ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ "เสี่ยเจียง" ที่เกี่ยวข้องกับโรงภาพยนตร์มงคลรามากันครับ
v
v
v
v
คนไม่ธรรมดา...
กว่าจะเป็นเสี่ยเจียง
ชีวิตของคนเราไม่มีใครรู้ว่าต่อไปเราจะก้าวไปในทางใด ดังนั้นเราจึงต้องใส่ใจและคิดอยู่เสมอๆ ว่าวันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายของเรา ในการที่จะใช้ชีวิตอยู่บนโลกอันกว้างใหญ่นี้ก็ได้
การที่เราคิดว่าวันนี้คือวันสุดท้ายของเรา เท่ากับว่าเราได้ให้กำลังใจกับตัวเองคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ และทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ดีที่สุด เพราะว่าเราจะไม่มีโอกาสได้แก้ไขในวันพรุ่งนี้ สำหรับวันพรุ่งนี้ในความคิดของหลายคน อาจจะมองว่ามันเป็นสิ่งที่จะทำให้เราได้มีโอกาสแก้ตัว แก้ไขความผิดพลาดของวันนี้ และรอคอยวันพรุ่งนี้เสมอ...
โอกาสที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ไม่มีใครรู้ว่าโอกาสจะมากระทบกับตัวเองเมื่อไร ขอให้เราได้ขวนขวายหาโอกาส เพื่อให้มันได้มากระทบกับชีวิตเราสักครั้งและนำพาเราไปยังจุดหมาย...อย่างคนไม่ธรรมดาของเราในวันนี้
คนไม่ธรรมดาของเราในวันนี้เป็นเรื่องราวของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่มีฝัน มีไฟ มีความหวังอยู่ตลอดเวลา เขาเป็นเพียงเด็กที่มีร้านหนังสือให้เช่า ไม่ใช่ซิ...เป็นเพียงหนังสือการ์ตูนธรรมดาที่ให้เช่าตามหน้าโรงภาพยนตร์ แต่โชคชะตาดันผกผันกลายมาเป็นผู้จัดการโรงภาพยนตร์ อย่างที่หลายๆ คนรู้จักในนามของ "เสี่ยเจียง" นั่นเอง
"เจียง แซ่แต้" หรือ "สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ หรือที่เราๆ ได้ยินติดหูในนามของเสี่ยเจียง ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นผู้ที่อยู่ในวงการหนังในบ้านเรา ตามที่เราๆ เห็นกันซึ่งจะว่าไปช่วงเวลาที่เสี่ยเจียงอยู่กับหนังเป็นระยะเวลาประมาณกว่า 30 ปี แทบจะเรียกได้ว่าหายใจเข้าหายใจออกก็เป็นคำว่าภาพยนตร์
เสี่ยเจียงได้เล่าถึงเรื่องราวในตอนเด็กว่าเขาเป็นเด็กในเวิ้งนครเขษม ซึ่งมีโรงหนังที่ชื่อว่านิยมไทย ตอนนั้นทำหนังสือการ์ตูนให้เช่ามีทั้งพวกดาบกายสิทธิ์ อภินิหาร ซึ่งแต่ก่อนไปซื้อเขามาเล่มละ 2.50 บาท ให้คนอ่านเช่าในราคาเล่มละ 1 สลึง ซึ่งราคาดังกล่าวก็สมัยเสี่ยเจียงอายุ 18-19 สำหรับผู้เขียนเองก็เกิดไม่ทันกับเขาหรอก แต่ถ้าเกิดทัน...นี่โอ้แม่เจ้า 1 สลึง แล้วมันเท่าไรกันละเนี่ย?...
นอกจากงานหนังสือแล้วเสี่ยเจียงยังเคยจับจิ้งหรีดขายมาก่อนอีกด้วย ราคาก็เท่ากับเช่าหนังสือเล่มหนึ่งนั่นแหละ (หลายคนอาจสงสัยแล้วมันขายได้ด้วยเหรอ...ไอ้ตัวจิ้งหรีดน่ะ) เสี่ยแกเล่าว่าขายได้ตัวละ 1 สลึง ก็ขายแล้วเอาไปกัดต่อสู้กันอย่างกับปลากัดนั่นแหละ
แหม...กัดกันอย่างสนุกสนาน (ก็เป็นเรื่องราวของวัยรุ่นสมัยก่อนเขานั่นแหละ)
จากเด็กที่ให้เช่าหนังสือการ์ตูนและขายจิ้งหรีด ก็เริ่มที่จะมองหาอนาคตตัวเองใฝ่ฝันอยากจะเป็นนายร้อยตำรวจ แต่ในสมัยนั้นโรงเรียนนายร้อยไม่อนุญาตให้คนไม่มีนามสกุลสอบเข้า ฝันที่จะได้เป็นตำรวจก็สลาย เพราะตอนนั้นยังใช้แซ่ไม่ได้ใช้นามสกุลนั่นเอง เมื่อไม่ได้เป็นตำรวจก็กะว่าจะไปทำงานเป็นนายธนาคารแต่งตัวโก้ๆ แถมงานก็สบายๆ ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย แต่ความฝันก็ต้องมลายหายสิ้นไปอีก เมื่อชีวิตมันผกผันให้กลายมาเป็นผู้จัดการโรงหนังซะก่อน...ก็โรงหนังเดิมที่เคยให้เช่าหนังสือนั่นแหละ (เวิ้งนครเขษม)
จากจุดนี้นี่เองที่ได้ชื่อว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นเจ้าของธุรกิจหนังที่มีผู้คนนับหน้าถือตา เนื่องจากเมื่อได้เข้ามาเป็นผู้จัดการโรงหนัง ชีวิตก็เริ่มเปลี่ยนไปเริ่มรู้สึกว่า ชอบในการทำงานนี้ขึ้นมา เนื่องจากมีลูกน้องที่ขึ้นกับตัวเอง แต่เป็นผู้จัดการที่เวิ้งนครเขษมได้ไม่นาน เจ้าของโรงหนังก็เกิดมีปัญหากับหุ้นส่วน ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่โรงหนังเกิดไฟไหม้ ทำให้มีปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นมามากมาย และก็เป็นจังหวะเดียวกับคุณอนุสรณ์ (เจ้าของคนเก่า) เกิดความรู้สึกท้อแท้ไม่อยากที่จะทำอีกต่อไปแล้ว จึงตัดสินใจหาเงินก้อนหนึ่งไปเช่าโรงหนังศรีนครธนอยู่ที่ตลาดพลู ซึ่งตอนนั้นมีเงินไม่กี่หมื่นบาท คิดอยู่อย่างเดียวคือทำอย่างไรก็ได้ให้สามารถอยู่ได้ ซึ่งได้หุ้นกับคุณโกวิทย์ พ่อของเสี่ยหมง คุณมงคล ตันติวงษ์ ซึ่งเมื่อก่อนเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก และแล้วคำว่ามงคลมันก็เกิดขึ้นในตอนที่ย้ายจากตลาดพลูมาอยู่ที่สะพานควายนั่นเอง (เสี่ยเจียงเล่าว่า เมื่อก่อนเสี่ยหมงเขาก็ทำหนังและก็ถือว่าเคยทำมาก่อนและเป็นเจ้าของที่ด้วย จึงได้ลองปรึกษาหารือกันจนได้ข้อสรุปว่าเอาชื่อพ่อเอ็งมาตั้งดีกว่า)
หลังจากที่ทำโรงหนังมงคลรามาแล้ว เสี่ยเจียงก็เริ่มขยายธุรกิจเพิ่มขึ้นด้วยการไปเช่าหนังจากเมเจอร์ จนกระทั่งซึมซับระบบของการค้าหนังดีแล้วจนได้ให้กำเนิด "สหมงคลฟิล์ม" นั่นเอง
ที่โรงหนังเฉลิมกรุงในตอนนั้นมีพวกค้าหนัง ขายหนัง หนังเร่ หนังกลางแปลงต่างๆ ก็ไปเช่ามาฉาย ส่วนหนังที่มาจากเมืองนอก เช่น เมเจอร์ วอร์เนอร์ บ.ฟอกซ์ บ.โคลัมเบีย เป็นหนังที่มาจากต่างประเทศ ก็ไปเช่ามาฉายในแถวๆ จังหวัดราชบุรี เพชรบุรี กาญจนบุรี นครปฐม มหาชัย ซึ่งในสมัยก่อนยังไม่มีหนังผีซีดีเถื่อนกระจายเหมือนอย่างกับในปัจจุบัน
หนังเรื่องหนึ่งเช่าประมาณ 2-3 พันบาท ได้ระยะเวลา 1 เดือน ก็ต้องนำไปฉายเพื่อทำเงินให้ได้มากๆ เนื่องจากเป็นผู้ที่ไม่เคยหยุดอยู่กับที่ เมื่อเปิดบริษัทขายหนังไปได้สักระยะหนึ่งก็คิดอยากทำหนังไทยขึ้นมา ซึ่งตอนนั้นทำบริษัทสหมงคลฟิล์ม อายุอานามก็น่าจะไม่เกิน 25 ปี มีเปิดบริษัทอยู่ที่วังบูรพาซึ่งจะว่าไปก็เหมือนๆ กับสยามแสควร์ในสมัยนี้นั่นแหละ ตอนที่คิดจะทำหนังไทยในตอนนั้นได้ให้เงินทุนกับคุณชรินทร์ นันทนาคร สร้างหนังเรื่อง "แผ่นดินแม่" พร้อมๆ กับคิดที่จะทำโรงหนังระดับ VIP ขึ้นมา
เมื่อก่อนไม่ได้ลงทุนสร้างเอง ซึ่งบริษัทอยู่ในนามของสปอนเซอร์ ได้เงินเข้าบริษัทก็ไม่ได้มากมายอะไร จากนั้นก็เริ่มขยายมาเรื่อยๆ โดยจะซื้อหนังต่างประเทศกับสร้างหนังไทย ซึ่งในตอนนั้นยิ่งขยายธุรกิจมากเท่าไรก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่า รายได้กับไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้บวกกับเป็นช่วงที่ VDO เข้ามารุกตลาดพอดี ทำให้ผลประกอบการลดลงจนเกิดภาวะขาดทุนสะสม จนมารู้ตัวเอาตอนที่ตัวเลขของหนี้วิ่งสูงขึ้นไป 7-8 ร้อยล้านบาทแล้ว
ตอนนั้นเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นหนี้สูงขนาดนั้น ก็คิดว่าคงไม่มีปัญญาหาเงินมาใช้ได้หรอก...เงินตั้งมากมาย เคยคิดฆ่าตัวตายอยู่หลายตลบแต่สุดท้ายก็มีแรงฮึด เนื่องจากหนี้ในส่วนนั้นเป็นเงินที่กู้มาจากธนาคารและทั้งหมดก็จมอยู่กับหนัง
เมื่อแรงฮึดเฮือกสุดท้ายได้เกิดขึ้น ก็ทำให้โชคเข้าข้างเสี่ยเจียงอีกครั้งด้วยการส่งเรื่อง คิงคอง เข้ามาเป็นออกซิเจนให้กับลมหายใจเฮือกสุดท้าย จนในที่สุดเขาก็ได้เหลือเงินก้อนหนึ่งเพื่อเป็นทุนในการต่ออนาคตต่อไป
จากคนธรรมดาคนหนึ่งที่ฝ่าฟันมรสุมจนทำให้อุปสรรคผ่านพ้นมาได้ และได้เดินสง่างามอยู่ในทุกวันนี้ ก็มาจากการไม่สิ้นหวัง ซึ่งหากถ้าคนเราไม่ท้อแท้สิ้นหวังโอกาสในการก้าวเดินต่อไปก็คงจะมาถึงในเวลาอันใกล้นี้ ซึ่งเราเองก็ต้องเป็นกำลังใจให้กับตัวเองให้ตัวเองมีพลัง มีความหวังที่จะอยู่ต่อไปบนโลกใบนี้เหมือนอย่างกับคนคนนี้ เสี่ยเจียง "สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ"
แหล่งข้อมูลจาก : http://www.manager.co.th/Entertainment/
ViewNews.aspx?NewsID=4547945076822&Page=2
เรียบเรียงโดย : ศิริพร กองเปง E-mail : siri_porn@fpmconsultant.com
เคยอ่านหนังสือไบโอสโคป ฉบับเดือนกันยายน ปีที่แล้ว ในฉบับนั้นก็มีบทความเกี่ยวกับ แฟลตบำเพ็ญบุญ ข้างศาลาเฉลิมกรุง จะมีรูปร้านเป็ดทอง (ร้านขายอุปกรณ์สำหรับหนังกลางแปลง) ซึ่ง บ. สหมงคลฟิล์ม ก็ตั้งอยู่ข้าง ๆ กัน ด้านซ้ายมือของภาพครับ
ตอนปี พ.ศ. 2541 อาจารย์ที่ราชภัฏชวนผมไปเป็นเพื่อน เพราะจะไปธุระอะไรซักอย่าง ที่ กทม. ทีนี้มีอยู่ช่วงหนึ่ง เกิดหิวข้าวขึ้นมากระทันหัน ก็เดินหาร้านก๋วยเตี๋ยวแก้ขัด ก็เดินออกมาจาก ที่ทำการ ปณ. แห่งหนึ่ง (ช่วยนึกหน่อยละกัน ตั้งอยู่บน ถนนพหลโยธิน ยังไม่ถึงอนุสาวรีย์ชัย ฝั่งจะไปสะพานควาย) ก่อนถึงร้านก๋วยเตี๋ยวก็จะผ่าน บ. สหมงคลฟิล์ม ตอนนั้นยังอยู่ในตึก 1 หรือ 2 คูหา ผมจำไม่ได้ซะแล้ว
ช่วงหลัง ๆ ที่เข้ามา กทม. ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (มาด้วยตนเอง) ก็เปลี่ยนไปเป็นร้านขายของที่ระลึกที่เกี่ยวกับหนังของบริษัท สหมงคล ฯ ไปแล้ว
น่าจะเป็น ปณ. รางน้ำหรือเปล่าครับ ท่านอาจารย์
ผมก็รู้สึกคับคล้ายคับครา ว่า บ.สหมงคลฯ(สมัยนั้น) จะอยู่ริมถนน น่าจะ ถ.ราชปรารภ หรือเปล่าไม่แน่ใจ(บริเวณที่กลุ่มเสื้อแดงเผารถเมล์และปะทะกับทหาร) เอาอย่างนี้ ให้ตั้งต้นตั้งแต่แยกประตูน้ำ ที่จะมุ่งหน้าไปอนุสาวรีย์ชัย ก็จะผ่านแยก ศรีอยุธยาเลยซ.รางน้ำมาหน่อยจะอยู่ซ้ายมือเป็นตึกแถว จะมัสัญลักษณ์รูปใบโพธิ์ตัวใหญ่อยู่หน้าบริษัทฯเลย ก่อนที่จะเลี้ยวซ้าย เ้ข้าอนุสาวรีย์ชัย....
ปัจจุบัน บ.สหมงคลฟิล์ม ได้ย้ายที่ทำการไปอยู่ที่ ตึก IBM ทาวเวอร์ ชั้น 9 ถ.พหลโยธิน เยื้อง ซ.อารีย์ ถ้ามาจากสวนจตุจักรก็จะเลยแยกสะพานควาย ผ่าน ธ.กสิกรไทยสาขาใหญ่(ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว) แล้วก็ผ่าน อาคารชินวัตร 1 ก็จะเห็น ตึก IBM อย่างชัดเจน ที่ทราบรายละเอียด เพราะว่าตอนทำงานที่เก่า บ.สหมงคลฯ ก็เป็นลูกค้าขอบริษัทที่ผมทำงานอยู่ด้วย(ผลิตสื่อ) (บ.พระนครฟิล์มก็เป็น ไฟว์สตาร์ก็เป็น เทคนิคคัลเลอร์ก็เป็น และพวกบริษัทหนังตึกที่ประจำประเทศไทยก็เป็นด้วย) ไปส่งแบนเนอร์หนังแต่ละครั้ง ขนไปเป็นรถกะบะ ไปคนเดียวต่างหาก ต้องหอบจากลานจอดรถ เดินไปขึ้นลิฟท์หลายรอบ ตอนกลางคืนก็ไปส่ง เพราะว่ามีระบบเข้ากะด้วย งานไหนเร่งๆ ก็ต้องไปส่งให้ทันก่อนวันรุ่งขึ้น ขอบอกว่า ประชาสัมพันธ์ บ.สหมงคลฯ น่ารักมาก ตอนนี้ไม่รู้ว่ายังอยู่หรือเปล่า ภายในจะมีบรรดาโปสเตอร์ แบนเนอร์ แฮนด์บิว และสื่อต่าง ๆ เพียบ ฟิล์มตัวอย่างก็มีเป็นลังๆ เห็นแล้วน้ำลายไหล วันหน้าถ้ามีโอกาส อยากจะชวนผู้หลักผู้ใหญ่และสมาชิกในเวปเรา ไปทัศนาจรสักหน่อยดีมั๊ย ดีไม่ดีอาจจะมีการเชื่อมโยงกันระหว่างเวปเรากับสหมงคลฯ ก็เป็นได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ถือว่าเราได้ก้าวไปอีกขั้น...เป็นแน่.....
![]() | |
ตอบ คุณกัมปนาท
บุคคลที่คุณกัมปนาทกล่าวมา ผมไม่รูจักเลยครับ เมื่อก่อนผมอยู่ บมจ. ทีมเทค เวิลด์ไวด์ แผนกแอดมิน อยู่โซนจัดส่ง เช่น งานแบนเนอร์,ไดคัท,แฮนด์บิว,งานพิมพ์สติกเกอร์สำหรับงาน Event ต่างๆ ทุกอย่างเกี่ยวกับสื่อและสิ่งพิมพ์ครบวงจร ส่วนเจ้าหน้าที่ บ.สหมงคลฯ ที่ผมไปติดต่ออยู่ประจำ เป็นผู้หญิง จำชื่อไม่ไ้ด้ แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่บุคคลที่ท่านกล่าวถึงแน่นอน ร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ.....................................
เมื่อเดือนที่แล้ว มีใบโพธิ์แห้ง ๆ ลักษณะเหมือนรูปที่ popeye โพสต์มา
ตกอยู่ที่หน้าบ้าน 1 ใบ และที่หลังบ้านอีก 1 ใบ
เจ๊หยิบขึ้นมาดู ก็เฉย ๆ แล้ววางไว้ที่เดิม (เพราะกลัวว่าจะเป็นของศักดิ์สิทธิ์)
แต่พอดูรูปที่ popeye โพสต์มา ณ ขณะนี้ ... เจ๊รู้สึกแปลก ๆ.
ใบโพธิ์ 2 ใบที่เจ๊พูดถึง ไม่มีรูปเทพนมประทับอยู่ตรงกลางใบ
เป็นแค่ใบโพธิ์แห้ง ๆ สีน้ำตาล.
เมื่อสักครู่ที่ผ่านมาได้รับข่าวเศร้าอีกแล้ว ตอนนี้ "มงคลรามา" ยุติการฉายภาพยนตร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เป็นการปิดตำนานโรงภาพยนตร์เก่าแก่ของ "เสี่ยเจียง" ไปโดยปริยาย
ปิด.....จริงๆหรือครับนี่
หรือว่าหยุดพักผ่อน...เครื่องฉายวิ่งมานาน....เหนื่อย
สงสัยโรงหนังควบชั้น 2 นี่ ถ้าไม่ฉายหนังโป๊นี่ อยู่ ไม่ได้
โรงหนังโป๊ แถววงเวียนใหญ่จริงๆ น่าปิดกว่าโรงพวกนี้อีกนะ
โรงพหลโยธินนี่ผมว่าน่าจะกลับมาฉายหนังที่หลุดจากโรงชั้น 1นะครับ
จริงๆ มงคลรามานี่ทำเลดีมากเลยนะครับ รถไฟฟ้าผ่านถึงพอดี น่าจะตบแต่งนิดนึง
ปรับทำเป็นโรงหนัง แบบ house rca เพราะที่นั่นไปยากเหลือเกิน