23 กันยายน พ.ศ. 2552

8 นาฬิกาเศษ คณะครูก็เริ่มออกเดินทางจาก อ. หนองบัว จ. นครสวรรค์ มุ่งหน้าสู่ จ. สุพรรณบุรี โดยแวะเที่ยวรายทาง ซึ่งจุดแรกที่แวะก่อนก็คือ

"บึงฉวาก" ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ. เดิมบางนางบวช จ. สุพรรณบุรี

สถานที่ดังกล่าวนี้ เป็นสถานที่จัดแสดงปลาน้ำจืด, ปลาทะเล และยังมีสวนสัตว์ด้วย ซึ่งน่าเสียดายที่ไปเพื่อนครูรวมทั้งผมไปเฉพาะจุดที่เป็นอาคารที่มีอุโมงค์ใต้น้ำ ได้ดูชีวิตของปลาน้ำจืด แม้ว่าสถานที่ดังกล่าวจะมีความรู้สึกคล้าย ๆ กับที่ชาวคณะ THAICINE เคยไปที่จันทบุรีเมื่อ 2 ปีก่อนครับ ก็เลยนำภาพมาฝากพอเป็นน้ำจิ้ม มีปลาไหลไฟฟ้าจัดแสดงให้ชมด้วย เมื่อไหร่ที่ปลาไหลไฟฟ้าปล่อยกระแสไฟฟ้าออกมา หลอดไฟจะกระพริบและมีเสียงออกทางลำโพงด้วย

ออกจากสวนเฉลิมภัทรราชินีแล้ว ก็เดินทางไปที่

ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง จ. สุพรรณบุรี เพื่อเข้าไปกราบนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ส่วนรูปปั้นมังกรที่เห็นอยู่นี้ ด้านล่างเป็นพิพิธภัณฑ์ที่นำเสนอเกี่ยวกับบรรพบุรุษของชาวจีน รวมทั้งการเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย ซึ่งบริเวณนี้ตัองเสียค่าชม สำหรับผู้ใหญ่ 299 บาท เด็ก 149 บาท ครับ

ออกจากศาลเจ้าพ่อหลักเมืองแล้ว ก็เดินทางมายัง วัดป่าเลไลยก์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ปรากฏในวรรณคดีเรื่องขุนช้าง ขุนแผน นั่นเอง จริง ๆ แล้ววัดนี้ผมเคยเข้ามาเมื่อปี พ.ศ. 2546 ตอนนั้นผมยังสอนอยู่ที่ อ. หนองปรือ จ. กาญจนบุรี กระทั่งวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552 ก็ได้กลับมาอีกครั้ง

ส่วนภาพประกอบนี้เป็นสถานที่จัดแสดงของเก่าที่ได้ค้นพบในบริเวณเขต จ. สุพรรณบุรี โดยอยู่บนบ้านทรงไทย บรรยากาศแบบเดียวกับที่อ่านในวรรณคดี "ขุนช้าง ขุนแผน" นั่นแหละครับ

เสร็จจากการเที่ยวชมวัดป่าเลยไลยก์แล้ว ก็เป็นเวลา 16.00 น. เศษ ก็เลยเดินทางไปโรงแรมไม้เอก ซึ่งเป็นสถานที่พัก ก่อนที่จะเริ่มมีงานเลี้ยงสังสรรค์ในช่วงค่ำ จนกระทั่ง 3 ทุ่มเศษก็แยกย้ายกันกลับที่พัก

24 กันยายน พ.ศ. 2552

หลังจากเก็บของออกจากที่พัก และรับประทานอาหารเช้าแล้ว 8.00 น. เศษ ก็ออกเดินทางไป อ. ดอนเจดีย์ จ. สุพรรณบุรี เพื่อแวะชมอนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งเป็นสถานที่ในศึกยุทธหัตถี ที่จะได้ชมในภาพยนตร์เรื่อง "ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 3" ต้นปีหน้า และยังมีภาค 4 ตามมา

สำหรับภายในเจดีย์นั้น เป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเหตุการณ์ยุทธหัตถีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช น่าติดตามครับ

ออกจาก อ. ดอนเจดีย์ ก็เลยแวะซื้อของฝากจากสุพรรณบุรี ที่นี่

"สามชุก ตลาดร้อยปี" ซึ่งตลาดนี้ก็ปรากฏในภาพยนตร์ไทยเรื่อง "สามชุก" ด้วย เข้าไปดูกันดีกว่า

v

v

เข้าไปดูข้างในแล้ว ได้บรรยากาศเหมือนตลาดสมัยก่อน มีของกิน ของใช้ รวมทั้งของที่หาดูยากมากมาย เช่นโรงแรมเก่า, พิพิธภัณฑ์จัดแสดง ฯลฯ ถ้าจะมาชมในวันจันทร์ถึงศุกร์ อาจจะผิดหวังเพราะร้านค้าจะเปิดน้อย แต่คนจะพลุกพล่านมากก็ช่วงวันหยุด เสาร์ - อาทิตย์

มาถึงสามชุกแล้ว หิวครับ... ขอแวะร้านนี้ก่อน

ร้าน "หรั่งศรีโรจน์" ร้านนี้ ขาย "ข้าวห่อใบบัว" เลยสั่งมารับประทานซะ 1 ห่อ พร้อมกับอาจาด พอกินเสร็จแล้ว ก็เดินต่อไป ไปเจอร้านขายลูกชิ้นเข้า อันนี้ไม่ใช่ลูกชิ้นทำปลอมนะครับ ของจริงเลยล่ะ แค่ลูกเดียวก็อิ่มแล้ว

เดินไปเดินมา เข้าซอยนี้ โผล่ออกซอยโน้น ก็ไปเจอร้านนี้เข้าซะ...

ร้านนี้ (ซึ่งผมจำชื่อไม่ได้) จำหน่ายของสะสมโบราณ ก็มีทั้งผลิตภัณฑ์สินค้า, ภาพโฆษณาเก่าจากหนังสือพิมพ์, แม็กเน็ตที่เป็นโฆษณาเก่า รวมทั้งใบปิดภาพยนตร์เหล่านี้ด้วย บางส่วนที่ใส่กรอบกระจกก็มี มีหลายราคาครับ

สำหรับราคาใบปิด เริ่มต้นที่ 500 บาท แทบทุกใบ ยกเว้นใบปิดภาพยนตร์เรื่อง "ปล้นข้ามโลก" ใบนี้ 650 บาทครับ ราคานี้พอ ๆ กับซื้อที่ร้านใหญ่จัดทำ แถวเฉลิมกรุงเลย

นอกจากนี้ เจ้าของร้านยังอัธยาศัยดีครับ ที่สำคัญยังอนุญาตให้ผมถ่ายภาพใบปิดหนังในร้านนี้ได้เป็นกรณีพิเศษ เพราะปกติแล้ว ทางร้านจะไม่ให้ผู้ใดถ่ายภาพเลยครับ มีผมเป็นคนแรก (และคนเดียว) ที่ได้ภาพจากร้านนี้มาฝากให้ชาวสมาชิกได้ชมกัน ใบปิดที่โชว์ในร้านนี้ถือว่ามีเพียงบางส่วน แต่ก็ยังมีมาเรื่อย ๆ ถ้าอยากจะดูแบบจุใจ ก็ต้องช่วงวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์ ที่ร้านนี้ และยังมีอีกร้านหนึ่งซึ่งอยู่ที่ด้านนอกตลาด (ซึ่งเป็นที่จอดรถสำหรับผู้ที่มาเที่ยว) ซึ่งจะเปิดเฉพาะวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์เท่านั้นครับ

เป็นอันว่าในตลาดร้อยปีสามชุกนี้ ได้แต่ซื้อของกิน ไม่ได้ซื้อของฝากกลับมาแต่อย่างใด หลังจากนั้นเวลา 11 โมง ก็เดินทางกลับนครสวรรค์โดยสวัสดิภาพ

...จบข่าว...

แหม มาใกล้ๆบ้านผมซะด้วย