ก่อนจะเป็นบท Apocalypse Now
เพิ่งเปิดเบื้องหลังแผ่นบลูเรย์ Apocalypse Now มีช่วงสัมภาษณ์ John Milius คนเขียนบท โดยตัวผู้กำกับ Francis Ford Coppola เป็นคนสัมภาษณ์เอง ถึงที่มาที่ไปและไอเดียในซีนสำคัญๆ ของหนัง เลยสรุปมาเขียนถึงคร่าวๆ ให้อ่านกันอีกที
-ไอเดียเริ่มต้นโดย John Milius ที่คิดระหว่างเรียนมหาลัยในวิชาเขียนบท โดยหนึ่งในเพื่อนร่วมคลาสของ Milius คือ George Lucas
-**โน้ตไว้ให้นักศึกษาอ่านเฉพาะ "ระวังคำชมเป็นยาขม" ** Milius เล่าว่าอาจารย์สอนเขียนบทดุมากๆ แกใช้วิธีให้นักเรียนไปเล่าพล๊อตให้ฟังทีละคน แล้วแกจะ ignore ใส่หรือพูดแรงๆ แบบไม่ give a shit ทันทีถ้าเรื่องมันห่วย Milius บอกว่าอาจารย์ทำแบบนั้นเพราะจงใจจำลองให้นักเรียนได้เจอ "ของจริง" ก่อนเข้าสู่วงการหนัง ที่พวกเขาจะต้องเอาบทไปขายนายทุน/สตูดิโอที่ไม่รู้เรื่องหนัง และอาจจะด่าบทสาดเสียเทเสียจนสูญสิ้นความมั่นใจไปเลย Milius บอกว่าตัวเองโดนอาจารย์คนนี้ด่าบ่อยมากๆ เพราะอาจารย์หวังกับแกไว้มาก
-Milius เล่าว่าเขาชอบหนังสือ Heart of Darkness มากๆ เคยมีช่วงชีวิตหนึ่งก่อนเข้ามหาลัย ราวๆ อายุ 17 แกไปอยู่บ้านญาติที่โคโลราโด ซึ่งแม่งมีแต่ป่า แล้วแกเอาหนังสือเล่มนี้ไปนั่งอ่านในป่า พร้อมพกปืนยาวติดตัวไปด้วยเพราะกลัวหมีป่าจะโผล่มาเล่นงานเอาตอนไหนก็ไม่รู้
-ระหว่างอ่าน Milius อินมากๆ เพราะเชื่อว่าสิ่งที่กลืนเคิร์ทซ์หายไปจนกลายเป็นอื่น ไม่ใช่ความบ้าคลั่ง แต่เป็นการกลับคืนสู่ธรรมชาติแรกสุด เคิร์ทซ์พบหนทางที่ผนวกตนเองกลายเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ดังนั้น Milius จึงเริ่มจะทำความเข้าใจการกลายเป็นส่วนหนึ่งแบบเคิร์ทซ์บ้าง ด้วยการไม่นำปืนไปจากบ้าน พกไปเพียงมีดเล่มเดียว ซักพักแกเริ่มอินถึงขั้นเอามีดปักไว้ต้นไม้ เพราะเชื่อว่าหากเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติได้ ตัวแกเองก็จะไม่ถูกธรรมชาติทำร้าย แบบเดียวกับเคิร์ทซ์ในนิยาย
-ช่วงเวลาที่ Milius เรียนมหาลัย University of Southern California School of Cinema-Television คือราวๆ 1966-1967 ซึ่งเป็นช่วงที่สงครามเวียดนามกำลังเป็นประเด็นร้อนในอเมริกา Milius บอกว่าเคยคิดจะสมัครทหารไปรบ แต่ก็รู้ตัวดีว่าไปคงตายแน่ๆ (แกพูดในทำนองว่าไม่เคยคิดอยากจะทำงานหนังด้วยซ็ำ คิดแต่จะไปเป็นทหาร แต่พอสมัครไปจริงแกกลับไม่ผ่านเกณฑ์ด้านสุขภาพ) ไอเดียนำเอา Heart of Darkness มาเล่าในฉากหลังสงครามเวียดนามจึงเกิดขึ้น
- Milius เล่าว่ายุคนั้นนักเรียนหนังสนใจทำอยู่ 2 ตำแหน่งคือ ผู้กำกับ และ ตากล้อง Milius เทียบว่าตากล้องแม่งเหมือนทหารถือปืนกล M-60 ในสนามรบนั่นแหละ เด่น เตะตา และเป็นคนบุกตะลุยก่อนเพื่อน!! ไม่มีใครอยากเป็นคนเขียนบทหรอก
-ชื่อของหนัง Apocalypse Now ถูก Milius ตั้งไว้แต่แรก ไอเดียมาจากการที่แกเห็นพวกฮิปปี้สักคำว่า Nirvana Now ไว้ตรงแขน (Milius เริ่มเขียนบทจริงๆ เอาราวปี 1975 คือหลังจาก Coppola หาทุนทำหนังได้ และประจวบเหมาะกับวัฒนธรรมฮิปปี้บูมถึงขีดสุดพอดี)
-บทร่างแรกๆ George Lucas ช่วยเขียน มีไอเดียของ Lucas อยู่ราวๆ 60 หน้าในบทร่างนี้ และแรกเริ่ม Lucas จะกำกับด้วยซ้ำ (เป็นช่วงหลังทำหนังจบ THX-138 และก่อนจะทำ American Graffiti)
-เวอร์ชั่นที่ Lucas คิดจะทำคือ ถ่ายกึ่งสารคดี บุกไปถ่ายกลางสงครามเวียดนามจริงๆ ด้วยทุนราวๆ 2 ล้านเหรียญฯ (สงครามเวียดนามยุติราวๆ ปี 1975) แรงบันดาลใจเวอร์ชั่นนี้คือหนังเรื่อง The Battle of Algiers (1966) **ซึ่งไอเดียของ Lucas นี้ถูกเอามาล้อเป็นหนังเรื่อง Tropic Thunders (2008) นั่นแหละ
-แต่ Coppola ก็แซวว่าพอ Lucas รวยจาก American Graffiti แล้วแกเลยไม่คิดอยากจะทำ Apocalypse Now อีก เพราะต้องบุกป่าฝ่าดงไปถ่ายไกลๆ และอันตราย Lucas หันไปเริ่มปั้นโปรเจคต์หนังเรื่องใหม่ที่ชื่อ Star Wars แทน
-ส่วน Coppola ก้าวเข้ามาทำหลังจากทำหนัง 3 เรื่องใน 3 ปี คือ The Godfather ภาค 1และ2 กับ The Conversation
-สำหรับ Coppola เขาตีความหนัง Apocalypse Now เป็น "หนังผจญภัยในแบบเดียวกับ Guns of Navarone" แกคิดว่าทำหนังเรื่องนี้ให้ใหญ่ๆ เพื่อให้ได้ตังเยอะๆ แล้วหลังจากนั้นแกจะได้เอาเงินไปทำหนังเล็กๆ แบบที่แกต้องการ
-เพลงของ Vagner (ฉาก Ride Of The Valkyries) และวง The Doors อยู่ในบทตั้งแต่แรก Milius เล่าว่าในสงครามอัฟกานิสถานรอบแรก (กลางยุค 90) และรอบสอง (หลังเหตุการณ์ 9/11) ทหารอเมริกันเปิดเพลงนี้ตอนนำเครื่องอาปาเช่บินออกจากฐานเหมือนในหนัง
-ฉากโต้คลื่นถูกเขียนขึ้นโดยผสมเรื่องเล่าคราวสงคราม 6 วัน ระหว่างอิสราเอลและอียิปต์ ช่วงปี 1967 โดยนายพล Ariel Sharon นำกำลังทหารอิสราเอลยึดแม่น้ำจอร์แดนได้ (และรวมถึงหลายพื้นที่ของอียิปต์ การรบครั้งนี้ยังผลให้อิสราเอลยึดเมืองเยรูซาเล็มคืนมาได้ด้วย) ทันทีที่เหยียบลงแม่น้ำนั้น Sharon สั่งให้ทหาร "ตกปลา" มากินกัน เป็นการเหยียบหน้าศัตรูถึงถิ่นแบบเดียวกับที่ผู้พันคิลเกอร์ สั่งให้ทหารของตนเล่นเซิร์ฟในแม่น้ำเวียดนาม ก่อนรุ่งเช้าจะนำคอปเตอร์ไปถล่มหมู่บ้านพวกเวียดกงด้วยระเบิดนาปาล์ม (ประโยคของคิลเกอร์ในหนังคือ Charlie don't surf)
-สะพานในหนังที่พวกพระเอกล่องเรือไปพัก เพื่อเจอฐานลอยที่พวกทหารกำลังมุงดูสาวนักเต้นจั้มบ๊ะสะบัดช่ออยู่ คือจุดแบ่งโลก 2 ใบ ระหว่างโลกแห่งความศิวิไลซ์ที่พวกพระเอกจากมา เมื่อพ้นสะพานนี้ไปแล้วพวกเขาจะหลุดสู่โลกอีกใบ โลกแห่งความป่าเถื่อนอันแท้จริง (โลกที่ผู้พันเคิร์ทซ์รออยู่สุดปลายลำน้ำ) ซีนสะพานในฉบับ Redux จะยาวกว่าและมีความเมายามากกว่าด้วย
-Coppola บอกว่าตอนถ่ายเขาไม่ได้ถือบทเข้ากองเลย เพราะจำได้ขึ้นใจทุกบรรทัด แต่แกถือหนังสือ Heart of Darkness ติดตัวแทน โดยทำไฮไลท์ฉากสำคัญๆ ในหนังสือไว้เพื่อเทียบตอนถ่ายฉากตามบทหนัง อะไรที่ตกหล่นไปจากในหนังสือ แกจะกลับมาดึงไปใช้เสมอ
-Millius บอกว่าถ้าใครเพิ่งได้ดูหนังเรื่องนี้จบ ลองกลับไปหารีวิวแรกๆ ที่เขียนถึงหนังมาอ่านดู จะพบว่าโดนนักวิจารณ์ด่ายับ Coppola เสริมว่าจริงๆ หนังเขาถูกนักวิจารณ์ด่าทุกเรื่อง แม้แต่ Godfather ภาคแรกและสองตอนออกฉายใหม่ๆ ก็โดนด่า แต่เขาก็มองว่าในความเป็นหนัง สุดท้ายพอมันถูกฉาย เข้าถึงคนดูหลากหลาย ตัวหนังมันก็หาที่ทางของมันสำเร็จ ในที่สุดก็ได้รับเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ กลบเสียงวิจารณ์ไป
- Milius สรุปท้ายในประเด็นการวิจารณ์ว่า "ถ้าริจะเป็นผู้กำกับหนัง คุณสมบัติสำคัญที่คุณต้องมีคือ อย่าท้อถอย อย่ายอมแพ้ง่ายๆ" (Never, Never Quit, Never give up) ต้องเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ แล้วทำมันซ้ำๆ ต่อไปเถอะ
- ส่วนใครอยากรู้ว่าชีวิตทั้งคู่หลังทำ Apocalypse Now จบแล้วเป็นยังไง สำหรับ Coppola ลองไปหาสารคดีเรื่อง Hearts of Darkness: A Filmmaker's Apocalypse (1991) มาดู เป็นสารคดีที่เมีย Coppola ตามถ่ายสามีระหว่างถ่ายหนังเรื่องนี้ที่ฟิลิปปินส์ บันทึกความชิบหายทุกอย่างตั้งแต่เซ็ทโดนน้ำท่วมพังไปหมด, ดารานำหัวใจวายเกือบตายคากองถ่าย, ผู้กำกับเป็นบ้าจะฆ่าตัวตาย, บ้านเอาไปจำนองเพราะหนังถ่ายลากเกือบ 2 ปี งบแหก ฯลฯ
- ส่วน Milius ก็หาสารคดีชื่อเดียวกันกับชื่อแกคือ Milius (2013) มาดูกัน ในสารคดีเล่าถึงช่วง Milius พักฟื้นจากอาการเส้นเลือดในสมองแตก ซึ่งเป็นผลทำให้แกเป็นอัมพาต พูดหรือขยับตัวไม่ได้อยู่นับปี ต้องเริ่มนับหนึ่งเรียนรู้การสื่อสารใหม่ด้วยการ "เขียน" อีกครั้ง
![]() | |
![]() |
ความเห็น |