ขอถามครับ

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกับคำว่า "โปรเจคเตอร์" ก่อน

คำว่า "โปรเจคเตอร์" (ตามศัพท์ภาษาอังกฤษ คือ Projector) ถ้าเป็นคำเดียวโดดๆ จะหมายถึง เครื่องใช้ไฟฟ้าโดยทำหน้าที่ฉายแสง ผ่านภาพหรือวัสดุโปร่งแสง และเลนส์ ก่อนที่จะออกไปสู่จอ ในปริบทของภาษาพูดในภาษาอังกฤษนั้น คำว่า โปรเจคตอร์ จะกล่าวถึงเครื่องฉายที่มีอยู่ในขณะนั้น โดยไม่ต้องเรียกคำเต็ม ซึ่งเป็นภาษาเขียน ดังนี้ครับ

* เครื่องฉายภาพยนตร์ จึงเรียกว่า "ซีนี-โปรเจคเตอร์" (Cine-projector) ถ้าระบุเจาะจงด้วยขนาดฟิล์ม ต้องเอาคำที่ระบุขนาดฟิล์มขึ้นก่อนเสมอ เช่น เครื่องฉายภาพยนตร์ขนาดฟิล์ม 16 มิลลิเมตร >> 16 mm cine-projector

* เครื่องฉายสไลด์ เรียกว่า "สไลด์ โปรเจคเตอร์ (Slide Projector)

* เครื่องฉายฟิล์ม สตริป >> Film Strip Projector (ฟิล์มสตริป หลักการคล้ายกับฟิล์มสไลด์ แต่ตัดฟิล์มไม่ได้ เนื่องจากภาพอยู่แนวตั้ง 4 รูหนามเตยต่อ 1 เฟรม เหมือนฟิล์มภาพยนตร์ 35 ม.ม. ถ้าเป็นฟิล์มสไลด์ 8 รูหนามเตยต่อ  เฟรมในแนวนอน หลังจากล้างเสร็จแล้ว สามารถตัดฟิล์มใส่กรอบสไลด์ ก่อนที่จะนำไปใส่ถาดใส่ฟิล์มสไลด์ แล้วค่อยฉาย)

* เครื่องฉายภาพทึบแสง เรียกว่า "โอเปค โปรเจคเตอร์" (Opaque Projector ส่วนมากจะใช้กับวัตถุที่จับต้องไม่ได้ เช่น หิน แร่ หรือไม่ก็ตรวจลายมือนักเรียน แต่ตอนนี้ "วิฌวลไลเซอร์" Visualizer เข้ามาแทนที่เรียบร้อย มีทั้งแบบราคาแพง คือ มีแท่นวางสิ่งของที่จะฉาย กล้องจับภาพ และหลอดไฟ กับแบบราคาถูก ซึ่งมีแต่กล้องจับภาพกับหลอดไฟเท่านั้น การใช้งานก็ต่อสายออกจากอุปกรณ์นี้ไปยังโทรทัศน์ หรือวิดีโอ โปรเจคเตอร์)

* เครื่องฉายภาพข้ามศีรษะที่ใช้แผ่นใส ตามโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย ซึ่งเรียกกันติดปากอย่างย่อๆ ว่า "โอเวอร์เฮด" ก็มาจากคำนี้ Overhead Projector

* ส่วนภาพประกอบ จริงๆ แล้วควรเรียกว่า "วิดีโอ โปรเจคเตอร์" หรือ "ดิจิตอล วิดีโอ โปรเจคเตอร์" ด้วยซ้ำไป แต่เนื่องจากคำว่า "โปรเจคเตอร์" คนไทยเรียกกันติดปากมาตั้งแต่ ยุคแรกที่ยังเป็นหลอดฉายสามสี แบบ RGB ซึ่งยี่ห้อแรกที่เห็นโฆษณาทางทีวี คือ "บาร์โก้" (Barco) เมื่อปี พ.ศ. 2536 หรือ พ.ศ. 2537 ประมาณนี้

ตอนที่เห็นครั้งแรก ก็คิดวิเคราะห์แบบฟันธงไปเลยว่า มันจะถูกทดแทนเครื่องฉายภาพยนตร์ที่เป็นระบบฟิล์มแน่นอนครับ และสิ่งที่คิดวิเคราะห์ไว้ร่วม 20 ปี ก็ได้ประจักษ์ให้เห็นถึงการพัฒนาที่ไม่หยุดอยู่กับที่ และเริ่มที่จะจับต้องอย่างเป็นรูปธรรมได้ก็เมื่อประมาณ 10 กว่าปีนี่เอง

ตามหัวข้อกระทู้ที่ถาม ความจริงก็ไม่ต่างกันนัก เพราะมีหลักการเดียวกัน นั่นคือ สามารถนำเข้าและเลือกใช้สัญญาณภาพแบบไหนก็ได้ ถ้ารุ่นนั้นสามารถรองรับ ทั้งอนาล็อก (Composite สีเหลือง / Component แดง-เขียว-น้ำเงิน / S-VDO) และดิจิตอล ถ้าถามถึงความต่างก็ต้องตอบว่า อยู่ที่การออกแบบ (Design) และการนำไปใช้งาน เพราะในโรงภาพยนตร์ จำเป็นต้องใช้เครื่องที่มีเสถียรภาพกว่า เครื่องที่ใช้สำหรับการประชุมในห้องโถงขนาดใหญ่ แต่อย่างว่าทางฝ่ายวิศวกรรมของแต่ละยี่ห้อ ก็พยายามพัฒนาไปเรื่อย แต่ยังคงเว้นช่วงห่างไว้ในระดับหนึ่งครับ

ขอบคุณครับท่านอนุกุล เท่าที่ผมจับความได้ก็คงจะเปนแสงลูเมนมากกว่ากัน  และความละเอียดของภาพแนวนอนกับแนวตั้งที่มีค่าความคมห่างกันนั้นเอง  ส่วนช่องเสียบนั้นนี่ก็แล้วแต่เจ้าไหนเน้นอันไหนเปนหลักเท่านั้น เท่าที่ผมเสิทเข้าไปดูสินค้าและดูเครื่องในหลักการอันเดียวกันเลยครับใช้หลอดซีนอล ออสแล็ม 1โล  2โล  3โล  4โล เพียงแต่ต่างกันตรงที่ ลูเมนและค่าความคม แนวตั้งกับแนวนอนห่างกันราวฟ้ากับดิน อุปกรตัวเครื่องทนความร้อนเป็นเลิศ และราคาชาตินี้คงเปนหมาเห่าเครื่องบินไปตลอดชาติครับ

เหมาะกับเจ้าของโรงภาพยนตร์ในอนาคตนะครับ  BARCO และ CHISTIE 

......................ภาพทั้งหมดเสิทมาจากกูเกิ้ลครับ.....................

เห็นแล้วอยากได้...รอให้ราคาลดลงมาเหลือราคาชาวบ้านก่อนนะครับ 555