ความเห็น |
ที่มาและที่ไป...
เมื่อซักสิบปีที่แล้ว ตอน Star Wars:The Phantom Menace ออกฉายเป็นครั้งแรก ป๋าลูกัสโฆษณาซะใหญ่โต ว่าเป็นหนังฟอร์มใหญ่ที่ออกฉายด้วยระบบดิจิตอลเรื่องแรก
ซึ่งผลตอบรับในตอนนั้น ออกจะก้ำกึ่งพอสมควร ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะหนังน่าดูมากกก (ประชด) ซึ่งถึงผมจะแอบกังวลเล็กๆ ว่าซักวันหนึ่ง ระบบฉายดิจิตอลอาจจะเอาชนะฟิล์มได้
แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกว่า ยังอีกนานหรอกน่า เพราะเครื่องฉายดิจิตอลรุ่นแรกๆที่ออกมา นอกจากราคาจะแพงจับจิต ระดับสิบล้านขึ้น ในขณะที่คุณภาพยังห่างไกลจากเครื่องฉายฟิล์มเป็นยิ่งนัก Resolution ยังอยู่ราวๆ 1.3K เท่านั้น เรียกว่า ดีกว่าหน้าจอคอมพ์ที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้นิดเดียวเอง
เผลอแผล็บเดียว เมื่อซักห้าหกปีก่อน Major Cineplex ก็สั่งเครื่องฉายดิจิตอลเอามาลองตลาดบ้านเราจนได้ ซึ่งผมก็ยังมองโลกในแง่ดีว่า เฮ้ย เครื่องฉายมันยังแพงอยู่ คุณภาพก็ยังห่างไกลฟิล์มอยู่ ฯลฯ
สองสามปีก่อน เคยมีโอกาสดูหนังในโรงดิจิตอลครั้งหนึ่ง (เรื่องอะไร โรงอะไร ขอละไว้นะครับ)
พูดตรงๆ - ก็ไม่ได้ประทับใจอะไรเป็นพิเศษ ราคาตั๋วแพงกว่าปรกติ แต่ภาพก็ไม่ได้สวยสดอะไรอย่างที่หวังนัก
"Look" ของภาพ ดูคล้ายๆกับเวลาดูหนังจากโปรเจคเตอร์ตามบ้านนี่แหละครับ เพียงแต่จอมันใหญ่กว่าก็เท่านั้นเอง
ตอนหนังจบ เดินไปออกประตูด้านหน้าจอ เลยได้สังเกตภาพบนจอดีๆ...อ้าว ภาพเป็นเม็ดๆ pixel เหมือนที่ฉายจากโปรเจคเตอร์บ้านๆด้วย ที่ไม่เห็นตอนแรกเพราะนั่งไกลจอ ก็เลยไม่เห็นเป็นเม็ดๆก็เท่านั้น
โดยรวมก็คือ ไม่ได้มีความประทับใจอะไรนัก กับระบบดิจิตอลในเพลานั้น
แล้วผมก็ไม่ได้ตามเรื่องนี้อีกเลย จนกระทั่ง...
เผลอแผล็บเดียว กลายเป็นว่าตอนนี้ กำลังจะถึงเวลาที่ระบบ Digital เข้ามาทดแทนระบบฟิล์มแล้ว เพราะว่า...
1.บ. คริสตี้ ประกาศยุติสายการผลิตเครื่องฉายฟิล์มแล้วครับ หันมาผลิตเครื่องฉายดิจิตอลเต็มตัว (Press Release อยู่ที่นี่ครับ http://www.christiedigital.com/en-us/news-room/press-releases/Pages/FilmProdEndEN.aspx ลงวันที่ 19/11/25552)
2.บ. Strong ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องฉายฟิล์มรายใหญ่"รายเดียว"ที่เหลืออยู่ในอเมริกา (เป็นผู้ผลิตทั้งยี่ห้อ simplex และ century ครับ) ไม่มีการผลิตเครื่องฉายฟิล์มรุ่นใหม่ๆออกมาในรอบสิบปีนี้เลย ที่มีขายอยู่ก็เป็นรุ่นเดิมๆที่มีมาเป็นสิบปีแล้วทั้งนั้น
3.ส่วนทางด้าน Home Theater ก็พัฒนาเอาๆๆ จากเมื่อสี่ซ้าห้าปีก่อน ทีวีพลาสมาซักเครื่อง ราคาเรือนแสน แต่ตอนนี้ LCD TV 32" ราคาลงมาเหลือหมื่นกว่าบาทเอง สวนทางกับคุณภาพที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จนทำไปทำมา กลายเป็นว่า โฮมเธีียเตอร์เทพๆประมาณ Full HD 1080p บางชุด ให้คุณภาพระดับน้องๆโรงหนังจริงๆแล้วเด้อพี่น้อง
4.หรือดูกระทู้ที่ป๋าจุ๋ม เอาเครื่องโปรเจคเตอร์แบบบ้านๆ (แต่รุ่นล่าสุดนะ) ไปฉายขึ้นจอสิบเมตรได้หน้าตาเฉย...ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องฉายแบบโปร ราคาเป็นแสนเป็นล้านก็เอาอยู่ละ
5.อ้อ ตอนนี้โรงหนังส่วนใหญ่ใน USA ที่เปิดใหม่ เกือบทั้งหมด จะเป็น Digital แล้วนะครับ ประมาณว่าถ้ามี 10 จอ ก็จะเหลือที่ฉายฟิล์มได้ไว้ซัก 1-2 จอก็พอ ที่เหลือก็จะเป็นดิจิตอลไปละ
6.ที่ผ่านๆมา ในอเมริกา โรงหนังบางเครือ จะมีการเอาหนังดังๆ เมื่อ 2-3 ปีก่อน จัดโปรแกรมมาฉายในโรงใหม่ ซึ่งแปลว่าบ.หนัง ก็ต้องมีการสต็อกฟิล์มก็อปปี้ที่ใช้แล้วไว้จำนวนหนึ่งเพื่อการนี้ (ส่วนใหญ่ที่เหลือ คือเอาไปเผาทิ้ง T_T)
แต่เดี๋ยวนี้ หลายบริษัทหนัง ก็ทยอยเลิกสต็อกฟิล์มก็อปปี้แล้ว เหลือเก็บแค่ digital copy อย่างเดียว ปะเหมาะเคราะห์ร้าย หนังบางเรื่องที่เอามาฉายใหม่ บางทีท่านเล่นส่งแผ่น DVD มาให้ฉายเลยก็มี -______-"
สรุปเครื่อง 35 มม. ต่อไปก็จะเป็นเหมือน 16 มม ที่มีเครื่องกองเป็นกิโลแต่หาฟิลม์ฉายยากมากๆๆ
อ๊ะ โดนปาดจนได้
แต่สำหรับมือสมัครเล่นทั้งหลาย นี่อาจเป็นโอกาสทองแล้วก็ได้
เพราะอีกไม่นาน ก็อาจจะมีหัวฉายโรงสภาพสวยๆ โดนโละออกมาเป็นภูเขาเลากา ให้นักเล่นกระเป๋าหนักเลือกช็อปกันแทบไม่หวาดไม่ไหวก็เป็นได้ครับ : )
ส่วนฟิล์มหนังก็ไม่ต้องห่วง จากปริมาณฟิล์มหนังที่ถูกผลิตขึ้นทั้งหมดในบ้านเราจนถึงปัจจุบันนี้ ผมเชื่อว่ามากพอที่จะให้เราเล่นไปอีกอย่างน้อยก็เป็นสิบๆปีละครับ อิอิอิ
ส่งท้าย...
ถึงตอนนี้ ขอประกาศไว้เลยครับว่า THOSE DAYS ARE NUMBERED
ไม่ว่ายังไง ระบบฉายด้วยฟิล์ม ก็จะต้องถึงกาลอวสานอย่างแน่นอนครับ จะวันใหนเท่านั้นเอง
และมั่นใจว่า คงไม่นานเกินรอด้วย
โดยที่พวกเราในที่นี้ จะได้ร่วมกันรู้เห็นเป็นพยานในเหตุการณ์นี้อย่างแน่นอน
ยังไงผมก็ชื่นชอบการฉายภาพยนตร์ด้วยฟิล์มอ่ะครับ ยิ่งฉายฟิล์มเก่าๆเป็นเส้นฝนตกยิ่งชอบใหญ่เลย ผมเกิดมาในยุคฟิล์มใจรักหนังก็เพราะฟิล์มนี่แล่ะครับ ฉายดิจิตอลกับโปรเจ็คเตอร์ก็ไม่ต่างกันมากหรอก
ที่คุณโหน่งโพสมาเป็นความจริงทั้งหมดครับ สมัยก่อนโรงหนังใหญ่ๆในบ้านเราสั่งเครื่องโปรเจ็คเตอร์มาฉายในโรงแบบดิจิตอลราคา 20 กว่าล้านบาทต่อ 1 เครื่องแต่ตอนหลังมานี้ราคาลดลงเหลือ 15 ล้านบาท แต่เมื่อเดือนที่แล้วผมได้มีโอกาศคุยกับคุณแสนระศักดิ์ของเราซึ่งท่านบอกว่าตอนนี้มีเครื่องฉายดิจิตอลรุ่นล่าสุดออกมาแล้วกำลังฉายไม่แตกต่างจากในโรงหนังเลยสามารถฉายได้อย่างสบายมากราคาณตอนนี้เหลือ 3 ล้านกว่าบาทแล้วครับท่าน เชื่อว่าในอนาคตจะลดลงมาเหลือหลักแสนอย่างแน่นอนครับ ดูอย่างทีวีพัสม่าที่ผมเคยดูเมื่อ 10 กว่าปีก่อนราคาตั้งเจ็ดแสนกว่าบาทตอนนี้เหลืออยู่ 2 - 3 หมื่นบาทเอง เชื่อว่าต่อไปถูกลงแน่นอนครับ
ส่วนแผ่นเสียงที่คุณโหน่งบอกว่าไม่นิยมแล้วและเปลี่ยนมาเป็นซีดีกันแล้วก็จริงครับแต่สำหรับตัวผมเองก็ยังเชอบที่จะเก็บสะสมแผ่นเสียง ตอนนี้ก็พอมีเหลือฟังอยู่ประมาณ 2000 กว่าแผ่น อาจเป็นเพราะว่าเคยผูกพันกับแผ่นเสียงมาตั้งแต่เด็กๆแล้วก็เลยเก็บสะสมมาตลอดจนถึงปัจจุบันนี้ล่ะครับ อ๋อเสห่น์ของแผ่นเสียงก็คือเวทีของเสียงที่มีความหวานละเมียดละมัยมากยิ่งถ้าได้แผ่นดีๆกับเครื่องเล่นพร้อมหัวเข็มดีๆรับรองคุณจะได้เวทีเสียงที่หวานละมุนมากครับ
ถ้าคืนใหนที่ผมเปิดแผ่นเสียงละก็รับรองคืนนั้นต้องนั่งฟังเพลงเก่าๆที่ชื่นชอบไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมงในการนั่งฟังครับ
ความจริง คือ ความจริง ตามที่ท่านรองโพสมาครับ แต่กระผมเองก็ยังคลั่งไคล้ ระบบฟิล์มเหมือนเิดิม เพราะจริงๆแล้ว เป็นต้นแบบและจุดกำเนิดอันแท้จริงของภาพเคลื่อนไหว(ภาพยนตร์) ที่วิวัฒนาการเรื่อยมา จนมาถึงยุคไอที ความเห็นส่วนตัวนะ ถ้าความชอบ ระบบฟิล์มจัดเป็นอันดับที่ 1 ระบบดิจิตอลจัดเป็นอันดับที่ 2 ครับ เพราะการดูภาพจากระบบฟิล์ม กับ ดิจิตอล มันแตกต่างกันมาก ยกตัวอย่าง การดูจากฟิล์ม สีจะเป็นธรรมชาติกว่า ยิ่งมีเส้นมีรอยบ้างนิดๆ เห็นมันไหลๆ แสงกระพริบถี่ๆในภาพที่เป็นจังหวะในการเคลื่อนไหว ที่เกิดจากใบพัดตัดแสง ก็ยิ่งได้ความรู้สึกถึงระบบภาพยนตร์ที่เป็นแมนนวลอันแท้จริงครับ..... ไม่ค่อยชอบกึ่งสำเร็จรูปสักเท่าไหร่ ....
ถึงตอนนี้กระผมยังไม่มีอุปกรณ์ หัวฉาย ฯลฯ มีแต่ฟิล์มจำนวนหนึ่ง ฉะนั้นก็จะยังเสาะหามาครอบครองอนุรักษ์ไว้ให้จงได้ และจะเก็บรักษาไว้ให้สมบูรณ์ใช้งานได้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นยุคไหน ตอนนี้ก็กำลังออมตังค์อยู่ ยังไงก็ต้องสอยมาเก็บไว้ให้ได้ครับ คอนเฟิร์ม!!!!
วันนี้ผีเข้า เลยมาเฝ้าเว็บเป็นวันที่สอง อิอิอิ
ขอขยายความเรื่องตลาดกล้อง/ฟิล์มถ่ายภาพซักนิดละกันกั๊บ
ช่วงผมพอรู้ความ ก็คือซักยี่สิบกว่าปีก่อน ราวๆปี 2528-2533 เป็นช่วงที่ตลาดกล้องฟิล์มกำลังคึกคัก เพราะการถ่ายรูปนอกร้านเริ่มเป็นที่นิยม กล้อง+ฟิล์มราคาเริ่มลดลง&ใช้งานง่ายขึ้น ไม่จำเป็นต้องถ่ายรูปเฉพาะในร้านอีกต่อไป ลูกค้าเพิ่มขึ้น แต่ร้านยังมีไม่มาก ช่วงนั้นป๊ะป๋าเปิดร้านได้ราวๆสิบกว่าปี สั่งสมชื่อเสียงได้พอสมควรแล้ว ลูกค้าเลยขึ้นน่าดู เรียกว่ารับทรัพย์กันแทบไม่หวาดไม่ไหวเหมือนกันครับ อิอิอิ
ต่อมา ช่วงซักปี 2533-2540 เป็นยุคบุกเบิกของเครื่องมินิแล็บพอดี จากเดิมที่ต้องส่งฟิล์มไปล้างถึงตัวจังหวัด รอกันเงก 2-3 วัน กลายเป็นว่ามีร้านห้องแถวเดียวก็รับล้างอัดรูปได้แล้ว ลูกค้ามารอแค่ 1-2 ชั่วโมงก็รับรูปได้ละ ทำให้มีร้านแล็ปสีผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ตัวหารเยอะขึ้น แต่ก็ทำให้ตลาดพลอยคึกคักตามด้วย แม้การแข่งขันจะสูง แต่ก็ยังพอทำเงินทำทองกันได้อยู่
ประมาณช่วงปี 42-43 แม้จะรอดพ้นวิกฤติต้มย้ำกุ้งปี 40 มาได้โดยไม่เจ็บตัวอะไรมาก แต่หลังจากเหนื่อยหน่ายกับการแข่งขันที่ดุเดือดเลือดพล่านในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และลูกๆ ก็คือผม กับพี่สาว&น้องชาย อยู่ในช่วงที่เรียนจบ และทยอยกันมีงานการทำแล้วพอดี ความบีบคั้น/แรงจูงใจในการลงทุนอะไรหนักๆอีกจึงไม่มี
ดังนั้น รับประกันเลยครับ ว่าไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม
อีกไม่เกิน 5-10 ปี โรงหนังแนวหน้าอย่างเมเจอร์ SF จะฉายเป็นระบบดิจิตอลหมด(หรือเกือบทั้งหมด)
ภายใน 10 ปี โรงหนังทั่วๆไปก็จะฉายด้วยระบบดิจิตอลด้วย
และถึงตอนนั้น โรงหนัง/หน่วยหนังใหนที่ไม่มีเงินทุนพอจะปรับตัวได้ละก็ เตรียมเลิกกิจการได้เลย เพราะตอนนั้น อาจจะไม่มีฟิืล์มให้ฉายแล้วก็ได้
แต่สิ่งที่ผมเป็นห่วงอย่างที่สุดจริงๆก็คือ ด้วยเทคโนโลยีที่ดีขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอินเตอร์เนตที่เร็วขึ้นๆๆ เป็นไปได้ว่าต่อไปอีกไม่นานนี้ เราจะไ้ด้ดูหนังแผ่นชนโรง คุณภาพระดับ Full HD พร้อมๆกับที่หนังฉายโรงเลยทีเดียว
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงละก็ นี่อาจทำให้ธุรกิจโรงหนังทั้งระบบเรรวนซวนเซ หรือถึงขนาดล่มสลายกันทั้งระบบเลยก็ได้ (ก็คล้ายๆกับที่ธุรกิจเพลงกำลังโดนอยู่ตอนนี้แหละครับทั่น)
เฮ้อ ยิ่งนึกยิ่งฟุ้งซ่าน เอาว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดละครับทั่น
Que sera sera
Whatever will be,will be
The future's not ours to see
Que sera sera
What will be,will be
Que sera sera...
ต่อไปก็คงจะไม่มีหนัง 2 มิติแล้วครับ หนัง 3 มิติ 4 มิติจะเข้ามาแทนที่อีกไม่ช้า ต่อไปฉายหนังกลางแปลงคงแจกแว่นตาดูหนังครับ 555
ขอมาเม้นต์ด้วยครับ
นั่งอ่าน นอนอ่านอยู่นานครับ เห็นภาพลางๆออกมาก่อนหน้าที่อาจารย์โหน่งกับพี่แอ๊ดได้มาพักใหญ่ๆแล่วครับ
ตั้งแต่ผมเริ่มเอาม้วน VDO เก็บใส่ลังไว้ใต้ถุนโกดัง แล้วเอาแผ่น VCD ขึ้นมาเรียงแทนยังไม่ทันไร DVD กล่องใหญ่ๆ ไม่มีที่เก็บก็หาเรื่องปวดหัวมาให้ผมอีกเป็นระลอกสอง
ทั้งกระนั้นกระแส Blue ray กล่องเล็กๆกระทัดรัดขอบสีน้ำเงินฟ้า ก็มาเย้ายวนตาให้ผมอีกเป็นระลอกสาม แต่ก็คงต้องถอยไปตั้งหลักก่อน กับราคาที่ยังเอื้อมไม่ถึงครับ
สุดท้าย Hi Def 1080p 1080i สนนราคากิ๊กละบาท ก็ออกมาระบาดในหมู่ผู้นิยมภาพเคลื่อนไหวให้สะเทือนวงการเป็น generation ล่าสุด ดูอย่างอวตาร 80 G 80 บาท ใครๆก็อาจเอื้อมได้ครับ
ซึ่งผมก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเราถึงติดอันดับโลกกับเขาในเรื่องต่างๆเหล่านี้
แต่ถ้ากระแสเหล่านี้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นและถูกต้อง ผมก็ยินดีที่จะน้อมรับนะครับและก็คงปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ที่สังคมกำหนดขึ้นได้
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราจะเผยแพร่สื่อเหล่านี้สู่สาธารณะให้ถูกต้อง ให้ทำอะไรก็ยินดีครับ ให้จ่ายลิขสิทธิ์แบบไหนก็ยอมครับ ถ้ากระแสตอบรับเป็นไปในทิศทางที่บวกครับ
POP FILM ก็พร้อมที่จะแตก line เป็น POP Digital อีกสาขาหนึ่งครับ