เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 17 พ.ค. ที่ศาลอาญาธนบุรี พนักงานอัยการนัดหมายน.ส.สุดาวดี โกมลวิชญ์ อายุ 28 ปี จำเลยคดีพ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ซึ่งถูกตำรวจสน.บางมด จับกุมขณะนำซีดีภาพยนตร์เก่าจำนวน 10 แผ่น วางขายบริเวณตลาดโอ๋เอ๋ ให้มารับฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ หลังจากศาลชั้นต้นให้รอการกำหนดโทษ 2 ปี พร้อมทั้งให้เข้ารับคำปรึกษาที่คลินิกด้านจิตสังคม 1 ปี

 ทั้งนี้ศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษาให้มีความผิด สั่งปรับ 40,000 บาท แต่เห็นว่าจำเลยมีฐานะยากจน ต้องเลี้ยงดูบุพการี มีโรคประจำตัว และทำผิดเนื่องจากไม่รู้ข้อกฎหมายและยังศึกษาระดับอุดมศึกษา ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยรับโทษมาก่อน จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่งเหลือปรับ 20,000 บาท ต่อมาเวลา 14.30 น. พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผบ.ตร. พร้อมด้วยนายวิษณุ โกมลวิชญ์ อายุ 65 ปี และนางมาริษา อนิวรรณ อายุ 65 ปี บิดามารดาน.ส.สุดาวดีเดินทางมาที่ศาลอาญาธนบุรี พล.ต.อ.พงศพัศนำเงินส่วนตัวจ่ายค่าปรับ 20,000 บาทให้กับน.ส.สุดาวดี พร้อมทั้งให้รถตำรวจพาครอบครัวน.ส.สุดาวดีกลับไปส่งบ้าน

 พล.ต.อ.พงศพัศเปิดเผยว่า ที่ยื่นมือช่วยเหลือน.ส.สุดาวดีเพราะรู้ว่าฐานะยากจนไม่สามารถจ่ายค่าปรับได้แน่ ถ้าเป็นอย่างนั้นต้องถูกกักขังแทนค่าปรับ ตนอยากให้เลี้ยงดูบุพการีและศึกษาต่อให้จบปริญญาตรี ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาหลังเกิดเรื่องขึ้นพบประเด็นน่าสนใจที่ว่าสังคมไทยมีผู้กระทำความผิดฐานนำแผ่นซีดีและดีวีดีภาพยนตร์ไม่ว่าเก่าหรือใหม่ไปวางขายจำนวนมาก จึงอยากวิงวอนผู้เกี่ยวข้องเร่งแก้กฎหมายฉบับนี้ให้เป็นไปตามข้อเท็จจริง สำหรับผู้ทำความผิดโดยการนำแผ่นภาพยนตร์มาทำการค้าเพื่อหาเลี้ยงชีพและหาเลี้ยงครอบครัว เนื่องจากตนเชื่อว่ายังมีผู้ต้องหาทำนองนี้รอการพิพากษาจากศาลอีกจำนวนมาก

 นายวิษณุบิดาน.ส.สุดาวดีเปิดเผยว่า ลูกสาวเกิดความเครียดอย่างมากมาตลอด 2 ปี ยิ่งทราบว่าอัยการอุทธรณ์คดีก็ยิ่งเครียดหนักกว่าเดิม จนกลายเป็นผู้ป่วยต้องเข้ารับการบำบัดจิตมานาน 1 ปีแล้ว ต้องขอบคุณสภาทนายความและพล.ต.อ.พงศพัศที่ให้ความช่วยเหลือมาตลอด 2 ปี

 ขณะที่น.ส.สุดาวดีกล่าวว่า อยากขอบคุณทุกฝ่ายที่ให้ความช่วยเหลือ โดยเฉพาะพล.ต.อ.พงศพัศและสื่อมวลชน จากนี้จะตั้งใจเรียนให้จบ เนื่องจากยังคงสภาพเป็นน.ศ.ปี 3 คณะนิเทศศาสตร์ ม.สุโขทัยธรรมาธิราช