10. เดิมที บทแฮกเกอร์หนุ่มที่แม็คเคลนจะต้องหอบกระเตงไปตลอดภาค 4 นั้น เคยถูกวางไว้ว่าจะเป็น จอห์น แม็คเคลน จูเนียร์ ลูกชายแท้ๆของเขา ก่อนที่ปมครอบครัวจะโยงใยกันวุ่นวายไปหมด ผู้เขียนบท มาร์ค บอมแบค จึงตัดสินใจเปลี่ยนตัวละครใหม่แกะกล่อง "แม็ตต์ ฟอสเตอร์"
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=jasonsjung&group=4
ความเห็น |
![]() | |
สงสัยอยู่อย่างเดียวครับ สิบสองปีที่แล้วที่ภาคแรกฉาย โรงหนังที่เซ็นทรัลลาดพร้าวชื่อโรงว่าอะไรครับ มีท่านใดทราบบ้างครับ รบกวนด้วยนะครับ
โห! คุณจาทีเอ นอกจากจะเก่งเรื่องเครื่องฉาย DIGITAL แล้ว ยังรู้เกร็ดหนังเกี่ยวกับเบื้องหลังที่ละเอียดอย่างนี้ สุดยอดครับ
Movie Inside Star wars
นำมาฝากให้แฟนเว็บเพื่อนคนรักหนังกันอีกนะครับ
รับปากกันไว้ ว่าจะนำเรื่องราวที่คุณไม่เคยรู้(หรือบางคนอาจรู้แล้วก็ได้) ของหนัง Star Wars มาเล่าสู่กันฟัง เอาเป็นว่าอ่านไว้ประดับความรู้ก่อนเข้าไปดู Episode III ก็ดีครับ อาจจะดูเข้าใจมากขึ้นก็เป็นได้
ก่อนอื่นเรามาดูภาพแผนผังด้านบนกันครับ นี่คึอแผนผังเกี่ยวกับตัวละครหลักๆ ตั้งแต่ Episode I จนถึง Episode VI เลยครับ โดยแบ่งเป็นซีกซ้ายและขวา หรือด้านผู้ร้ายกับพระเอก ก็คงไม่ผิดนัก จะเห็นว่า รูปของดาร์ธ เวเดอร์ส และ อนาคิน สกายวอร์คเกอร์ จะอยู่ตรงกึ่งกลางของภาพเปรียบเสมือน มี2 ด้านอยู่ในตัวบุคคลเดียว ส่วนคนอื่นใครเป็นใครเชิญทัศนากันตามสะดวกครับ
รูปนี้ผมชอบมากๆครับ แบ่งออกเป็นด้าน Jedi และ Sith อย่างชัดเจน โดยมีรูปใบหน้าของ อนาคิน สกายวอร์คเกอร์และ ดาร์ธ เวเดอร์ส อยู่กลางภาพอย่างละซีกใบหน้า ซึ่งบ่งบอกความหมายของภาคนี้(Episode III)ได้เป็นอย่างดี
เอาล่ะครับมาเข้าเรื่องกันดีกว่า ผมไปค้นหาข้อมูลที่น่าสนใจ หลายๆอย่างเกี่ยวกับหนังชุดนี้มาสนองแฟนๆ Star Wars จากนิตยสารหลายฉบับ โดยจะคัดมาแค่บางส่วนเท่านั้น ขอเริ่มจากตัวเอกของเรื่องเลยละกันครับ
- ชื่อ ดาร์ธ เวเดอร์ (Darth Vader) มาจากการผสมคำว่า เดธ วอเทอร์ (Death Water) กับ ดาร์ค ฟาเธอร์ (Dark Father) อืมม..พระเจ้าจอร์จ มันยอดมากเลยชื่อนี้
- นอกจากนี้ลูคัส เคยตั้งใจจะให้ ดาร์ธ เวเดอร์ เป็นแค่นักล่าเงินรางวัลคนหนึ่ง แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง เขาจึงนำคาแรคเตอร์ดังกล่าว ไปสร้างเป็นตัวละคร โบบ้า เฟ็ทท์ ใน Episode V แทน
- ชุดของดาร์ธ เวเดอร์ เป็นการผสมผสานชุดของสิงห์มอเตอร์ไซด์(ไม่ใช่วิน หน้าปากซอยนะ), เสื้อคลุมของพระในสมัยกลาง(ยุคมืด), หน้ากากกันแก๊สพิษ และหมวกของพวกนาซีเข้าไว้ด้วยกัน
- ชื่อเดิมของ ลุค สกายวอร์คเกอร์ที่ลูคัสตั้งไว้คือ ลุค ดาร์คไลท์เตอร์ และ ลุค สตาร์คิลเลอร์
- ลูคัส ได้ไอเดียของตัวละครชิวแบคก้ามาจากหมาขนยาวตัวหนึ่งของภรรยาชื่อ อินเดียน่า ซึ่งชอบมานั่งหน้ารถหมือนเป็นผูช่วย (แต่เสียงร้องเอมาจากหมี-สิงโต-ช้างน้ำและอูฐ) และภายหลังเขายังได้นำชื่อมันไปตั้งเป็นชื่อพระเอกหนังเรื่อง Raiders of the Lost Ark (1981) ที่ผู้ชมรู้จักกันดี...อินเดียน่า โจนส์
- ชื่อ "โยดา" มาจากภาษาสันสกฤต หมายถึง "นักรบ"
- แม้ โยดา ใน Episode I - III จะเป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นจากคอมพิวเตอร์ แต่โยดาใน Episode V และ VI เป็นการใช้หุ่นชัก และให้เสียงพากย์โดยนักเชิดหุ่นฝีมือดี แฟรงค์ อ๊อซ
- การเชิดหุ่นโยดา จะใช้ผู้ช่วยอีก 2 คน เพื่อให้การเคลื่อนไหวที่ซับซ้อน มีความคล่องตัวและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
- จักรพรรดิ์พัลพาทีนที่ปรากฏตัวเป็นครั้งแรกใน Episode V นี้ ผู้แสดงเป็นหญิงชราที่ถูกจับมาโปะเมคอัพหนาเตอะเข้าไป โดยมี คลิฟ เรวิลล์ เป็นผู้ให้เสียง ไม่ใช่ เอียน แม็คเดียร์มิด ที่สวมบทจักรพรรดิ์ใน Episode VI - Return of the Jedi และกลับมารับบทวุฒิสมาชิกพัลพาทีนอีกครั้ง ใน Episode I - III
(หมายเหตุ - ลูคัส ตัดสินใจให้ เอียนฯ มาแต่งหน้าเป็นจักรพรรดิ์ พัลพาทีนอีกครั้งเพื่อนำภาพที่ถ่ายทำใหม่ มาตัดต่อทับภาพเดิมในฉบับ Special Edition -DVD)
- อเล็ค กินเนสส์ เกือบจะไม่ได้มาแสดงเป็น โอบี-วัน เคโนบี ใน Episode V - The Empire Strikes Back เพราะเพิ่งไปผ่าตัดดวงตามา
- ชื่อ"แพดเม่" นำมาจากคำภาษาสันสกฤตที่แปลว่า "ดอกบัว"
- นาตาลี พอร์ตแมน มีปัญหาระหว่างการถ่ายทำไม่น้อย เพราะอยู่ในช่วงกำลังโตเป็นสาว เมื่อถ่าย Episode II ไปได้ครึ่งเรื่อง ลูคัสพบว่า เสียงของพอร์ตแมนเปลี่ยนไป จนต้องไปปรับเสียงในแล็บ และลงเสียงใหม่บางส่วน อีกทั้งลูคัสยังอยากให้เสียงของแพดเม่ และองค์หญิงอมิดาลา แตกต่างกันเล็กน้อย ก็ต้องนำเสียงไปปรับแก้กันอีกรอบ
เป็นยังไงกันบ้างครับ สาวก Star Wars ทุกท่านที่ได้ชม Revenge of the Sith ชอบภาคนี้กันมากน้อยแค่ไหนเอ่ย แต่ที่แน่ๆ ในอเมริกา หนังทำลายสถิติเปิดตัวสูงสุดตลอดกาลไปเรียบร้อยแล้ว โดยล่าสุดหนังทำรายรับเปิดตัว 4 วันไปประมาณ 158.5 ล้านเหรียญ ลบสถิติเดิมของ The Matrix Reloaded ไปเรียบร้อย โรงเรียนเจได นับได้ว่าเป็นรายรับที่สูงเอามากๆเลยทีเดียว
วันนี้มาว่ากันต่อเกี่ยวกับ เกร็ด Star Wars ที่คุณอาจยังไม่เคยรู้ดีกว่านะครับ ยังมีอีกหลายเรื่องเลยทีเดียว อ้อ..บอกไว้ก่อน บางเรื่องในที่นี้ เกี่ยวข้องกับ เนื้อเรื่องใน Episode III จึงอาจมี Spoiled (เฉลยเรื่องในหนัง) ใครที่ยังไม่ได้ดู อาจอ่านข้ามไปได้ครับ.....
- ก่อนหน้าที่ แฮริสัน ฟอร์ด จะมารับบทเป็น ฮาน โซโล จนมีชื่อเสียงโด่งดังจนถึงทุกวันนี้ จอร์จ ลูคัส เคยคิดที่จะให้ฮาน โซโล แสดงโดยนักแสดงผิวดำ ดังนั้นนักแสดงผิวสีมากมาย รวมทั้งนักดนตรีก็เข้ามารับการทดสอบ แต่ในท้ายที่สุด ลูคัส ก็เปลี่ยนใจ (เฮ้อ..โชคดีที่เปลี่ยนใจนะ จอร์จ!!)
- ในตอนคิดเรื่องใหม่ๆ ฮาน โซโล ต้นฉบับคือปีศาจตัวสีเขียวและมีจมูกงอ โดยมีนิสัยใจคอ นำมาจากเพื่อนของเขาที่ชื่อ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปล่า
- ในตอนคิดเรื่อง ลูคัสคิดตัวละครลุงและป้า ของลุค สกายวอร์คเกอร์เป็นคนแคระ
- แครี ฟิชเชอร์ คิดหนักเมื่อต้องลดน้ำหนักอย่างมากในการรับบท เจ้าหญิงลีอา แต่ในท้ายที่สุด ลูคัส ก็ปล่อยให้เธอแสดงตามสบายกาย
- ใน Episode VI ลูคัสใช้ชื่อตอนว่า Revenge of the Jedi แถมมีการพิมพ์ใบปิด Teaser หนังออกมาแล้วด้วย แต่ในท้ายที่สุดลูคัสก็เปลี่ยนใจและใช้ชื่อตอนว่า Return of the Jedi แทนเพราะคำว่า Return(ชัยชนะ) ดูจะเหมาะสมกับเหล่าเจได มากกว่าคำว่า Revenge ที่แปลว่า ล้างแค้น ซึ่งถูกนำมาใช้ใน Episode III จนได้
- โอบีวัน เป็นคนที่ไม่ชอบการบินเอามากๆ เขาจึงมักปล่อยให้เป็นหน้าที่ของดรอยด์ประจำยานมากกว่า ถ้าไม่เชื่อลองดูในตอนต้นเรื่องของ Episode III ก็ได้ครับ
- อันนี้ขอ Spoiled เล็กน้อยนะครับ ใครที่ยังไม่ได้ดู Episode III ข้ามไปก่อนก้ได้ อันเนื่องมาจาก R2-D2 และ C-3PO เป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ Episode I ฉะนั้น วุฒิสมาชิก เบลล์ ออร์กานา ต้องสั่งให้นำ C-3PO ไปลบความทรงจำทั้งหมดทิ้งเพื่อปกป้องที่อยู่ของโอบีวันและโยดา ไม่ให้ฝ่ายจักรวรรดิล่วงรู้ และเพื่อเป็นการซ่อนตัวทายาทของอนาคิน สกายวอร์คเกอร์ให้พ้นหูพ้นตาขององค์จักรพรรดิด้วย ดังนั้นจึงมีเพียง R2-D2 ตัวเดียวที่ยังคงมีความทรงจำอันแสนเศร้าครั้งนี้เก็บไว้ในตัวมันอย่างไม่อาจลืมได้
- General Grievous ปรากฏตัวต่อเหล่าเจไดครั้งแรกในสมรภูมิบนดาว Hypori ด้วยร่างกายที่เป็นจักรกลทั่วทั้งตัว ยกเว้นส่วนดวงตา ที่ส่วนหัวได้มีการฝังโปรแกรมวิธีการต่อสู้ของเจไดไว้ในสมอง จึงทำให้สามารถต่อสู้กับอัศวินเจไดได้อย่างสบายๆ เขาได้รับการฝึกต่อสู้จาก Darth Tyranus ซึ่งมันมากพอที่จะล้มเจไดลงได้ และกรีวัสก็เริ่มสะสมดาบไลท์เซเบอร์ของอัศวินเจได ที่มันเอาชนะมาได้ ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีวันหยุดเสียด้วย (ถ้าไม่มาเจอ ลูกผู้ชายตัวจริง อย่างเจได โอบีวัน เคโนบี เสียก่อน ฮิฮิ)
- Revenge of the Sith เป็นหนัง Star Wars ภาคเดียวที่ได้เรตหนัง PG -13 แทนที่จะเป็นเรต PG เหมือนกับภาคก่อนๆ ซึ่งลูคัส ให้สัมภาษณ์ว่า เขาเองตั้งใจที่จะให้หนังได้เรต PG-13 อยู่แล้ว ด้วยเหตุที่หนังภาคนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของตัวละครที่เคยเป็นฮีโร่ ไปสู่การเป็นดาร์ธ เวเดอร์ ผู้ชั่วร้าย และการกระทำที่ชั่วร้ายต่างๆของเขา ไม่เหมาะสำหรับเด็กๆ 5-6 ขวบเป็นแน่แท้
- ลูคัส ให้คำนิยามของคำว่า "Sith" หมายถึง คนที่คิดถึงแต่ตัวเอง และเห็นแก่ตัว มีคนแบบนี้มากมาย แต่เพราะว่าพวกเขาถูกชักนำด้วยพลังและความทะเยอทะยาน พวกเขาเลยฆ่ากันตายเอง ตอนนี้เลยเหลือแค่ 2 คือ มาสเตอร์และลูกศิษย์ นอกจากนี้ Sith ยังทำสิ่งต่างๆ ด้วยความเชื่อมั่นในความโลภ พวกเขาใช้ความรู้สึกดิบๆ ไม่ว่าจะเป็นความเกลียด, ความโกรธ, ความขมขื่น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นด้านมืดของพลังทั้งนั้น พลังเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวให้แกแล๊คซี่คงอยู่ด้วยกัน มันมีทั้งด้านดีและด้านเลว Sith เรียนรู้ที่จัดการกับทั้งสองด้านของพลัง แต่แล้วเขาก็ตกไปในหลุมพลางของด้านมืด
- หากใครสังเกตให้ดีๆ จะพบว่า ในฉากประชุมสภาแห่งสาธารณรัฐ ใน Episode I จะมีเผ่าพันธ์ของเจ้า E.T. คอยาวๆ มาโผล่ในฉากกับเขาด้วย ซึ่งลูคัส แกแอบเอามาใส่ในหนัง โดยได้รับการอนุญาตจากเพื่อนซี้ สปิลเบิร์ก เรียบร้อยแล้ว
เล็กๆ น้อยๆที่คุณยังไม่รู้ของผู้กำกับ จอร์จ ลูคัส
- ลูคัส ร่วมแสดงใน Episode III - Revenge of the Sith ด้วย ในบท Baron Papanoida (โผล่มาตอนไหน ลองไปหาดูในโรงกันเองนะครับ ผมเองยังหาไม่เจอเลย)
- ใน Episode II ฉากภายในที่ประชุมวุฒิสภาแห่ง สาธารณรัฐ ช่วยสังเกตกันให้หน่อยว่า มีใครเห็นชายหนุ่มผมหยิก ไว้เครา พุงพลุ้ย ใส่เสื้อผ้าเหมือนมนุษย์โลกในยุคปัจจุบัน แถมยังสวมนาฬิกาข้อมือบ้างหรือเปล่า เพราะนั่นก็คือ พ่อยอดขมองอิ่ม ลูคัส เชียวนะ (สงสัยต้องกลับไปเปิด DVD ดูอีกรอบ ไม่รู้พี่จอร์จแกแอบไปซ่อนตัวอยู่ตรงไหน)
- เมื่อสมัย Star Wars Episode IV เสร็จสมบูรณ์และออกฉาย ลูคัสกลัวเหลือเกินว่าหนังจะเจ๊งอย่างที่ใครๆพูดกัน ในวันที่เปิดตัวครั้งแรก เขาตั้งใจว่าจะหนีไปให้ไกลคนจากสตูดิโอ เขากับภรรยาหลบไปนั่งในคาเฟ่แห่งหนึ่ง และได้เห้นฝูงชนมากมายมาชุมนุมกันที่ถนน ก่อนที่ทั้งคู่จะตกตะลึง เมื่อได้รู้ว่า ผู้คนเหล่านั้นกำลังออกันอยู่หน้าโรงหนัง เพื่อเข้าคิวดูหนังของเขานั่นเอง !!!!