13 Tzameti (2005) หมายเลข 13 เกมสั่งตาย

13 Tzameti (2005) | หมายเลข 13 เกมสั่งตาย
13 Tzameti (หมายเลข 13 ในภาษาจอร์เจีย) หนังฝรั่งเศสปี 2005 รางวัล Jury Price จาก Sundance 2006 และชนะอีกสองรางวัลจาก เทศกาลหนัง Venice Film Festival ครั้งที่ 62 ผลงานภาพยนต์ของ ผกก. ชื่อ Gela Babluani ที่ทั้งเขียนบทด้วยตัวเอง และให้น้องชายของเขา George Babluani รับบทนำในเรื่องอีกด้วย (ประหยัดต้นทุนไม่ใช่เล่น) การที่ ผกก. เลือกที่จะใช้ฟิล์มขาว-ดำ ถ่ายภาพยนต์เรื่องนี้ ช่วยเพิ่มเสน่ห์ของหนังเป็นอย่างมาก เพราะมันให้อรรถรส ดิบเถื่อนได้มากจริงๆ (ลองดูจาก Trailer)
หนังเล่าเรื่องของ Sebastien (George Babluani ) เด็กหนุ่มวัย 22 ปีจากจอร์เจีย ที่อพยพย้ายครอบครัวมาทำงานอยู่ในประเทศฝรั่งเศส เขารับจ้างงานทำงานก่อสร้างเพื่อช่วยจุนเจือครอบครัวที่ยากจนด้วยการซ่อมหลังคาบ้านของชายชื่อ Godon ที่ดูอ่อนเปลี้ยโรยแรงเพราะติดมอร์ฟีน และกำลังถูกสอดส่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อ Godon เสียชีวิตเพราะเสพยาเกินขนาด ภรรยาม่ายของเขาไม่มีเงินจ่ายค่าจ้าง เมื่อพบซองจดหมายของ Godon ที่มีตั๋วรถไฟ วันเดินทางและข้อมูลจองโรงแรม จากที่แอบได้ยินเรื่องงานใหญ่ที่จะทำให้ได้เงินมากมายระหว่างการพูดคุยของ Godon และเพื่อนของเขา ทำให้เขารู้สึกมีหนทางที่เขาจะคว้าเงินนั่นมาชดเชยค่าแรงได้
Sebastien ไม่รู้ว่างานที่ว่าคืออะไร แต่ในเมื่อเขาไม่ได้รับค่าจ้างและต้องการเงินจุนเจือครอบครัวที่ลำบาก จึงออกเดินทางไปตามรายละเอียดที่มีในซองจดหมาย โดยการเฝ้ามองและติดตามของตำรวจ เมื่อตำรวจพลาดการตามรอยของ Sebastien เขาได้เดินทางไปถึงบ้านหลังหนึ่งที่แยกตัวโดดเดี่ยวอยู่ในป่าลึก ที่บ้านหลังนั้นเป็นบ่อนพนันของพวกอาชญากรเศรษฐี ที่เดิมพันกันด้วยชีวิตมนุษย์ เมื่อเศรษฐีคนหนึ่งที่จ้างมารู้ทันทีว่าเขาไม่ใช่ Godon และ Sebastien เองก็คิดว่าเขาไม่เหมาะกับงานนี้ แต่ในเมื่อมีกฏมรณะที่ไม่สามารถออกไปได้ เขาจึงถูกบังคับให้เข้าแข่งขันเกมเดิมพันด้วยชีวิต ( Russian roulette game) และถูกเรียกว่า หมายเลข 13 ตามลำดับการแข่งขัน
เมื่อชาย 13 คน ยืนเป็นวงกลม มีปืนลูกโม่ในมือ คนละกระบอก บรรจุลูกกระสุนใส่รังเพลิง หมุนลูกโม่ เล็งเป้าหมายไปที่หลังศรีษะของคนข้างหน้าต่อๆกัน และต้องเหนี่ยวไกปืนทันทีเมื่อเห็นหลอดไฟสัณญาณลั่นปืนสว่างขึ้น ในขณะที่พวกคนดูในห้อง ต่างยืนมองและเริ่มวางเงินเดิมพัน แทงหมายเลขที่จะรอดชีวิต และแล้วเขาก็เข้าใจจนได้ว่าเขาต้องทำอะไร ในเมื่อเขาเป็นส่วนหนึ่งของเกม ที่ผลลัพธ์มีแค่ 2 ทางเท่านั้น คือเป็นหรือตาย
รอบแรก ทุกคนได้ลูกกระสุน คนละ 1 นัด ใส่รังเพลิง ในรอบนี้ Sebastien รอดจากกระสุน และเขาเองไม่เหนี่ยวไกปืนโดยที่คนข้างหน้าเขามีกระสุนยิงอีกคนที่อยู่ข้างหน้าตาย หากลองคิดดูว่าทำไม Sebastien ถึงทำแบบนี้ หากคิดยั้งมือเพราะความไม่กล้า ก็คงจะไม่ใช่ ในเมื่อความน่าจะเป็นที่เขาจะโดนคนข้างหลังยิงตายมันถูกกำหนดไว้อยู่แล้ว แต่การยั้งมือกลับเพิ่ม ความน่าจะเป็นที่ทำให้หมายเลขที่อยู่หน้า คนข้างหน้าเขา เพิ่มโอกาสตายมากขึ้น (และเขาก็ทำสำเร็จด้วย) ทำให้เห็นกติกาว่า ถ้าหากเขาไม่เหนี่ยวไกยิงคนข้างหน้า เขาจะถูกยิงแทน และคนที่จ้างเขาก็ต้องเสียค่าปรับมหาศาล ไม่ใช่แต่ Sebastien มีบางหมายเลขที่กระทำเพื่อให้ได้ลักษณะผลแบบที่ Sebastien ทำ แต่การที่ Sebastien ดูหงอๆเหมือนใจไม่สู้และแสดงอาการหวาดกลัว ยืดเวลาเหนี่ยวไกปืนกลับยิ่งความสั่นประสาทให้กับหมายเลขที่อยู่หน้าเขาได้จนแทบสติแตก ดูๆแล้ว Sebastien ถึงแม้จะนิ่งๆ แต่เผชิญหน้ากับเกมได้อย่างฉลาด
รอบที่สอง คนที่เหลือจะได้ลูกกระสุน คนละ 2 นัด ใส่รังเพลิง คนเหลือน้อยลง กระสุนในรังเพลิงมากขึ้น ความน่าจะเป็นที่จะถูกยิงมากขึ้น รอบนี้ Sebastien รอดมาได้เพราะคนข้างหลังเขาโดนอีกหมายเลขที่อยู่ข้างหลังยิงตายก่อนที่จะเหนี่ยวไกปืนยิง Sebastien หมายเลข 6 ผู้เล่นเกมนี้และเคยเป็นผู้ชนะเกมนี้ในคราวที่แล้ว เริ่มที่จะไม่ถูกชะตากับ Sebastien หลังจากรอบนี้พวกนักพนันมองเห็นความไม่ธรรมดาของเขามากขึ้น และแทงพนันข้างเขา
ในขณะที่พวกนักพนันต่างส่งเสียงเชียร์และลุ้นกันใจจดจ่อคิดแต่จะได้เงินเพิ่มขึ้น จากผลของเกมในแต่ละรอบ พวกหมายเลขที่เหลือต่างเครียดและกดดัน [ คนดูหนังแบบผมก็จะบร้าตามเหมือนกัน] มีมอร์ฟีนแจกให้กับหมายเลขที่เหลือทุกคนเพื่อฉีดระงับประสาท
รอบที่สาม คนที่เหลือจะได้ลูกกระสุน คนละ 3 นัด ใส่รังเพลิง คราวนี้หมายเลข 6 ถือปืนจ่อหลัง Sebastien สร้างความหวาดหวั่นให้เขาอยู่ไม่น้อย ในที่สุดจาก 13 หมายเลขในรอบแรก เหลือผู้ชนะ 4 หมายเลขในรอบนี้ รวมทั้ง Sebastien แต่เรื่องราวยังไม่จบลงแค่นั้น เมื่อเขาถูกเลือก ให้ดวลในรอบสุดท้าย กับ หมายเลข 6 ซึ่งถือหางโดยพี่ชายและหวังรางวัลก้อนใหญ่นี้อย่างมาก
ในที่สุดเมื่อเขาชนะดวลในรอบสุดท้าย หมายเลข 6 ตาย เขาได้เงินส่วนแบ่ง 850,000 ยูโร และหอบเงินในกระเป๋าแอบหนีออกจากบ้านหลังนั้น เมื่อถึงในเมืองเขาแวะไปรษณีย์ และเอาเงินทั้งหมดใส่กล่องพัสดุส่งกลับไปให้พี่ชายที่บ้าน และโทรศัพท์ไปคุยกับเขา เหมือนกำลังไม่มั่นใจว่าตัวเองจะเดินทางกลับถึงบ้านโดยปลอดภัยไหม ระหว่างที่เขานั่งรอรถไฟเทียบชานชลาเพื่อกลับบ้าน ตำรวจก็เข้ามาค้นตัวและกระเป๋า เมื่อถูกตำรวจบีบคั้นอย่างหนัก Sebastien ใช้ไหวพริบและความฉลาดระหว่างโดนสอบปากคำ ว่าเขาถูกพวกนั้นจับได้ว่าเขาไม่ใช้ Godon พวกนั้นไล่ล่าเขาและวิ่งหนีมา เขาไม่มีเงินรางวัลอะไรทั้งนั้น เมื่อไร้หลักฐาน จึงถูกปล่อยตัว

ระหว่างที่เขายืนรอรถไฟกลับบ้าน พี่ชายของหมายเลข 6 ที่เสียน้องชายและชวดเงินรางวัลจากเกม เห็นเขาเข้าและยิงเขาบนรถไฟ และขโมยกระเป๋าสะพายเปล่าๆ ของ Sebastien และวิ่งหนีออกจากรถไฟ ขณะที่ Sebastien มีเลือดไหลและทรุดตัวลงบนเบาะนั่งริมหน้าต่าง ขบวนรถไฟค่อยๆเคลื่อนออกจากชานชลาอย่างช้าๆ
จากในตอนแรก คิดว่าเรื่องนี้จะคล้ายกับ 13 เกมสยอง หรือว่าเอาของบ้านเราไปรีเมค จนรู้ว่าเกมคือ Russian roulette นี่แหล่ะถึงต่างกันสิ้นเชิง เพราะถึงจะเล่นเกมเดียว แต่แรงกว่าเยอะ หนังเล่าเรื่องง่ายๆ ตรงๆ เนื้อเรื่องก็แทบไม่มีอะไรมาก ยอมรับว่าเนื้อเรื่องตอน 25 นาทีแรกชวนง่วงสุดๆ สงสัยเพราะเปิดดูก็หลังเที่ยงคืนแล้ว แต่ดีที่ภาพหนังสีขาว-ดำ ดูสวยแปลกๆ เหมือนมีอะไรให้ค้นหา เลยพอลืมตาดูได้บ้าง จนมาถึงตอนที่ตัวเอกเริ่มออกเดินทาง โดยที่ตัวเองไม่รู้ว่า พาตัวเองไปเผชิญเรื่องราวข้างหน้ากับ เกม Russian roulette นี่แหล่ะ ทำเอาหายใจไม่ทั่วท้องตาสว่างขึ้นมาทันที เคยดู Russian roulette แต่ในหนังคาวบอย ที่ไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ แต่ในเรื่องนี้ 13 หมายเลขเป็นวงกลม กับผลลัพธ์ว่าเป็นหรือตาย ความน่าจะเป็นตามหลักคณิตศาสตร์ บรรยายความรู้สึกไม่ถูกจริงๆ ต้องลองดูเอง

คนที่ยอมเข้ามาเล่นเกมนี้เห็นแล้วเป็นเหมือนพวกที่ไม่มีอะไรจะเสีย ถึงยอมเสี่ยงเอาชีวิตตัวเองมาแลกเพื่อเงินได้ขนาดนี้ ก็ยังแอบคิดอยู่ว่าถ้าตัวเอกรู้ว่าต้องมาพบอะไรแบบนี้ เขาจะยอมมาหรือไม่ แต่นี่มาแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่ แต่ที่ยอมเสี่ยงมาก็เพราะเพื่อเงิน และในที่สุดแล้วชีวิตที่อยู่นอกเกมก็กลับโหดร้ายเหมือนในเกม

บางครั้งคนเราคงรู้สึกว่าตัวเองมีค่าต่อครอบครัวมากๆ อย่างในตอนที่ Sebastien กำลังหยิบเงินทั้งหมดใส่กล่องพัสดุกลับมาบ้านนี่แหล่ะ

หนังเรื่องนี้ ถูกฮอลลีวูดนำไปรีเมคใหม่เสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยใช้ชื่อว่า 13 และเรื่องราวจะถูกดัดแปลงและแต่งเติมใหม่ให้เหมาะกับฮอลลีวูด โดยฉบับรีเมคนี้จะใช้ภาษาอังกฤษและเป็นภาพสี โดยผู้กำกับคนเดิม และจะออกฉายในเดือน กุมภาพันธ์ 2010 นี้ จะให้ความรู้สึกแตกต่างจากเดิมแค่ไหนต้องคอยติดตาม

หนังเรื่องนี้ส่วนใหญ่ออกฉายให้เรท 15+ กัน แต่ผมดูแล้วหนังมันค่อนข้างรุนแรง
และมีฉากที่ไม่ควรทำตามอย่างยิ่งเยอะเหมือนกัน ขอจัดในเรท 18+ แล้วกันเน้อ