Mobile Version / สำหรับโทรศัพท์มือถือ ยินดีต้อนรับท่านผู้มาเยือน www.peoplecine.com ท่านยังไม่ได้ log in นะครับ เข้าใช้งานระบบ / สมัครสมาชิก/ ลืมรหัสผ่าน

ประธานกรรมการ :ปวีณ เขื่อนแก้ว
เวบมาสเตอร์:อนุกูล วิมูลศักดิ์ 084-819-7374,095-308-6840


= ภายใน24ชั่วโมง , = ภายใน 3 วัน = ทั่วไป , = คลาส2 , = คลาส3 ,
รูป
แหล่งความรู้ โฮมเธียเตอร์ โปรเจคเตอร์ และเครื่องฉายดิจิทัลในบ้านเจ้าของ อ่าน ตอบ ผู้ตอบหลังสุด
-benq ms517 กับจอ6เมตร จะไหวไหมครับ มือใหม่อยากลองครับ36883.. 25/10/2557 18:00
-ขอวิธีการปรับสึและภาพdell1610hdอย่างเข้าใจง่ายครับ28751.. 9/10/2557 15:09
-แผ่นรวมแสง หาซื้อได้ที่ไหนครับ40502.. 29/9/2557 2:09
-"แม็คอินทอช" ตำนานเกริกไกรแห่งวงการเครื่องเสียง38572.. 26/9/2557 6:47
-ONKYO TX-NR3030 และ TX-NR1030 รีซีฟเวอร์เซอร์ราวด์แอมป์ตัวล่าสุดที่มีตัวถอดรหัส Dolby Atmos!56568.. 22/9/2557 15:21
-DEll 4320 ในที่สุดความฝันก็เป็นจริง เด๊วของมา จะนำมาให้ชมครับ กว่าจะขอแม่บ้านได้แทบตายครับ ... ดีนะเธอรู้ว่าคนมันรักมันชอบ631818.. 22/9/2557 11:18
-ข้อมูลความรู้เรื่องตู้ลำโพงนั้นสำคัญไฉน.?28820ยังไม่มีคนตอบ
-ข้อมูลความรู้.ความเป็นมาและเป็นไปของเทปคาสเซท56368.. 18/9/2557 15:55
-น่าใช้รึเปล่าครับ BEN Q MW721490419.. 16/9/2557 13:16
-A-1 เครื่องเล่น Media Player รุ่นใหม่ล่าสุดจาก Egreat ที่เตรียมจะออกมาเขย่าวงการในเร็วๆนี้.30112.. 15/9/2557 21:40
-อยากให้มีการพูดถึงการใช้โนตบุคในการฉายมั่งครับ318212.. 6/9/2557 12:17
-ข้อมูลความรุ้...เจมส์ บูลโล แลนซิ่ง.ผู้ให้กำเนิดลำโพงชื่อดังคับโลกยี่ห้อ JBL28094.. 6/9/2557 0:07
-มือใหม่ครับ ขอสอบถามหน่อย29807.. 28/8/2557 20:53
-ช่วยพิจารณาด้วยครับ 32665.. 12/8/2557 16:19
-BenQ TW523P รุ่นนี้เป็นไงครับ462917.. 6/8/2557 20:41
-จอแบบจนๆๆแต่เจ๋ง80688.. 3/8/2557 17:06
เลือกหน้า
[<<] [14] [15] [16] [17] [18] [19] [20] [21] [22] [23] [24] [25] [26] [27] [28] [29] [30] [31] [32] [33] [>>]
จำนวนหัวข้อทั้งหมด 940

(ID:19095) "แม็คอินทอช" ตำนานเกริกไกรแห่งวงการเครื่องเสียง


ในอวดวงเครื่องเสียงและโฮมเธียเตอร์ หลายๆคนคงจะพอจะรู้จักเครื่องเสียงยี่ห้อ แม๊คอินทอช กันอยู่บ้าง.ในเรื่องของเครื่องเสียงอเมริกันราคาเกินเอื้อมหน้าตาโบราณแต่คุณภาพเสียงที่ได้ไม่โบราณตามหน้าตาเลย.เผอิญผมไปเจอบทความที่ให้ข้อมูลความเป็นมาของเครื่องเสียงยี่ก้อนี้ของ คุณเบญจรงค์(เจ้าเก่า)แห่งเวบเม็ดทราย.เข้า..ซึ่งผมเห็นควรว่าน่าจะพอเป็นสาระประโยชน์และเป็นข้อมูลความรู้แก่เพื่อนสมาชิกพีเพิลซีนแห่งนี้ไม่มากก็น้อย..ห็เลยขออนุญาตินไบทความของคุณเบญจรงค์ มาลงรายละเอียดเป็นข้อมูลในห้องโฮมเธียเตอร์นี้ครับ..ก็ต้องขอขอบคุณคุณเบญจรงค์เจ้าของบทความมาณ.ที่นี้ด้วยครับ.


***อาจกล่าวได้ว่ากว่า 70 %ของผู้ที่สนใจเรื่องของเครื่องเสียงทั้งในอดีตและปัจจุบัน
จะต้องคุ้นหูกับแบรนด์"แม็คอินทอช"(McIntosh) ไฮเอ็นด์ออดิโอโพรดัคส์ที่มีประวัติ
ยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ ในบ้านเรา"แม็คอินทอช"วางตัวเป็นสินค้าเกรดสูงราคาแพง
อาจดูสุดเอื้อมสำหรับนักเล่นทั่วไป(รวมทั้งผมด้วย) โชคดีอยู่หน่อยนึงที่เตี่ยของเพื่อน
อนุญาตให้ผมติดรถเข้ากทม.เพื่อไปซื้อเครื่องเสียงแถวเวิ้งนครเกษม ตอนนั้นน่าจะราว ๆ
ปีพ.ศ.2520 เป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสฟังเพลงจากเครื่อง"แม็คอินทอช"และลำโพง
"JBL"เต็ม ๆสองรูหูนานนับชั่วโมง คุณภาพเสียงมันสุดยอดมากจริง ๆ คนละเรื่องกับ
ชุดสเตอริโอที่บ้านผมมีอยู่หยั่งกะ"สีลม"กับ"คลองเตย"ยังไงยังงั้นเชียว





ผู้ให้กำเนิดตำนานแห่งสุดยอดเครื่องเสียงนี้คือ"แฟรงค์ แม็คอินทอช"
(Frank H. McIntosh) อดึตวิศวกรแห่งบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านกิจการโทรคมนาคม
"Bell Telephone"ในรัฐนิวเจอร์ซี่ ก่อนจะผันตัวเองมาเป็น"ยี่ปั๊ว"ขายเครื่องส่งวิทยุ
ให้กับบรรษัท"Graybar Corporation" ในข่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แฟรงค์ถูก
เรียกตัวให้มาเป็นหัวหน้าฝ่ายผลิตเครื่องมือสื่อสารเพื่อใช้ในกิจการทหารของสหรัฐฯ
     ต้นปีพ.ศ.2486 สงครามยังไม่ยุติ แต่แฟรงค์ก็ยังสามารถเปิดบริษัทที่ปรึกษา
ด้านการออกแบบสถานีวิทยุกระจายเสียง โดยเข้าร่วมเป็นภาคีกับสถานีCBS และยัง
ดึง"เลนเนิร์ด ไรน์"(Leonard Reinsch) ที่ปรึกษาระดับหัวกระทิของอดีตประธานาธิบดี
"แฮรี่ ทรูแมน"(Harry Truman) มาร่วมทีมด้วย งานต้นแบบของแฟรงค์ต้องการ
เครื่องขยายเสียงกำลังวัตต์สูงและความผิดเพี้ยนต่ำ แต่ไม่มีผลิตภัณฑ์ยี่ห้อใด
ในขณะนั้นตรงตามสเปคที่เค๊าต้องการ แฟรงค์รู้สึกหงุดหงิดที่กิจการขายฝันไม่เดิน
ไปตามแผน แต่อาศัยที่ตัวเองอยู่ในแวดวงวิศวกร แฟรงค์จึงชวน"กอร์ดอน โกว์"
(Gordon Gow) นักออกแบบวงจรอีเลคโทรนิคส์มือฉมังมาช่วยกันสร้างเครื่องขยาย
เสียงด้วยเทคนิคใหม่ ๆ สมัยนั้นยังใช้หลอดสูญญากาศ ซึ่งคัปปลิ้งกับหม้อแปลง
ขาออก(Output Transformer) ความผิดเพี้ยนของเสียงจะเกิดจากความไม่สมบูรณ์
ของแรงดันไฟฟ้ากับค่าเหนี่ยวนำของขดลวดหม้อแปลง แฟรงค์และกอร์ดอนต้องใช้
เวลาแก้ปัญหานี้กว่า 3 ปีจึงได้เครื่องขยายเสียงที่มีสเปคตามอุดมคติเป็นผลสำเร็จ
เมื่อปีพ.ศ.2490 ทั้งสองตั้งชื่อให้มันว่า"McIntosh 50W1" มีกำลังขับ 50 วัตต์และ
ความผิดเพี้ยนต่ำกว่า 1 % ตลอดช่วงความถึ่เสียง(20Hz - 20,000Hz) ในขณะที่
เครื่องตามท้องตลาดทั่วไปมีความผิดเพี้ยนของเสียงระดับ 5 - 10 % เลยทีเดียว





 หลังพบความสำเร็จเบื้องต้น แฟรงค์เดินหน้าต่อด้วยการย้ายสำนักงานจากนิวยอร์ค
ไปแมรี่แลนด์ เนื่องจากต้องการพื้นที่ปฎิบัติงานมากขึ้น พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น
"McIntosh Engineering Laboratory" เมื่อปีพ.ศ.2493 และแต่งตั้ง"กอร์ดอน โกว์"
คีย์แมนคนสำคัญที่ร่วมสานฝันด้วยกันมาเป็นรองประธานฝ่ายบริหาร รวมทั้งออกผลิตภัณฑ์
ตัวใหม่คือ ปรีแอมป์รุ่น AE-2 ซึ่งสามารถครองใจนักเล่นเครื่องเสียงได้ในเวลาอันรวดเร็ว
มียอดสั่งซื้อถล่มทลาย แฟรงค์ต้องจ้างพนักงานเพิ่มมากขึ้น และเพียงอีกปีถัดมาก็ย้าย
บริษัทกลับไปที่นิวยอร์คอีกครั้ง โดยเช่าตึกขนาดใหญ่ในเขตชุมชน"บิงแฮมตั้น"(Binghamton)
เพื่อใช้เป็นทั้งฐานการผลิต,ออฟฟิศ,โชว์รูมและศูนย์ซ่อม ที่นี่แฟรงค์เน้นด้านการพ้ฒนา
ผลิตภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยี่ใหม่ ๆที่คิดค้นขึ้นมาเอง โดยได้จ้าง"ซิดนี่ย์ คอร์เดอร์แมน"
(Sidney Corderman) ฉายา"ไอ้ยักษ์"บัณฑิตด้านฟิสิคส์ระดับหัวกระทิจากมหาวิทยาลัย
"แม็ทซาชูเสท"(MIT) มาเป็นรองประธานฝ่ายวิศวกรรม หลังจาก"ไอ้ยักษ์"พึ่งสำเร็จการ
ศึกษามาได้เพียงปีเดียว และทำงานอยู่กับแฟรงค์จนกระทั่งเกษียณอายุ
     การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นในปีพ.ศ.2499 เมื่อกิจการเจริญก้าวหน้าไปมาก จน
กระทั่งตึกเก่าซึ่งใช้เป็นที่ตั้งของบริษัทไม่พอรองรับการขยายตัว แฟรงค์จึงลงทุนสร้างอาคาร
ขึ้นใหม่เป็นของตัวเองบริเวณเนินเขาเตี้ย ๆใกลกับแม่น้ำ"ซัสคิวฮานน่า"(Susquehanna River)
นอกเขตดาวน์ทาวน์ในนิวยอร์ค ซึ่งมีบรรยากาศปลอดโปร่งน่าอยู่อาศัยเป็นอย่างยิ่ง
     ในช่วงที่การก่อสร้างอาคารหลังใหม่ยังไม่แล้วเสร็จ ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆภายใต้แบรนด์
"McIntosh"ก็ยังคงถูกแนะนำออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ในปีพ.ศ.2500 จูนเน่อร์ AM/FM
ตัวแรก MR55 ขึ้นโชว์รูมจำหน่ายด้วยรูปลักษณ์สุดคลาสสิค แค่เห็นภาพหน้าปัทม์ก็อยากได้
ใจจะขาดแล้ว อีกสองปีถัดมา ปรีแอมป์รุ่น C20 ก็ออกมาสร้างความสั่นสะเทือนวงการด้วย
การถูกนำไปใช้สาธิตการถ่ายทอดเสียงเฮลิคอปเตอร์,รถถัง,ปืนใหญ่ ซึ่งมีความสมจริงมาก
จนบริษัทเครื่องเสียงคู่แข่งพากันก็อปปี้วงจรอีเลคโทรนิคส์ผลิตออกมาขายสนุกมือ กระทั่ง
แม็คขยับตัวไปจดทะเบียนสิทธิบัตรแล้วนั่นแหละ ของเลียนแบบถึงได้หายไปจากท้องตลาด
ในปีพ.ศ.2503 แม็คทำชุดคิทแอมป์หลอด MK-30 ออกมาขายให้ผู้สนใจนำไปประกอบเอง
แต่เนื่องจากราคาค่อนข้างสูงจึงขายไม่ดี หลังจากวางตลาดอยู่ได้เพียงปีเดียวก็เลิกทำ
     ตั้งแต่ปีพ.ศ.2505 เป็นต้นมา กิจการภายใต้แบรนด์"McIntosh"เติบโตอย่างงดงาม แฟรงค์
ขยายโรงงานออกไปเพื่อรองรับแผนกต่าง ๆที่เพิ่มมากขึ้น ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับ"McIntosh" ตั้งแต่
การออกแบบผลิตภัณฑ์ไปจนถึงสื่อโฆษณาถูกสร้างสรรขึ้นโดยพนักงานภายในบริษัททั้งหมด
ไม่มีการจ้างเอเยนซี่ภายนอกเลย ราวปีพ.ศ.2510 อุปกรณ์ที่เป็นสารกึ่งตัวนำไฟฟ้าภายใต้ชื่อ
"ทรานซิสเตอร์"ถูกนำมาใช้แทนหลอดสูญญากาศในวงการอุตสาหกรรมมากขึ้นเรื่อย ๆ
"McIntosh"ปรับตัวด้วยการออกแอมปลิไฟเออร์ที่ใช้ทรานซิสเตอร์รุ่นแรก Mc2505 มีกำลังขับ
แชนแนลละ 50 วัตต์(8 โอห์ม) ซึ่งยังมีของมือสอง(สาม...สี่...ห้า...)ให้หาซื้อกันได้จนถึง
ทุกวันนี้ ปรัชญาการออกแบบเครื่องเสียงของ"McIntosh"ไม่ใช่แค่ให้เสียงดีเท่านั้น แต่ต้อง
ทนทาน ใช้งานได้ยาวนานหลายชั่วอายุคนอีกด้วย ถึงกับมีคำคุย...
     "If you don't buy McIntosh, You will regret it,
      maybe not today and maybe not tomorrow
      but soon, and for the rest of your life!"


ลำโพง"McIntosh" คุณภาพเสียงที่นักเลงไฮไฟไม่พยายามกล่าวถึง

      หลังจากสร้างอิเมจด้านคุณภาพเสียงระดับสุดยอดให้กับแอมปลิไฟเออร์ได้สำเร็จแล้ว
แฟรงค์มีแผนจะเอาดีด้านตลาดลำโพงอีกด้วย  ราวปีพ.ศ.2495 แฟรงค์ก่อตั้งแผนกลำโพง
พร้อมเปิดตัวรุ่นต้นแบบ F100 ลำโพงตั้งพื้นชนิดวางเข้ามุมห้อง ยิงเสียง 45 องศาสู่ตำแหน่ง
นั่งฟัง ใช้ตัวขับเสียงทุ้มขนาด 12 นิ้วถึงสี่ตัว, ตัวขับเสียงกลางขนาด 8 นิ้วหนึ่งตัว และตัวขับ
เสียงแหลมอีกสี่ตัว ทั้งหมดเป็นของยี่ห้อ"Bozak" พันธมิตรสำคัญของ"แม็คอินทอช"นั่นเอง
      F100 ตั้งราคาขายไว้คู่ละเจ็ดพันกว่าบาท สมัยนั้นต้องยอมรับว่าแพงหฤโหด ยิงโฆษณา
ผ่านทางวิทยุอยู่ราวสองสามเดือน แต่ขายได้เพียงสี่ถึงห้าคู่เท่านั้น ลูกค้าก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
มีแต่เพื่อนฝูงระดับเศรษฐีในแวดวงวิศวกรด้วยกันทั้งนั้น ซื้อเพื่อให้กำลังใจแฟรงค์
      โปรเจคท์ลำโพงถูกพับเก็บไปนานถึงสิบห้าปี และนำมาปัดฝุ่นใหม่เมื่อปีพ.ศ.2510
คราวนี้แฟรงค์เอาจริงด้วยการลงทุนสร้างห้องวิจัยด้านคลื่นเสียง พร้อมทั้งจ้างวิศวกรเก่ง ๆ
มาทำงานด้านนี้โดยเฉพาะ สมัยนั้นการสร้างลำโพงให้สามารถเปล่งเสียงได้อย่างมีคุณภาพ
ตลอดช่วงความถี่เสียงไม่ใช่เรื่องง่าย ปัญหาสำคัญอยู่ที่ตัวขับเสียง(Driver)ยังไม่สามารถ
ทำงานได้คงเส้นคงวาเพียงพอ แฟรงค์วาดฝันไปถึงการสร้างตัวขับเสียงเองด้วยซ้ำ แต่การ
หาวัตถุดิบหลาย ๆชนิดมาทำการประกอบเป็นเรื่องใหญ่ระดับภูเขาเลยทีเดียว แฟรงค์จึงต้อง
เซ็นต์สัญญาเป็นภาคีกับสถาบันวิจัย"United Speaker Systems"ในนิวเจอร์ซี่ ซึ่งมีฐานการ
ผลิตลำโพงของตัวเองอยู่แล้ว โดยทาง USS รับที่จะผลิตตัวขับเสียงให้ได้ตามสเปคที่"แม็ค
อินทอช"ต้องการ



      ทีมวิศวกรนำลำโพงที่ประกอบเสร็จแล้วไปทำการทดสอบหลายรูปแบบ จนได้ข้อมูล
ทางวิชาการซึ่งสามารถใช้อ้างอิงประกอบการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคทั่วไปได้ เรียกว่าเล่น
กันด้วยวิทยาศาสตร์ล้วน ๆ ไม่มีใครปฎิเสธเสียงของมัน แต่เรื่องดีไซน์นี่สิ...ดูไม่จืดเอาเลย
อย่างลำโพงวางหิ้งตัวเขื่องรุ่น P248-1 ที่ผลิตในปีพ.ศ.2513 ใช้ตัวขับเสียงทุ้มขนาด 12 นิ้ว,
เสียงกลาง 8 นิ้วและตัวขับเสียงแหลมแบบโดม(Dome Tweeter) ซึ่งถือว่าก้าวหน้ากว่าชาว
บ้านทั่วไป ตัวตู้ภายนอกก็พอดูได้ แต่พอดึงหน้ากาก(Grille)ออก โห...ยังกะเอาเท้าทำ! มี
การ"ป้ายสี"ลงบนกรวยดื้อ ๆเพื่อให้กระดาษส่วนที่เป็นขุยดูเรียบเนียนขึ้น แถมโดมทวีตเตอร์
ก็ดันไปติดตั้งแนวทแยง ดูขัดลูกกะตาบอกไม่ถูก แผงหน้าสำหรับยึดตัวขับเสียง(Baffle) ควร
ทาสีให้ดูเรียบร้อยกลับไม่ทำ ปล่อยให้เห็นคราบกาวและรอยขีดเขียนเลอะเทอะ บางคนบอก
ว่ามันให้"ฟีลลิ่ง"ของงานเอ็นจิเนียร์แบบดิบ ๆ แต่คนกลุ่มนี้ส่วนมากไม่ใช่ลูกค้า!



      เอเย่นต์"แม็คอินทอช"ในบ้านเราก็พยายามผลักดันลำโพงแม็คให้ติดตลาด ผมเคยไป
ฟังเค๊าเปิดโชว์เสียงอยู่บ่อย ๆโดยเฉพาะรุ่นใหญ่ ๆราคาใกล้หรือเกินแสน(บาท) ให้เสียงดี
มาก ๆดังกระหึ่มสมจริง แต่นักเล่นเครื่องเสียงในบ้านเรามักไม่เชื่อหูตัวเอง ยิ่งพวกมีเงินถุง
เงินถัง ยิ่งเชื่อโฆษณากับคอมเม้นท์ของบรรดานักวิจารณ์(รับจ้าง) พวกนี้มักซื้อแต่ยี่ห้อดัง ๆ
ยิ่งเป็นรุ่นราคาสูง "ยี่ห้อ"ยิ่งมีความสำคัญ เนื่องจากกลัวโดนพรรคพวกโห่หาว่า"เล่นไม่เป็น"
      ข้อเสียอีกประการนึงของลำโพง"แม็คอินทอช"ก็คือ ค่อนข้าง"กินวัตต์"ซักหน่อย ถ้าจะ
เล่น แอมป์ต้องมีกำลังขับอย่างน้อย 50 วัตต์ต่อแชนแนล กับตัดเรื่องความสวยงามของตัวตู้
ออกไป เท่าที่เคยฟังมา...เสียงจะออกไปทางนุ่มนวล เบสแน่น เสียงแหลมไม่พุ่งสาดมากนัก
ฟังเพลงคลาสสิคจะให้ความรู้สึกใหญ่โตของวงออเครสตร้าได้ดี เสียงคล้ายลำโพง AR รุ่นเก่า
ซึ่งไม่ค่อย"ถูกหู"พวกนักวิจารณ์เท่าไรนัก จึงไม่แปลกหากมีคอลัมน์จัดอันดับลำโพงน่าเล่น
ในวารสารต่าง ๆ มักจะไม่มีชื่อของ"แม็คอินทอช"ขึ้นทำเนียบกะเค๊าเลย......






ความเห็น

[1]


(ID:180708)


      ถึงแม้ชื่อเสียงของลำโพงจะไม่โด่งดังติดหูนักเล่นบ้านเรา แต่ที่บ้านเกิดก็พอทำตลาด
ได้บ้างโดยเฉพาะรุ่นกลาง ๆซึ่งราคาไม่โหดจนเกินไป "แม็คอินทอช"พยายามสร้างค่านิยม
ด้าน"Brand Loyalty"(ความเชื่อถือใน"ยี่ห้อ") และทำได้ผลสำเร็จอย่างงดงาม "แม็คอินทอช"
กลายเป็นความปรารถนาสูงสุดของผู้ที่สนใจเล่นเครื่องเสียง โดยเฉพาะคนในวัยทำงานและ
ผู้ใหญ่ยุคก่อนทศวรรษที่ 80 หรือ"คนชรา"ในปัจจุบันนั่นเอง
      ปีพ.ศ.2527 วงการออดิโอก้าวเข้าสู่ยุคดิจิตอล ซีดีเพลงเริ่มเข้ามาเบียดแผ่นเสียงไวนิล
แต่"แม็คอินทอช"กลับไปให้ความสนใจผลิตหัวเข็มแบบขดลวดเคลื่อนไหว(Moving Coil
Cartridges) ในขณะที่คู่แข่งหลายเจ้ากำลังจะเลิกผลิต ตลาดกะลังจะวาย...ว่างั้น ผลคือ
ขายไม่ค่อยออก แม็คกัดฟันสู้อยู่สามปีถึงรู้ว่าไม่ไหวแล้ว ก็เลยเลิกผลิตไปเมื่อปีพ.ศ.2530
      ตั้งแต่พ.ศ.2520เป็นต้นมา วงการผู้ผลิตเครื่องเสียงในอเมริกามีการแข่งขันกันมากขึ้น
แบรนด์ใหม่ ๆมาพร้อมกับเทคโนโลยี่, ดีไซน์ที่สวยงามและคุณภาพที่เชื่อถือได้ เป็นความ
พยายามทลายกำแพง"Brand Loyalty" ของนักเล่นรุ่นใหม่ การแข่งขันที่หนักหน่วงทำให้
ยอดขายรวมของ"แม็คอินทอช"ได้รับผลกระทบมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงกับมีข่าวลือว่ากิจการ
"แม็คอินทอช"กำลังจะไปไม่รอดและคนส่วนนึงก็เชื่อเช่นนั้นจริง ๆ เนื่องจากมีบทความเขียน
ลงในวารสารเครื่องเสียงฉบับนึงเมื่อปีพ.ศ.2527 ระบุว่า"แฟรงค์ แม็คอินทอช"ซึ่งเป็นประธาน
ของแม็คเสียชีวิตไปตั้งแต่ปีพ.ศ.2513 ข่าวเช่นนี้มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคซึ่ง
ยึดติดกับภาพพจน์ความเป็นผู้นำในกิจการนั้น ๆมากพอสมควรทีเดียว จน"กอร์ดอน โกว์"
รองประธานฝ่ายบริหารงานทั่วไปซึ่งทำหน้าที่แทนแฟรงค์แทบทุกอย่าง ต้องออกมาแก้ข่าว
พร้อมทั้งเชิญแฟรงค์ออกงานสังคมบ้าง เพื่อให้สาธารณชนเห็นว่ายังอยู่ดีมีสุข หลังจากเก็บ
ตัวเงียบมานานหลายปี
      จนถึงปีกลางปีพ.ศ.2532  "กอร์ดอน โกว์" คีย์แมนคนสำคัญซึ่งเป็นหน้าเป็นตาของ
"แม็คอินทอช"ในระยะหลังมานาน เสียชีวิตหลังจากนอนหลับแล้ว"ไม่ตื่น"ขึ้นมาอีกเลย อีก
หกเดือนถัดมา"แฟรงค์ แม็คอินทอช" ประธานของแม็คก็ลาโลกตาม"กอร์ดอน"เพื่อนซี้ไป
หลังจากฉลองปีใหม่พ.ศ.2533 ได้ไม่นาน การสูญเสียผู้บริหารระดับหัวแถวไปถึงสองคน
ในเวลาห่างกันไม่นานทำให้พนักงานของแม็คเกิดความหวั่นไหว มีการโหวตให้"มอร์ริส
เพนโช"(Maurice Painchaud) ผู้จัดการฝ่ายผลิตซึ่งร่วมงานกับแฟรงค์มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง
บริษัทและมีอาวุโสงานสูงสุดขึ้นนั่งตำแหน่งประธานบริหารชั่วคราว มอรริสไม่ใช่นักการตลาด
ที่เชี่ยวชาญ จึงเป็นการยากที่จะนำพาบริษัทฯให้เดินไปข้างหน้าในสภาวะที่มีการแข่งขันสูง
เช่นนี้ ที่ประชุมจึงมติให้"ขายกิจการ"โดยมีเงื่อนไขสำคัญว่า ผู้ซื้อต้องรักษาไว้ซึ่งมาตราฐาน
การผลิตและคุณภาพของสินค้า รวมถึงการจ้างงานพนักงานชุดเดิมต่อไปอีกระยะนึง....







  27 สิงหาคม พ.ศ. 2533  "Clarion"ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมผลิตวิทยุติดรถยนต์
ของญี่ปุ่น เซ็นต์สัญญาซื้อกิจการ"แม็คอินทอช"ในราคา 28.6 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ(เจ็ดร้อย
ล้านบาท) มิสเตอร์"ยูทากะ โอยามาดะ"(Mr.Yutaka Oyamada) ประธานของ"คลาเรี่ยน"
ให้คำมั่นว่าจะไม่เปลี่ยนแปลง"แม็คอินทอช"จากมาตราฐานเดิมที่เป็นอยู่ เพื่อให้พนักงาน
ของแม็คฯมีความรู้สึกมั่นคงในอาชีพ พร้อมทั้งแจกนาฬิกาข้อมือ"ไซโก้"(Seiko)เป็นของ
ที่ระลึก(ซื้อใจ)ให้กับพนักงานของแม็คฯทุกคน
       "แม็คอินทอช"ภายใต้การบริหารของ"คลาเรี่ยน"ทำตลาดได้ดีในญี่ปุ่น มีการออกแบบ
ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆออกมาอีกหลายชนิด ปลายปีพ.ศ.2534 แต่งตั้ง"รอน โฟน"(Ron Fone)
อดีตCEOของผู้ผลิตลำโพง"AR"(Acoustic Research) มานั่งตำแหน่งประธานแทนมอร์ริส
ที่จะเกษียณอายุการทำงานในอีกไม่กี่เดือนถัดมา เมื่อเข้ามารับตำแหน่งแล้ว"รอน"สั่งผ่าตัด
แผนกลำโพงครั้งใหญ่ ทำให้ทีมวิศวกรชุดเดิมไม่พอใจและอยู่ไม่ได้ ลำโพงแม็คโมเดล
หลัง ๆมีกลิ่นอายของความเป็น"ญี่ปุ่น"แทรกอยู่ในดีไซน์และเสียงอย่างเห็นได้ชัด
       "คลาเรี่ยน"ครอบครองกิจการ"แมคอินทอช"ได้ราวสิบสองปีเศษ ก็ขายต่อให้กับกลุ่ม
ธุรกิจ"D&M Holdings"ในญี่ปุ่นเมื่อปีพ.ศ.2546 ด้วยราคาที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ ปัจจุบัน
"Fine Sounds SpA" ในอิตาลีซึ่งทำธุรกิจเทคโอเว่อร์กิจการเครื่องเสียงดัง ๆมาบริหารต่อ
เป็นเจ้าของ"แมคอินทอช"รายล่าสุด(ตั้งแต่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555)...มาจนถึงทุกวันนี้.





(ID:180709)

ยี้ห้อนี้ตะก่อนผมไปนั่งฟังที่บ้านพี่รัตน์เป็นประจำ (สมัยที่ยังบ้าเครื่องเสียงก็จะหากลุ่มมานั่งคุยกันเรื่องเครื่องเสียงและฟังเพลงด้วยกันบ่อยๆครับ) แต่ผมจะชอบฟังเครื่องเสียงไฮเอ็นยี้ห้อ มาร์ค ลีวินสันมากกว่าเพราะให้เสียงได้โปร่งใสกว่าครับ (อันนี้แล้วแต่คนที่ชอบสไตล์เสียงครับ) อ๋ออีกอย่างลำโพงของแม็คยุคเก่าๆหน้าตาเหมือนกับลำโพง AR รุ่น 2A ที่พ่อผมเคยซื้อมาฟังสมัยแคมป์ฝรั่งมาตั้งที่เมืองอุดรโน่นล่ะครับ เป็นลำโพงตู้ปิดกินวัตต์ค่อนข้างเยอะและรูปร่างหน้าตาแบบดิบๆเหมือนกับทำยังไม่เสร็จแบบนี้ละครับแต่เสียงออกมาดีจริงๆ...สมัยก่อนแม็คจะดังในเรื่องของเครื่องเสียงหลอดมากๆครับ...ราคาตัวแทนจำหน่ายในบ้านเราค่อนข้างสูงเอาเรื่องเหมือนกันผมเห็นมีช่วงหนึ่งเขาจัดรายการพิเศษซื้อเครื่องเสียงแม็คแล้วพาทัวร์ดูโรงงานผลิตที่อเมริกาด้วยครับ




เลือกหน้า
[1]
จำนวนหัวข้อทั้งหมด 2

กลับขึ้นข้างบน / กลับหน้าแรก

ค้นกระดานข่าว:


ถูกเปิด: ถูกคลิ๊กแล้ว: 116951182 ตอนนี้มีผู้เข้าชม : 1 ล่าสุด :Sallycgriet , BrianerpGep , AnthonykDraib , Kristenmswony , Edwinjophorie , Stanley , RobertMIGH , ProlBlask , Robbsf , Jamesfap ,