจะไม่ได้บอกว่า เรื่องราวของเจ้าหญิงแอนน์นับจากนี้-เป็นอย่างไร แต่ด้วยท่าทีเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่น และความสำนึกในพระราชภาระแท้จริง ผู้ชมก็มีเหตุผลอันหนักแน่นที่จะเชื่อได้ว่า ในที่สุดแล้ว พระองค์ก็น่าจะลงเอยด้วยการเป็นเจ้าหญิงที่ดีและเป็นที่รักใคร่ชื่นชมของ เหล่าพสกนิกร..
โรมรำลึก-ROMAN HOLIDAY (1953)
กำกับ,อำนวยการสร้าง-วิลเลี่ยม วายเลอร์/บทภาพยนตร์-เอียน แม็คเคลแลน ฮันเตอร์และจอห์น ดีห์ตัน จากเรื่องของดัลตัน ทรัมโบ/กำกับภาพ-แฟรงค์ เอฟ.แพลนเนอร์, อองรี อเลกอง/กำกับศิลป์-ฮาล เปไรร่า, วอลเตอร์ ไทเลอร์/ลำดับภาพ-โรเบิร์ต สวิงค์/ออกแบบเครื่องแต่งงาย-เอดิธ เฮด/ดนตรี-จอร์เจส โอริค/ผู้แสดง-เกรกอรี่ เป็ค, ออเดรย์ เฮพเบิร์น, เอ็ดดี้ อัลเบิร์ต, ฮาร์ทลี่ย์ พาวเวอร์/ขาวดำ/ความยาว 119 นาที