(ID:147963)
ข้อเท็จจริงที่ควรทราบประกอบการชมภาพยนตร์
กว่าจะจบสองภาคได้เลือดกระเซ็นเต็มจอเลย เช็ดๆ ออกซะก่อนนะครับ แล้วมาดูข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์กันสักนิด
ประเด็นแรก เจ้าจักรพญายม หรือ จักรโลหิต หรือ Flying Guillotine นี้ เป็นอาวุธที่มีจริงหรือไม่ ตรงนี้พอจะฟันธงได้เพียงว่า "มีจริง" แต่รูปร่างลักษณะการใช้งานและอานุภาพมันเหมือนกับที่ปรากฏในหนังหรือไม่ ในวิกิพีเดียภาษาอังกฤษเล่าเรื่องที่เป็นประวัติความเป็นมาของมันไว้เพียงนิดเดียว แล้วไปพูดเรื่องในภาพยนตร์ต่างๆ ซะเป็นส่วนใหญ่ คลิปใน Youtube ที่มีคนตัดต่อมาจากสารคดีของ National Geographic ก็พูดยากว่าเชื่อได้แค่ไหน แล้วการที่จะโยนหรือเหวี่ยงเจ้าจักรนี้ให้ไปครอบหัวคนได้นี่ก็ไม่ใช่ง่ายๆ น่าจะต้องอาศัยการฝึกฝนกันไม่ใช่น้อยๆ
แล้วมันเป็นอาวุธที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ๆ ซิงๆ ในยุคหย่งเจิ้น หรือมันมีมาก่อนอย่างไร ดูเผินๆ จากในหนังเหมือนซินคังเป็นคนคิดขึ้นมา แต่ก็อย่างที่กล่าวในตอนต้นว่าไม่เห็นแกเอาออร์เดอร์ให้ใครไปทำโปรดักส์ให้ เทียบกับในหนังทีวีเรื่องศึกสายเลือดที่ผมเคยดูเมื่อหลายปีก่อน เขาบอกว่าเป็นอาวุธของพวกลามะชั้นสูง ลักษณะเป็นเหมือนโถกลมๆ คว่ำลงที่ใหญ่พอจะครอบหัวคนได้เลยโดยไม่มีการทิ้งตาข่าย เมื่อใช้ฆ่าใครแล้วก็จะมีการจารึกชื่อเหยื่อไว้ภายในตัวจักรด้วย เรื่องการจัดตั้งหน่วยจักรพญายมหรือหน่วยหยดโลหิตก็แทบจะหาข้อเท็จจริงอะไรไม่ได้ ถ้ามันเป็นอาวุธประจำตัวของพวกลามะอย่างในหนังทีวีที่ผมเคยดู ตัวอาวุธและวิชาการใช้จักรก็คงเป็นที่หวงแหนเกินกว่าที่่จะนำมาถ่ายทอดให้คนอื่นง่ายๆ และการฝึกคงต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ อย่างในภาคแรก ไม่ใช่ฝึกกันประเดี๋ยวประด๋าวอย่างในภาคสองตอนคิดจักรพญายมเวอร์ชัน 2 ได้แล้ว และเจ้าจักรพญายมเวอร์ชัน 2 หรือจักรพญายม 2 ชั้นนี้น่าจะเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนบทเพื่อให้เนื้อเรื่องเข้มข้นขึ้นเท่านั้น
โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าจักรพญายมมีจริง แต่น่าจะใช้งานจำกัดอยู่เฉพาะพวกลามะหรือคนกลุ่มเล็กๆ ที่ต้องฝึกกันเป็นแรมเดือน ส่วนการจัดตั้งหน่วย SWAT ยุคราชวงศ์ชิงนั้น น่าจะจ้างวานคนที่ใช้เป็นอยู่แล้วมากกว่าจะหาคนมาฝึกใหม่เป็นรุ่นๆ อย่างในหนังครับ
แล้วจักรพรรดิ์หย่งเจิ้นทรงพระร้ายอะไรนักหรือ?
ประวัติศาสตร์ที่(ค่อนข้าง)เป็นทางการทั้งในตำราและในอินเตอร์เน็ตแทบจะไม่ได้กล่าวถึงความเลวร้ายอะไรของจักรพรรดิองค์นี้มากไปกว่าเรื่องที่เป็นความเชื่อที่มาจากผู้ประพันธ์นวนิยายและหนังกำลังภายในต่างๆ นั่นเอง ประเด็นที่ฮ่องเต้องค์นี้ต้องทรงตกที่ประทับของผู้ร้าย ได้แก่
ความเชื่อว่าพระองค์ทรงชิงบัลลังก์มาจากพระอนุชา คือ องค์ชายสิบสี่ โดยสมคบกับพระปิตุลาปลอมแปลงราชโองการแต่งตั้งรัชทายาทของจักรพรรดิคังซีผู้เป็นพระบิดา ประเด็นนี้ไม่ปรากฏในเรื่อง "ฤทธิ์จักรพญายม" แต่ปรากฏในหนังเรื่องอีกหลายเรื่อง ที่ดังที่สุดคงเป็นหนังทีวีเรื่อง "ศึกสายเลือด" ที่ฉายเมื่อประมาณยี่สิบกว่าปีก่อน แล้วการแก้ราชโองการที่ว่านี้ก็เพียงแค่ขโมยราชโองการมาเติมขีดเข้าไปที่ตัวอักษรจีนให้เปลี่ยนจาก "สิบสี่" เป็น "สี่" ซึ่งนักประวัติศาสตร์สมัยหลังๆ เขามีข้อโต้แย้งว่าเป็นไปไม่ได้ ในสมัยนั้นแค่หนังสือราชการธรรมดายังใช้อักษรแมนจู แล้วนับประสาอะไรกับเอกสารสำคัญขนาดราชโองการแต่งตั้งรัชทายาท รายละเอียยดเรื่องนี้หาอ่านได้ตามเว็บไซต์ทั่วไปดังที่ปรากฏในท้ายบทความครับ
อีกด้านหนึ่ง การที่ทรงเป็นฮ่องเต้องค์ต้นๆ ราชวงศ์ชิงที่พึ่งได้อำนาจจากราชวงศ์หมิงไม่นาน จึงไม่แปลกที่จะต้องทรงตกเป็นผู้ร้ายเพราะ "ขบวนการต้านชิงกู้หมิง" แต่กับรายละเอียดที่ว่า ทรงกดขี่ข่มเหงชาวฮั่นอย่างไรหรือไม่ โดยเฉพาะ "คดีเลือดที่เจียงหนาน" ที่ภาพยนตร์เรื่อง "ฤทธิ์จักรพญายม" อ้างถึงตั้งแต่ตอนต้นภาคแรกนั้น ยังหาข้อมูลไม่ได้เลยครับ มีแต่กล่าวว่าพระองค์ได้ทรงปฏิรูประบบภาษีสืบต่อจากพระจักรพรรดิคังซีอันทำให้บรรดาขุนนางและบัณฑิตทั้งหลายต้องเสียภาษีเช่นเดียวกับราษฎรทั่วไป จากการปฏิรูปภาษีและการปกครองที่เข้มงวดทำให้ขุนนางไม่พอใจ จนเกิดการใส่ร้ายว่าปลอมแปลงราชโองการ ถึงตรงนี้ผมก็ชักเอะใจเหมือนกันว่า เรื่องบทความของ 3 บัณฑิตแห่งเจียงหนานนั้น สาเหตุมีเพียงแค่ความไม่พอใจเรื่องภาษีดังที่ว่าหรือเปล่า ที่แน่ๆ คือ หนังสือ "ประวัติศาสตร์ประเทศจีน" ที่เผยแพร่โดย The Overseas Chinese Affairs Office of the State Council ได้ยกย่องว่ารัชสมัยของ "คังซี-หย่งเจิ้ง-เฉียนหลง" เป็น "ยุครุ่งเรือง" ของจีน
ส่วนการสิ้นพระชนม์ของพระองค์นั้น บรรดานิยายและหนังกำลังภายในมักกล่าวอ้างว่าทรงถูกแม่นางหลี่ซื่อเหนียงสังหาร โดยบางเรื่องอ้างว่าเธอเป็นคนรักของพระองค์และเป็นมารดาของพระจักรพรรดิเฉียนหลงด้วย ในเรื่อง "ฤทธิ์จักรพญายม" นี้ แม่นางหลี่ซื่อเหนียงกลับถูกแม่นางน่าหลันขโมยซีนในฐานะนางเอกของเรื่องไปซะ มิหนำซ้ำประวัติศาสตร์ที่เป็นทางการกลับบอกว่า ทรงสิ้นพระชนม์เพราะโปรดการเสวยยาอายุวัฒนะมากเกินไปต่างหาก ทรงครองราชย์ระหว่าง ค.ศ.1722 - 1735 (พ.ศ.2265 - 2278) เป็นเวลา 13 ปี และสวรรคตเมื่อพระชนมายุ 58 พรรษา
ในการสร้างภาพยนตร์เป็นสองภาค ผมมีข้อสังเกตเปรียบเทียบดังนี้ครับ
เรื่องของตัวอาวุธจักรพญายมหรือ Flying Guillotine นั้น ในภาคแรกจะเป็นไปดังที่บล็อกแห่งหนึ่งวิจารณ์ไว้ว่า ผู้กำกับได้พยายามให้เจ้าอาวุธนี้มีความสมจริง รวมถึงบทบู๊ต่างๆ ก็เป็นการเตะต่อยกันตามธรรมชาติมากกว่าการต่อสู้ที่โลดโผนเกินจริงแบบหนังกำลังภายในทั่วไป แต่ก็แปลกที่เจ้าของบล็อกนั้นไม่ยักพูดถึงภาพยนตร์ในภาคสองราวกับไม่เคยรู้จักหรือไม่เคยดู ซึ่งคราวนี้จะเห็นชัดว่า การแกว่งกงจักรก่อนจะขว้างออกไปนั้น ได้เปลี่ยนจากการแกว่งตามธรรมชาติมาเป็นรูปแบบที่เหมือนจะเน้นความสวยงาม คือ ตัวจักรมันลอยขึ้นไปอยู่บนหัวเจ้าของได้ยังไงก็ไม่ทราบ ตัวเจ้าของก็แกว่งโซ่อย่างเดียว และน่าสังเกตด้วยว่า ตอนเริ่มเรื่องนั้น เจ้าจักรพญายมนี้เหมือนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นอาวุธในการ "ลอบฆ่า" ทำนองเดียวกับปืนของพลซุ่มยิง (Sniper) มากกว่าจะใช้ต่อสู้แบบประจัญหน้า แต่พอสู้กันไปสู้กันมากลับเอาเจ้าจักรพญายมมาซัดกันซึ่งๆ หน้าตั้งแต่ปลายๆ ภาคแรกแล้ว และในภาคสองนี้ การต่อสู้โดยทั่วๆ ไปก็กลับมาใช้วิชาตัวเบากระโดดต่อสู้กันแบบผาดโผนเช่นเดียวกับหนังกำลังภายในทั่วไป ด้วยเหตุที่ว่าได้มีการเปลี่ยนตัวผู้กำกับนั่นเอง บทบาทผู้ร้ายของจักรพรรดิหย่งเจิ้นเองก็ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนตัวแสดงเท่านั้น ความร้ายกาจของจักรพรรดิในภาคแรกอาจจะเรียกได้ว่าเป็นความโหดร้ายในเชิงนโยบายหรือในเชิงบริหารจัดการ คือ เป็นแค่การสั่งให้หาวิธีการฆ่าจนเกิดอาวุธใหม่ สั่งให้จัดตั้งหน่วยจักรพญายม แล้วก็ส่งออร์เดอร์ไปว่าจะต้องฆ่าใครบ้าง มาในภาคสองนี้ลงมือเองตั้งแต่ตอนต้นเรื่องที่ฆ่าผู้หญิงชาวฮั่นที่ไม่มีความผิดอะไร สั่งฆ่าขุนนางที่ทำงานพลาดทีเดียว 3 คนแบบไม่ฟังคำทัดทานใครจนกระทั่งปลดพระอาจารย์ของตนเอง ตอนผู้ก่อการปลอมเป็นทูตเกาหลีก็ลงมือตอบโต้เอง จนกระทั่งตอนจบถึงขนาดใช้จักรพญายมมาใช้เป็นพระแสงต่อสู้กับเหล่าพระเอก ซึ่งตรงนี้อาจจะเกินความจริง ดังที่ผมเห็นว่าเจ้าอาวุธนี้มันต้องอาศัยการฝึกฝนเป็นเวลานานกว่าจะชำนาญ ลำพังฮ่องเต้จะมีวรยุทธฝึกอาวุธอื่นไว้รบทัพจับศึกบ้างยังว่าเป็นเรื่องปกติ แต่การจะมาฝึกใช้จักรพญายมจนชำนาญนี่ผมมองว่าเป็นการเดินเรื่องของหนังที่จะให้สิ้นพระชนม์แบบ "ดาบนั้นคืนสนอง" มากกว่า
โดยสรุปผมเห็นว่าภาพยนตร์เรื่อง ฤทธิ์จักรพญายม ทั้งสองภาคนี้ เป็นเพียงภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ที่นำอาวุธพิเศษ มาผนวกเข้ากับการต้านชิงกู้หมิงในยุคราชวงศ์ชิง และพล็อตเรื่องทำนองเพชฌฆาตกลับใจหันกลับไปสู้เจ้านายตัวเอง ซึ่งเมื่อเทียบกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์อาจจะดูไม่ค่อยเป็นธรรมกับองค์จักรพรรดิหย่งเจิ้นเท่าไหร่นัก แต่ในด้านความบันเทิงนอกจากบทบู๊ที่สนุกตามแบบหนังแอ๊คชั่นทั่วไปแล้ว การที่แต่ละฝ่ายคิดหาวิธีแก้ทางอาวุธของฝ่ายตรงข้ามก็เป็นเสน่ห์อีกอย่างของภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ
คำคมชวนคิด
- "อำนาจครองแผ่นดินได้ไม่อาจครองใจคน" 1 ใน 3 ผู้ตรวจการมณฑลทูลฮ่องเต้หย่งเจิ้นก่อนถูกนำตัวไปประหาร
เนื่องจากบทความนี้เป็นลิขสิทธิ์อัน ชอบธรรมของผู้เขียน และอาจะมีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลบ้างตามความเหมาะสม ในการนำบทความไปเผยแพร่ในเว็บไซต์อื่นๆ จึงขอความร่วมมือให้ใช้วิธีการคัดลอกเฉพาะ Link หรือ URL Address แทนการคัดลอกบทความทั้งหมด หากมีการคัดลอกไปในลักษณะแอบอ้างเป็นผู้เขียน หรือมีเจตนาอื่นใดที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อทางเว็บ iseehistory.com แล้ว จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดตามกฎหมาย
ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ : The Flying Guillotine / The Flying Guillotine II
ชื่อภาษาจีน : (ภาค 1) : Xue di zi / (ภาค 2) : Can ku da ci sha
ชื่อภาษาไทย : ฤทธิ์จักรพญายม ภาค 1-2
ผู้กำกำกับ : (ภาค 1) : Ho Meng Hua / (ภาค 2) : Ching Gong, Hua Shan
ผู้สร้าง : (ภาค 1) : Runme Shaw / (ภาค 2) : Run Run Shaw
ผู้เขียนบท : (ภาค 1) : Ni Kuang / (ภาค 2) : Ni Kuang, Ching Gong, Lee Wing Cheung
ผู้แสดง :
ภาค 1
- Chen Kuan Tai
- Ku Feng
- Wai Wang
- Kong Yeung
- Wong Yu
- Lam Wai Tiu
- Lau Ng Kei
- Norman Chu Siu Keung
- Lee Sau Kei
- Ai Ti
ภาค 2
- Ti Lung
- Shih Szu
- Lo Lieh
- Ku Feng
- Wai Wang
- Wong Chung
- Yeung Chi Hing
- Nancy Yen Nan Hsi
- Goo Man Chung
- Fan Mei Sheng