ความเห็น |
สองคนที่มีบทบาทอย่างยิ่งกับความสำเร็จในส่วนนี้ก็คือริชาร์ด ร็อดเจอร์สกับออสการ์ แฮมเมอร์สไตน์ที่สอง-ในฐานะคนเขียนทำนองกับเนื้อร้องตั้งแต่เมื่อครั้งยัง เป็นละครเพลงบรอดเวย์ แต่ขณะเดียวกัน-ก็ไม่ควรมองข้ามบทบาทสำคัญของเออร์วิน คอสตัลในฐานะผู้ควบคุมและดำเนินการทางด้านดนตรีของหนัง รวมทั้งความสามารถของเออร์เนสต์ เลห์แมน คนเขียนบทกับโรเบิร์ต ไวส์ ผู้กำกับ-ในการผสมผสานองค์ประกอบทั้งด้านภาพและเสียงได้อย่างกลมกลืนสอด คล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เพื่อย้อนให้ผู้อ่านได้เห็นว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับ The Sound of Music ไม่ใช่เรื่องของ
ความฟลุ้คหรือโชคช่วย แต่เป็นเรื่องของฝีมือและความสามารถล้วนๆ
ต่อไปนี้คือต้นกำเนิดและเรื่องราวความเป็นมาของหนังที่นั่งอยู่ในหัวใจของ
ผู้ชมทั่วโลก
สำหรับคนที่เป็นแฟน-คงจะรับรู้เป็นอย่างดีว่าเนื้อหาของ The Sound of Music ไม่ได้ผูกขึ้นจากจินตนาการที่เลื่อนลอย แต่สร้างจากเรื่องจริงของหญิงชาวออสเตรียที่ชื่อมาเรีย ฟอน แทร็พพ์
สิ่งที่หนังไม่ได้บอกเล่าก็คือเหตุการณ์หลังจากนี้ ครอบครัวฟอน แทรพพ์ประสพปัญหาทางด้านการเงินอย่างหนักหน่วง-อันเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตก ต่ำ และต้องหารายได้จุนเจือด้วยการร้องเพลง
อย่างไรก็ตาม พรสวรรค์และความสามารถของมาเรียกับเด็กๆ-ส่งให้พวกเขาชนะเลิศการประกวดร้อง เพลงในเทศกาลดนตรีแห่งเมืองซอลส์เบิร์กเมื่อปี 1936 ผลพวงที่ติดตามมาก็คือ พวกเขาได้รับเชิญให้ไปแสดงคอนเสิร์ตในหัวเมืองสำคัญทั่วยุโรป
เรื่องเลวร้ายไม่ได้ยุติเพียงเท่านั้น เดือนมีนาคม ปี 1938 กองทัพนาซีของฮิตเลอร์ยึดครองออสเตรียพร้อมประกาศการรวมประเทศ กัปตันฟอน แทรพพ์ถูกเรียกตัวให้เข้าประจำการในกองทัพเรืออีกครั้ง แต่ด้วยความเกลียดชังนาซีมาตั้งแต่ต้น เขาตัดสินใจพาครอบครัวหนีออกจากออสเตรีย ทว่าไม่ใช่ด้วยการเดินเท้าข้ามเทือกเขาแอลพ์อย่างในหนัง ทั้งหมดอาศัยรถไฟมุ่งหน้าไปบริเวณพรมแดนประเทศอิตาลี
ลังจากนั้น ครอบครัวฟอน แทรพพ์ก็เริ่มต้นแสดงคอนเสิร์ตอีกครั้ง-เพื่อแลกกับห้องพักและค่าอาหาร จุดหมายปลายทางของพวกเขา-ก็คืออเมริกา ปี 1939 ทั้งหมดได้รับอนุญาตให้โอนสัญชาติเป็นอเมริกันและยังคงตระเวณทัวร์คอนเสิร์ต ตลอดช่วงเวลา 16 ปี ก่อนที่พวกเขาจะลงหลักปักฐานที่เมืองสโตว์ มลรัฐเวอร์มอนต์
แน่นอนว่าเธอได้ดู The Sound of Music ทั้งที่เป็นละครเพลงบรอดเวย์และฉบับหนัง-ซึ่งเธอบ่นให้ได้ยินเพียงแค่ว่ามา เรียทั้งสองฉบับออกจะเป็นคนอ่อนหวาน สะอาดสดใสเกินไป
สิ่งที่ไม่ค่อยมีคนได้รับรู้ก็คือ ก่อนหน้า The Sound of Music ทั้งฉบับละครเพลงและหนัง เรื่องของมาเรีย ฟอน แทร็พพ์เคยถูกนำไปสร้างเป็นหนังออกฉายในประเทศเยอรมันเมื่อปี 1956 ชื่อว่า Die Trapp Familie หนังประสพความสำเร็จอย่างกว้างขวางในยุโรป และเป็นเพราะหนังเยอรมันเรื่องนี้-ที่ไปสะดุดสายตาของวินเซนต์ โดเนฮิว ผู้กำกับหนุ่มจากบริษัทพาราเมาท์ซึ่งมองเห็นอย่างปรุโปร่งว่าเหมาะสำหรับการ ดัดแปลงเป็นละครเพลง
ริชาร์ด ร็อดเจอร์สกับออสการ์ แฮมเมอร์สไตน์ที่สอง-แสดงออกอย่างกระตือรือร้นในทันทีที่ถูกทาบทามให้เกี่ยว ข้องกับโครงการนี้ เพราะทั้งสองเห็นว่านอกจากโครงเรื่องจะสอดคล้องกับลักษณะของละครเพลงแล้ว เนื้อหายังผสมเรื่องกึ่งเทพนิยายแบบซินเดอเรลล่าที่ลงเอยอย่างสวยงามด้วย อีกทั้งฉากหลังก็เป็นเหตุการณ์ต่างถิ่น(exotic)ที่เปิดโอกาสให้ดึงเอาสิ่ง ที่เป็นวัฒนธรรมพื้นบ้านมาดัดแปลงเข้ากับเรื่อง
นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างมาเรียกับกัปตันฟอน แทร็พพ์-ก็เกือบจะเป็นการย้อนรอยความสัมพันธ์ของแอนนากับพระเจ้ากรุงสยามใน The King and I ละครเพลงที่ถือเป็นงานโบว์แดงของคนทั้งสอง
ต่ทั้งร็อดเจอร์สกับแฮมเมอร์สไตน์-ร่วมด้วยคนเขียนบทละครยังต้องปรับ เปลี่ยนแก้ไขรายละเอียดอีกหลายส่วนกว่าที่ทุกอย่างจะลงตัว เป็นต้นว่ากรอบเวลาถูกบีบให้กระชับมากขึ้น โดยให้เหตุการณ์เริ่มต้นในปี 1938 ก่อนหน้าเยอรมันจะบุกออสเตรียไม่นาน และจบลงเมื่อครอบครัวฟอน แทร็พพ์หนีจากออสเตรีย หรือการเปลี่ยนให้ลูกคนโตเป็นผู้หญิงเพื่อจะได้แทรกซับพล็อตในส่วนความ สัมพันธ์ระหว่างเธอกับเด็กหนุ่มส่งเอกสารที่ในภายหลังแปรพักตร์เข้าร่วมเป็น หนึ่งในยุวชนนาซี.
ว่าไปแล้ว นี่ถือเป็นเทคนิคเฉพาะตัวของร็อดเจอร์สกับแฮมเมอร์สไตน์-ในการใช้ความ สัมพันธ์ของตัวละครระดับรองที่มักจะลงเอยอย่างไม่สมหวัง-เพื่อตอกย้ำแก่น สำคัญของเรื่อง ถ้าใครจำได้ ความสัมพันธ์ของทับทิมกับคนรักใน The King and I ก็ถูกนำเสนอด้วยจุดหมายคล้ายกัน
ฉบับละครเพลงบรอดเวย์เปิดแสดงครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน ปี 1959 ผลลัพธ์ในแง่ของคำวิจารณ์ไม่ดีนัก เนื่องจากส่วนใหญ่มองว่าละครจงใจบีบอารมณ์เกินไป แต่สิ่งที่สร้างความประทับใจให้ทั้งกับผู้ชมและนักวิจารณ์เหมือนกัน-ก็คือ เสียงเพลงที่ไพเราะ
The Sound of Music กวาดรางวัลโทนี่ทั้งหมดถึง 7 รางวัล รวมทั้งละครเพลงยอดเยี่ยม แต่ความสำเร็จของฉบับละครเพลง-ก็ยังจำกัดในวงแคบเมื่อเปรียบกับสิ่งที่เกิด ขึ้นกับหนัง
ตัวตั้งตัวตีคนสำคัญในการดัดแปลงละครเพลงให้กลายมาเป็นหนัง-ก็คือ เออร์เนสต์ เลห์แมน นักเขียนบทคนสำคัญที่ได้ดูละครเพลงเรื่องนี้ตั้งแต่ช่วงต้น แต่เขายังต้องรออีกหลายปีกว่าที่บริษัททะเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ซึ่งได้สิทธิ์ในการสร้างหนังเรื่องนี้-จะพร้อมในแง่ของการลงทุน เพราะเพิ่งบาดเจ็บจากความล้มเหลวอย่างชนิดวินาศสันตะโรกับหนังเรื่อง Cleopatra
วิลเลี่ยม วายเลอร์ ยอดผู้กำกับจาก Ben-Hur เป็นตัวเลือกแรกที่ถูกชักชวนให้มากำกับหนังเรื่องนี้ แต่วายเลอร์กำลังเตรียมทำหนังอีกเรื่อง โครงการทั้งหมดจึงตกถึงมือของโรเบิร์ต ไวส์ เจ้าของเครดิตสวยหรูในฐานะผู้กำกับร่วมจาก West Side Story(1960) หนังที่ถือกันว่าเป็นหนังเพลงที่ดีที่สุดของทศวรรษ 1960นอกจากนี้ สองเพลงที่ถูกเขียนเพิ่ม-จากฝีมือของริชาร์ด ร็อดเจอร์สเพียงลำพัง(เนื่องจากแฮมเมอร์สไตน์เสียชีวิตตั้งแตในปี 1960)ได้แก่ “Something Good”-ที่บอกความในใจของมาเรียที่ไม่คาดฝันว่าตัวเองจะได้พบสิ่งดีงามใน ชีวิตอย่างที่เป็นอยู่นี้ และเพลง “I Have Confidence”-ที่มาเรียร้องเพลงปลุกปลอบตัวเองจากการถูกส่งให้ต้องเผชิญโลก กว้างเพียงลำพัง
การได้จูลี่ แอนดรูว์สมารับบทนำของเรื่อง-ช่วยทำให้หนังยิ่งเพิ่มเสน่ห์ดึงดูดมากขึ้น จริงๆแล้ว บทมาเรียไม่ใช่บทที่เรียกร้องความสามารถในทางการแสดงเท่าใดนัก แต่แอนดรูว์สได้เปรียบนางเอกคนอื่นๆในรุ่นราวคราวเดียวกัน-ตรงที่เธอสามารถ ร้องเพลงได้ ด้วยบุคลิกภาพที่อ่อนหวานน่ารักบวกกับน้ำเสียงที่กังวานสดใส แอนดรูว์สประสพความสำเร็จกับบทนี้อย่างมหาศาลโดยเฉพาะในแง่ที่สามารถสร้าง การจดจำให้กับผู้ชมอย่างไม่รู้ลืม
งานกำกับภาพ-ที่ไปถ่ายทำกันถึงเมืองซอลส์เบิร์ก ประเทศออสเตรียถือเป็นอีกองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเติมแง่มุมชวนตื่นตาตื่นใจ ให้กับหนัง อย่างเช่นฉากคลาสสิกช่วงเปิดเรื่องที่เป็นเฮลิคอปเตอร์ช็อท-ถ่ายให้เห็นมา เรียร้องเพลงด้วยอารมณ์เบิกบานเหนือทุ่งหญ้าบนเทือกเขาแอลพ์ หรือฉากมาเรียพาเด็กๆไปปิคนิกและเที่ยวเล่นในตัวเมืองซอลส์เบิร์ก-ที่โชว์ ทิวทัศน์งดงามและบรรยากาศที่น่ารื่นรมย์
ความสำเร็จของผลงานในส่วนนี้ไม่ได้ส่งผลต่อความประทับใจของผู้ชมเท่านั้น แต่ยังทำให้คนจากทั่วสารทิศแห่กันไปเที่ยวเมืองซอลส์เบิร์ก จนบริษัทท่องเที่ยวหลายแห่งต้องจัดทัวร์ที่เรียกว่า ’ตามรอย The Sound of Music’
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่หลงรักหนังเรื่องนี้ นักวิจารณ์หลายต่อหลายคนเห็นว่าหนังจงใจสร้างภาพที่ฟุ้งฝันเกินจริง รวมทั้งยังหาทางออกให้กับทุกปัญหาง่ายดายเกินไป-ซึ่งว่าไปแล้ว นี่คือข้อกล่าวหาเรื้อรังของหนังเพลงนับตั้งแต่ในยุคสตูดิโอเฟื่องฟู-แทบทุก เรื่อง
สิ่งที่นักวิจารณ์คนสำคัญอย่างพอลลีน เคล-รับไม่ได้อย่างยิ่งก็คือความเจ้ากี้เจ้าการของคนทำหนังที่พยายามใช้ เทคนิคอันหลากหลายเข้ามากำหนดอารมณ์และความนึกคิดของผู้ชม ทั้งเสียงเพลงที่ตั้งใจขับกล่อมผู้ชมให้เคลิ้มคล้อยลืมตัว หรือการถ่ายภาพแบบ soft focus ในห้วงเวลาที่ต้องการสร้างบรรยากาศที่นุ่มนวล-โดยไม่ต้องสนใจเรื่องความแนบ เนียนในการนำเสนอ
เธอถึงกับระบุในข้อเขียนของนิตยสาร New Yorker ทำนองว่าความสำเร็จของหนังเรื่องนี้-สร้างความยากลำบากให้กับใครก็ตามที่ อยากจะนำเสนอผลงานแปลกใหม่ทั้งในแง่ของความคิดสร้างสรรค์ หรือความกล้าหาญที่จะแหวกออกไปจากขนบธรรมเนียมที่ยึดถือกันมาต่อเนื่องยาว นาน
สิ่งที่เคล-ละไว้ฐานที่เข้าใจก็คือความสำเร็จของ The Sound of Music กลายเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าผู้ชมพึงพอใจกับการได้อยู่ในโลกใบเก่าที่คุ้นเคย โลกที่ทุกอย่างล้วนเป็นสูตรสำเร็จที่ถูกนำมารีไซเคิลอย่างซ้ำซากนับครั้งไม่ ถ้วน
แต่ก็เป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่า คำวิจารณ์ในทางลบ-เกือบไม่ได้ส่งผลกระทบกระเทือนแม้แต่น้อย ผู้คนยังชื่นชอบและยังดูหนังเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พร้อมๆกับแฟนรุ่นใหม่ที่ยังคงเพิ่มจำนวนและสมทบให้กระแสความคลั่งไคล้ดำเนิน ไปอย่างไม่ขาดสาย
35 ปีที่ผ่านพ้น-จึงเป็นเพียงข้ออ้างที่นักดูหนังทั้งรุ่นเก่ารุ่นใหม่จะได้หวนระลึกถึงช่วงเวลาแห่งความสุขสม และวันเก่าๆที่แสนหวาน
ความผูกพันระหว่างผู้ชมกับบรรดาตัวละครใน The
Sound of Music
ดูเหมือนจะไม่ได้จบลงเพียงแค่เครดิตในช่วงท้ายเรื่องเท่านั้น
คนจำนวนไม่น้อยยังคงติดตามข่าวคราวและความเคลื่อนไหวของบรรดานักแสดงใน
เรื่อง และนี่คือความคืบหน้าล่าสุดของครอบครัวฟอน แทร็พพ์
จูลี่ แอนดรูว์สปัจจุบันอายุ 66 ปี ยังคงเล่นละครเพลงบรอดเวย์ ล่าสุดเพิ่งจะอำลาบทสำคัญอีกบทในชีวิตการแสดง-เรื่อง Victor/Victoria
คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์-อายุ 72 ปี ยังคงมีผลงานด้านภาพยนตร์ให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ล่าสุดที่เพิ่งผ่านสายตาผู้ชมในบ้านเราจาก The Insider เมื่อ 2-3 ปีที่แล้วเพิ่งคว้ารางวัลโทนี่ในฐานะผู้แสดงนำชายยอดเยี่ยมจากละครบรอดเวย์ เรื่อง Barrymore
ชาเมียน คาร์ร ในบทลิเซิ่ล พี่สาวคนโต อายุของเธอในหนังคือ 16 ย่าง 17(ตามเนื้อเพลง “Sixteen Going on Seventeen”) แต่อายุจริงของเธอในตอนนั้น 21 ปี ปัจจุบัน 56 ปี เป็นคุณแม่ลูกสอง และเปิดบริษัทรับออกแบบภายใน ลูกค้าที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งก็คือไมเคิล แจ็คสัน-ที่สารภาพว่าหลงรักเธอตั้งแต่เมื่อครั้งได้ดูหนัง
เฮเธอร์ เมนซี่ ในบทลุยซ่า อายุ 49 ปี หลังจากความสำเร็จของ The Sound of Music เมนซี่ตัดสินใจถ่ายนู้ดลงในนิตยสารเพลย์บอยฉบับเดือนสิงหาคม ปี 1973 หลังจากนั้นเธอได้แสดงหนังทีวี.เรื่อง Logan’s Run เธอแต่งงานกับนักแสดงอีกคน โรเบิร์ต ยูริคจากหนังทีวี.ซีรี่ย์สเรื่อง Vegas ปัจจุบันเป็นคุณแม่ลูกสองเหมือนกัน
นิโคลัส แฮมมอนด์ ในบทลูกชายคนโต-ฟรีดิค อายุ 48 ปี เขาได้ปรากฏตัวในหนังหลายเรื่อง รวมทั้ง Spiderman หย่าขาดกับอดีตภรรยาเมื่อ 11 ปีที่แล้ว ปัจจุบันอยู่ในออสเตรเลียและยังเกี่ยวข้องกับเรื่องของหนัง, ละครเวที รวมทั้งโทรทัศน์
ดเวน เชส ในบทเคิร์ท ลูกชายคนเล็ก อายุ 48 ปี ไม่ได้เกี่ยวข้องกับวงการแสดงอีกเลยหลังจากเรียนจบ เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านธรณีวิทยา ปัจจุบันเป็นคนออกแบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้สำหรับงานด้านธรณีวิทยาและ ธรณีฟิสิกส์
แอนเจล่า คาร์ทไรท์ หรือบริกิตต้า อายุ 46 ปี เปิดร้านกิฟท์ช็อพในเมืองโทลูค่า เลค แคลิฟอร์เนีย หลังจากความสำเร็จของ The Sound of Music เธอยังได้แสดงหนังทีวี.ซีรี่ย์อีกเรื่อง นั่นคือ Lost In Space
เดบบี้ เทิร์นเนอร์ ในบทมาร์ธ่า อายุ 42 ปี ทำธุรกิจทางด้านดอกไม้และเป็นนางแบบ แต่งงานและมีลูกสามคน ช่วงหนึ่งในชีวิตของเทิร์นเนอร์-เคยเป็นนักสกีอาชีพในยูท่าห์
คิม คาแร็ธ ในบทลูกสาวคนสุดท้อง เกรเทิ่ล ปัจจุบันอายุ 41 ปี ยังคงเป็นนักแสดง เธอบ่นให้ใครต่อใครได้ยินเรื่อยๆว่า ในวิดีโอเทปของหนังเรื่อง The Sound of Music ที่เป็นภาพเต็มจอ หรือเวอร์ชั่น pan-and-scan คนที่ยืนริมขอบเฟรมด้านใดด้านหนึ่งจะต้องถูกตัดทิ้ง และโชคร้ายมักจะตกอยู่กับเธอที่ถูกกำหนดให้ยืนซ้ายสุดหรือขวาสุดเสมอ