แม้เครื่องของพี่น้องนี่แสงแล่มจริงๆ
อดืตมันคล้ายๆ กันสำหรับเด็กบ้านนอกที่กหนังเป็นชืวิตจิตใจครับ เป็นชุดของเฮียน้อม ยิ้มเจริญครับ ของเค้า...อยู่แล้ว
ผมโชคดีที่ไม่โดนพ่อตีเพราะหนัง(แกสอนหนังสือต่างจังหวัด) เพราะแก่เป็นคนจุดประกายของคนชอบหนังตั้งแต่เด็ก ครั้งหนึ่งที่วัดของหมู่บ้านมีงานฝังลูกนิมิต ผมบอกแม่ว่าตลอดงาน 7 วันจะไม่กลับบ้านจะขออยู่ดูงานที่วัดผมเตรียมเสื่อหมอนผ้าห่มปักหลักอยู่ที่ศาลาวัดเพราะอยู่ใกล้จอหนัง(ฝนตกไม่เปียก) และที่ฝังใจคือมีร้านยิงตุ๊กตา เค้าเอาเครื่องฉายหนังเล็กมาฉายให้ดูจำได้เป็นเรื่องอ้วนผอม ไม่มีเสียงแต่เห็นเครื่องฉายแล้วเหมือนหนุ่มเจอสาวเนื้อคู่(ตอนนั้นเด็กอยู่ครับ) ดูจนพ่อมาตามกลับ แต่ขอพ่อดูจนจบ(พ่อกลับมาเยี่ยมบ้าน) หลังจากนั้น มีหนังฉายที่ไหนก็คอยตามและคอยเก็บฟิล์ม เพื่อจะไปฉายของเครื่องตัวเอง (ใช้หลอดไฟหลอดกลมเอาใส้ออกไส่น้ำก็เป็นเลนส์) เอาเทียนส่องหลังใช้ปฎิทินด้านหลังเป็นจอก็ดูได้หรือถ้าไม่กลัวร้อนก็ใช้กระจะจกส่องก็ชัดมาก ตอนนั้นบ้ามากบังคับให้หลานมาดู(ฉายในยุ้งข้าว=ทีเก็บข้าวเปลือก) หรือไม่งั้นก็เขียนจอฉายและเครื่องฉายบนพื้นดิน(สุขอยู่คนเดียว)ตอนนั้นหน่วย เสนอจิตภาพยนตร์ เป็นหน่วยในดวงใจ แต่ที่ดีใจที่สุดพ่อซื้อเครื่องฉายหนังให้(เป็นเครื่องฉายภาพนิ่ง) ใช้เลื่อนฟิล์มลง และใช้มุงที่กางนอนเป็นจอ ตอนนั้นฟิล์มขาดหมดครับเพราะ ฉายหนังไม่เคยฟิล์มขาด อายเค้าก็เลยต้องตัดให้ขาดบ้างเดี๋ยวไม่เหมือนหนังที่ฉายกัน (เด็กจริงๆ)อัอลืมไปที่ไม่เคยโดนพ่อตี แต่คนตีเป็นแม่ครับเพราะอยู่กับแม่ก็เข้าใจขอความเป็นแม่หากลูกไปเที่ยวก็ห่วงเป็นธรรมดาครับ(รู้ซึ้งตอนเป็นพ่อนี้แหละ) หลังจากนั้นมาก็เก็บความรู้สึกนั้นมาตลอด...ไปห้างก็พยายามหาดูเครื่องฉายตั้งแต่เด็กจนมาวันนึง(อายุปาไปสามสิบกว่าๆ) ถึงจอเดครื่องฉายหนัง 8มม และก็เป็นจุดเริ่มของทุกวันนี้ต้องขอบคุณ ท่าน SR ที่ทำให้รู้จักหนังมากขึ้นและแหล่งเรียนรู้ THAICINE ครับ แต่ที่เสียดายตรงที่พ่อผมไม่ได้ดูหนังของผมตอนที่มีชีวิต หวังว่าท่านคงมาดูตอนที่ฉายในวันทำบุญ 100 วันท่าน แต่ผมก็อธิฐานขอให้ท่านได้ดู ครับ ครับยังมีอีกมากมายตอนเด็กเกี่ยวกับหนังกลางแปลงของผมถ้ามีโอกาศ THAICINE พบปะกันทั่วประเทศแล้วเราจะลุกขึ้นมาเล่าให้กันฟัง อาจจะเปฌนทั้งน้ำตาปนรอยยิ้ก็ได้ครับ...
ขอเล่าต่ออีกหน่อยแล้วกันครับ อย่าหาว่าโม้นะครับ อิๆๆ เห็นว่าพี่จุกแกมีเรื่องเล่าคล้ายๆกับผม
มันเป็นเรื่องจุดประกายตั้งแต่เด็ก พ่อแกเห็นว่าผมชอบเครื่องฉายหนัง ตอนเด็ก แกเลยซื้อเครื่องฉายหนังเด็กเล่นขนาด 8 ม.ม. มาจากกรุงเทพ(ไม่รู้ว่าตอนนั้นแกไปซื้อมาจากแถวไหน เราไม่ได้ถามซะด้วยสิ) พอดีแกไปทำธุระที่กรุงเทพ เครื่องฉายหนังขนาด 8 ม.ม ไม่มีเสียง เป็นฟิล์มหนังการ์ตูนเขาแถมมาประมาณ3เมตรมั้ง ใส่ถ่านก้อนขนาดกลาง6ก้อน ผมฉายเล่นแทบทุกวันหลังจากเลิกเรียน (เรียนประถม3อยู่) การบ้านไม่สนใจทำเลย โดนดุอยู่บ่อยๆ หลังจากผมไปดูหนังกลางแปลงมา ผมจะเก็บความจำจากหนังใหญ่มาทำเลียนแบบ เอากระดาษจากสมุดวาดเขียนมาทำเป็นจอ ทำขอบจอสีดำมีเเถบสีเหลืองอยู่ตรงกลาง ตัวหนังสือก้อใช้ชื่อบริการหนังที่เราชอบ (คมสันต์ ภาพยนตร์ ตอนนั้นมาฉายบ่อยมาก)ใส่สีตัวหนังสือเลียนแบบจากหนังใหญ่ ใช้สีแสด+สีเขียวสะท้อนแสง เสร็จแล้ววันต่อมาเอาบรรทุก(เป็นรถเด็กลากเล่น)ถอดกระบะดัมพ์ออก แล้วตัดกล่องกระดาษทำเป็นหลังคาแบบรถหนัง แล้วเอาเครื่องฉายหนัง+จอกระดาษ อุปกรณ์ต่างๆ ใส่ในรถกระบะเด็กเล่น แล้วเดินลากรถไปตั้งฉายตรงนั้นที ตรงนู้นที ไปตั้งฉายที่สนามหลังบ้านบ้าง(ปัจจุบันนี้ตั้งใจจะเอาเครื่อง 35 ม.ม มาลงฉายปีใหม่นี้) เอาซี่ลวดจักรยานทำเหล็กปักจอ เอาเศษไม่หน้า3มาซอยทำเป็นตู้ลำโพง เคยถามพ่อนะ ว่าทำไงถึงจะมีเสียง พอแกเลยเอาเครื่องวิทยุ AM มาทำเป็นเครื่องขยาย (ไม่รู้ว่าแกทำได้ไง แบบว่าพ่อผมแกมีความรู้ทางอิเล็กบ้าง) แล้วเอาลำโพงฮอนมาต่อ ทำกระท่อมไว้ให้ฉายหนังอยู่ที่ริมรั้วหน้าบ้าน ตอนเย็นพอผมไปเล่นก้อจะประกาศ ให้คนที่ผ่านไปผ่านมาได้ยิน (อย่าลืมอย่าพลาด....... คืนนี้ที่นี่......) แล้วก้อฉายหนังไปพากย์ไป บางวันจะมีพี่ชายที่เป็นลูกลุงมาเล่นด้วย ยิ่งบ้าไปด้วยกันใหญ่ ผมเล่นอย่างงี้จนกระทั่งป.6 พวกพี่แกก้อว่าผมบ้าไม่เลิก โตป่านนี้ยังเล่นแบบเด็กๆอีก เครื่องฉายหนังก้อพังแล้วซ่อมจนเละ แยกเป็นชิ้นๆ เวลาพอแกจัดงานปีใหม่(แกจะจัดฉลองปีใหม่ที่บ้านทุกปี)ผมก้อจะเอาไปตั้งฉายหนังบ้าน แล้วไปชวนน้องๆหลานๆ ที่อยู่ในหมู่บ้านมาดุหนังการ์ตูนกัน เสร็จเเล้วก้อจะไปวิ่งเล่นกันบ้าง จุดประทัดเล่นกัน แต่พอผมได้รู้จักกับหน่วยหนังกลางแปลง(ตามที่ผมเคยเล่าไปแล้ว)ผมก็เลิกเล่น เพราะกลัวพี่ๆ รวมถึงพ่อแกว่า เพราะเราโตแล้ว คงเล่นแบบเด็กๆไม่ได้ บากกับเครื่องฉายหนังเด็กเล่นพังแล้ว ก้อเล้ยเลิกเล่น น้องๆที่เคยเล่นด้วยกันโตเป็นวัยรุ่นกันหมดแล้วก้อไปเที่ยวตามทางของเขา ผมก้อเลยหันไปเล่นเครื่องฉายหนังจริงๆเวลามีงาน ตามประสาคนรักหนังกลางแปลงอย่างผม ทุกวันนี้ผมยังฝันอยากมีเครื่องฉายหนังกลางแปลงเอามาฉายเวลามีงานฉลองปีใหม่เหมือนตอนเด็กๆ พ่อผมเสียไป3ปีแล้ว ตอนงานทำบุญ100วัน(ในความคิดของผมอยากมีหนังกลางแปลงมาฉายเอง)ผมเอาเครื่องฉายโปรเจคเตอร์ เลือกหนังมันส์ๆ ตลกๆ มาฉายยันสว่าง(ฉายแก้ขัดไปก่อนแล้วกันอิๆ) กะว่าพอครบ 5 ปีผมจะเอาหนังกลางแปลงมาฉายจริงๆสักที(เพราะพ่อแกเคยจัดงานทำบุญให้ย่าทุก 5 ปี ผมเลยเอาแบบอย่าง)
พอแค่นี้ก่อนนะครับ(คิดว่าคงมีคนรำคาญผมแล้ว) ผมยังมีเรื่องเล่าอีกนะ ไว้โอกาสหน้าแล้วกัน ขอบคุณพี่ๆทุกท่านมากครับที่ทนนั่งอ่าน(บทความของคนเพ้อฝันและงมงายอย่างผม) ขอบคุณพี่เจ้าของเวปมากครับที่เอื้อเฝื้อพื้นที่
สุดยอดครับงานวันนั้น