ความเห็น |
ด้วยเหตุนี้เอง การที่มูลนิธิหนังไทย ร่วมกับครอบครัวของคุณเชิด ทรงศรี และอีกหลายหน่วยงาน-จัดฉายหนังของคุณเชิดภายใต้ชื่อ “สัปดาห์ภาพยนตร์ เชิด ทรงศรี” ในระหว่างวันที่ 21-30 กันยายน เมื่อปี พ.ศ 2550 ที่ผ่านมา ณ โรงภาพยนตร์แกรนด์ อีจีวี จึงนับเป็นความท้าทายครั้งสำคัญทั้งกับผู้จัดและผู้ชมในการพิสูจน์บทบาทของ ตัวเอง(ซึ่งจนถึงป่านนี้ คงจะรู้แล้วว่า-ผลลัพธ์เป็นอย่างไร) ขณะเดียวกัน-ก็ถือเป็นนิมิตหมายอันหาได้ยากที่ผู้ชมจะได้สัมผัสกับผลงานทรง คุณค่าถึง 5 เรื่อง ของคนทำหนังไทยชั้นครูผู้ซึ่งทำหนังที่สามารถกล่าวได้เต็มปากเต็มคำว่า ไม่มีคนทำหนังในปัจจุบันคนไหนกล้าทำอย่างนี้อีกแล้ว
อย่างที่คนที่เติบโตทันได้ดูหนังของคุณเชิดรู้กัน เอกลักษณ์อันโดดเด่นที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร-ก็คือความสามารถในการ ถ่ายทอดวิถีชีวิตของความเป็นไทยแบบพื้นบ้านที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาได้ อย่างเข้าถึงแก่นแท้และจิตวิญญาณ โดยอ้อม มันเป็นการเรียกร้องให้ผู้คนในสังคมสมัยใหม่ได้ตระหนักถึงรากเหง้าทาง วัฒนธรรมของไทยที่มักจะถูกหลงลืม และกำลังถูกวิถีชีวิตแบบตะวันตกครอบงำ และนั่นทำให้คำประกาศเจตนารมณ์ในการสร้างหนังของคุณเชิด-ที่เคยบอกในทำนอง ว่า หนังของเขาเป็นการสำแดงความเป็นไทยให้ประจักษ์ต่อชาวโลก จึงไม่ได้เป็นเพียงคำอวดอ้างที่เลื่อนลอย หากสะท้อนถึงตัวตนตลอดจนจุดยืนทางความคิดของคุณเชิดอย่างมั่นคงแน่นหนาและ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
หนังของคุณเชิดที่ได้รับการนำกลับมาฉายเพื่อหวนรำลึกและแสดงความคารวะ หลังจากที่คุณเชิดอำลาโลกใบนี้ไปได้ปีเศษๆ ได้แก่ผลงานสำคัญที่สร้างชื่อทั้งสิ้น อันได้แก่ “แผลเก่า” (2520), “เพื่อนแพง” (2526), “พลอยทะเล” (2530), “ทวิภพ” (2533) และ “อำแดงเหมือนกับนายริด” (2537) ข้อน่าสังเกตก็คือ หนังเหล่านี้ยังไม่เคยได้รับการผลิตในรูปแบบของดีวีดี. และนั่นยิ่งทำให้คุณค่าและความหมายของการถูกนำมาฉายอีกครั้ง-เพิ่มมากขึ้น หลายเท่าตัว
ไม่ว่าจะอย่างไร ในบรรดาผลงานทั้งหมดของคุณเชิดซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 18 เรื่อง ไม่มีข้อกังขาแม้แต่น้อยนิดเลยว่า เรื่องที่ถือเป็นจุดสูงสุดในอาชีพการทำหนังของคุณเชิด สร้างชื่อเสียงให้กับเขามากที่สุดทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งตราตรึงอยู่ในความทรงจำของผู้ชมอย่างไม่มีวันเสื่อมคลาย ได้แก่เรื่อง “แผลเก่า” (หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า The Scar) นั่นเอง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นด้วยความบังเอิญหรือเจตนา การกลับคืนสู่จอเงินอีกครั้งของตัวหนัง-นับเป็นวาระที่ครบรอบ 30 ปีพอดี
แต่ในขณะที่ใครๆพากันจดจำหนังเรื่อง “แผลเก่า” ในฐานะของผลงานอมตะที่ได้รับการแซ่ซ้องสรรเสริญจากทั่วทุกทิศทาง เบื้องหลังของความสำเร็จ-นับว่าระหกระเหินทีเดียว ข้อมูลจากบทความ “เชิด ทรงศรี เราจักสำแดงความเป็นไทยต่อโลก!” ที่ปรากฏอยู่ในสูจิบัตรรางวัลภาพยนตร์ไทย ประจำปี 2545 เมื่อครั้งที่คุณเชิดได้รับรางวัลเกียรติคุณแห่งความสำเร็จจากชมรมวิจารณ์ บันเทิง-ระบุว่า เขาสร้างหนังเรื่อง “แผลเก่า” อย่างชนิดที่พร้อมจะเผชิญการขาดทุน ทั้งนี้เพราะตระหนักดีว่า กระแสของตลาดหนังไทยตอนนั้น-ไม่ใช่ช่วงเวลาของหนังที่สะท้อนวิถีชีวิตแบบ โบราณ ซึ่งถูกมองว่าล้าหลังและพ้นยุคสมัย โดยเฉพาะหนังที่พระเอกขี่ควายและไม่ใส่เสื้อ และเนื้อหาที่ลงเอยด้วยความตายของพระเอกนางเอกในตอนท้ายเรื่อง
แต่เหตุผลที่คุณเชิดยังคงเดินหน้าทำ “แผลเก่า” ต่อไป-ก็เพราะเขาต้องการจะสร้างหนังที่แสดงออกถึงความเป็นไทยในสมัยที่คุณ ย่าซึ่งคุณเชิดผูกพันและเคารพรัก-ยังมีชีวิต หรือเมื่อราวๆเจ็ดสิบปีที่แล้ว และได้วางแผนการระดมงบประมาณการสร้างอย่างแยบยลด้วยการทำหนังตลกสองเรื่อง อันได้แก่ “ความรัก” (2516) กับ “พ่อไก่แจ้” (2520) เพื่อนำผลกำไรมาเป็นต้นทุน
อย่างไรก็ตาม อุปสรรคที่สำคัญ-ก็คือ หลังจากที่หนังถูกสร้างเสร็จสมบูรณ์ กลับไม่ปรากฏว่ามีผู้ค้าหนังหรือสายหนังยอมซื้อ “แผลเก่า” ไปฉาย เพราะมองไม่เห็นวี่แววว่าหนังจะคืนทุน แต่ด้วยคุณค่าของตัวผลงาน และวิสัยทัศน์อันแหลมคมของผู้ชม กลายเป็นว่าการคาดคะเนของบรรดาสายหนัง-ผิดพลาดอย่างร้ายแรง เพราะหลังจากที่ “แผลเก่า” ได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์พร้อมกันถึงหกโรงในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2520 กระแสตอบรับ-เป็นไปอย่างอึกทึกครึกโครม นอกจากตัวหนังจะสามารถยืนระยะการฉายเป็นเวลายาวนานหลายเดือน ตัวเลขรายได้ยังพุ่งขึ้นไปถึง 13 ล้านบาท (ในช่วงที่ราคาตั๋วหนังอยู่ราวๆ 15-30 บาท) ซึ่งเป็นสถิติที่สูงที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีหนังเรื่องไหนไม่ว่าของไทยหรือ เทศ-เคยทำได้มาก่อน...
ในแง่ของผลรางวัลและคำชื่นชม “แผลเก่า” ได้รับรางวัลชนะเลิศ (กรังด์ปรีซ์) จากการประกวดภาพยนตร์ในงาน Festival des 3 Continents ที่เมืองนองต์ ประเทศฝรั่งเศส เมื่อปี 2524 รวมทั้งอีกสามรางวัลตุ๊กตาทองของสมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิง แต่ดัชนีที่อาจใช้บ่งชี้ถึงความคงทนถาวรต่อการพิสูจน์ด้วยกาลเวลา-ก็คือการ ที่หนังไม่เคยถูกลืม และยังคงได้รับการนำกลับมาฉายซ้ำเป็นครั้งคราว เหนืออื่นใด ในปี 2536 หลังจากการออกฉายของหนังเรื่อง “แผลเก่า” ผ่านพ้นไป 16 ปี นิตยสาร “ฟิล์มวิว” เคยสำรวจความคิดเห็นของบุคคลในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย และนักวิจารณ์รวมทั้งสิ้น 49 คน (อาทิ หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล, ยุทธนา มุกดาสนิท, บัณฑิต ฤทธิ์ถกล ฯลฯ) เกี่ยวกับหนังไทยที่บุคคลเหล่านี้คิดว่าดีที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างกันมา ผลปรากฏว่า “แผลเก่า” เป็นหนังที่ได้รับเลือกให้อยู่ในอันดับที่สอง และเป็นรองเพียงแค่ “ทองพูน โคกโพ ราษฎรเต็มขั้น” ของท่านมุ้ยเพียงเรื่องเดียว
กล่าวสำหรับคุณภาพของฟิล์มที่ถูกนำกลับมาฉายคราวนี้-ต้องถือว่าอยู่ใน สภาพที่ค่อนข้างดี และโครงสีหลักๆก็ยังอยู่ครบครัน รวมทั้งระบบเสียงก็ถือได้ว่าแจ่มชัด แต่ที่นับว่าน่าทึ่งไปกว่านั้นก็คือ ในแง่ของเนื้อหาและกลวิธีการนำเสนอ “แผลเก่า” ของคุณเชิดยังคงสามารถสร้างความสนุกสนานบันเทิง และแน่นอนที่สุด ความสะเทือนอารมณ์ให้กับผู้ชมในสามสิบปีให้หลังได้ไม่แตกต่างจากครั้งแรกที่ ออกฉายเลย
ฉากหลังของหนังเรื่อง “แผลเก่า” ได้แก่ทุ่งบางกะปิ ชานเมืองพระนครในช่วงราวๆพุทธศักราช 2479 หรือตรงกับยุคสมัยของรัชกาลที่ 8 (ข้อน่าสังเกตก็คือ มันเป็นปีที่นิยาย “แผลเก่า”ของไม้ เมืองเดิมได้รับการตีพิมพ์ ซึ่งหมายความว่า ในมุมมองของผู้เขียน นี่คือเรื่องร่วมสมัย ไม่ใช่การย้อนอดีตแต่หนหลัง) ขณะที่เค้าโครงเรื่องก็เป็นอย่างที่หลายคนคงมองเห็นว่า น่าจะได้รับอิทธิพลไม่มากก็น้อยจากบทละครเรื่อง Romeo and Juliet ของวิลเลี่ยม เช็คสเปียร์ เนื่องจากมีความละม้ายคล้ายคลึงในหลายส่วนด้วยกัน ตั้งแต่พล็อตหลักที่เกี่ยวข้องกับความรักท่ามกลางความชิงชังเคียดแค้นของสอง ตระกูล ไปจนถึงส่วนปลีกย่อย อาทิ การแนะนำตัวละครเอกทั้งสองคนในงานเต้นรำ (ในกรณีของ “แผลเก่า” ก็คืองานรำวง), การลักลอบได้เสียกัน(ดังจะเห็นได้จากในฉากสุดท้าย ทั้งเรียมและขวัญเรียกกันและกันว่าผัว-เมีย), ความเข้าใจผิด-ซึ่งนำไปสู่เหตุโศกนาฏกรรม และบทสรุปในตอนท้ายที่จบลงด้วยการที่ฝ่ายหญิงปลิดชีวิตตามคนรักของนาง
อย่างไรก็ตาม บทประพันธ์ “แผลเก่า” ของไม้ เมืองเดิมก็ไม่ได้ถูกล่ามไว้กับบทละครของเช็คสเปียร์ จนสูญเสียความเป็นตัวเอง ในทางกลับกัน โครงเรื่องดังกล่าวกลับถูกใช้เป็นช่องทางในการถ่ายทอดวิถีชีวิตแบบไทย ลูกทุ่ง ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อและความศรัทธาของตัวละครได้อย่างน่าอัศจรรย์ และนั่นยังไม่ต้องเอ่ยถึงการสอดแทรกทัศนคติของผู้เขียน-ต่อหลายๆเรื่องราว ตั้งแต่วิถีของความเป็นลูกผู้ชาย, การเทิดทูนบูชาความรักเหนือกว่าเงินทอง ไปจนถึงความเหลื่อมล้ำต่ำสูงระหว่างสังคมชนบทกับสังคมเมือง, การใช้ชีวิตอย่างตะวันตกที่ทีละน้อย มันหล่อหลอมให้ตัวละครหลงลืมกำพืดของตัวเอง...
ไม่ว่าใครก็ตามที่เคยได้อ่านนิยายเรื่อง “แผลเก่า” จะวาดภาพของ
’ไอ้ขวัญ’ กับ ’อีเรียม’ ไว้ในมโนทัศน์อย่างไร
อย่างหนึ่งที่ไม่มีทางที่ใครจะปฏิเสธได้เลยก็คือ การคัดเลือกคุณสรพงษ์
ชาตรีและคุณนันทนา
เงากระจ่างสำหรับบทดังกล่าว-ถือเป็นสุดยอดของความเหมาะเจาะลงตัวทั้งในแง่
ของบุคลิกลักษณะของนักแสดงและรูปโฉมโนมพรรณ
และด้วยฝีไม้ลายมือในทางการแสดงของทั้งสองคน-ก็ยิ่งช่วยบันดาลให้ขวัญกับ
เรียมไม่เพียงเป็นตัวละครที่มีเลือดมีเนื้อขึ้นมา
หากผู้ชมยังรักใคร่เอ็นดูและห่วงใยผูกพัน
แต่กล่าวอย่างถี่ถ้วน
นั่นก็ยังไม่ใช่เงื่อนไขเดียวที่สร้างความประทับใจให้กับผู้ชม
และองค์ประกอบในส่วนบทภาพยนตร์ (“รพีพร” และธม ธาตรี)
กับงานด้านกำกับ-ก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการพัฒนาตัวละครทั้งสองอย่าง
พิถีพิถันและรัดกุม
ในตอนเปิดเรื่อง
หนังให้เห็นว่าขวัญกับเรียมไม่ได้เริ่มต้นในฐานะคนที่ชอบพอกัน ตรงกันข้าม
กลับจะเกลียดชังกันและกัน-ตามความขัดแย้งดั้งเดิมระหว่างผู้เป็นพ่อของคน
ทั้งสอง ซึ่งส่วนหนึ่งเกี่ยวพันกับการที่กำนันเรือง (สุวิน สว่างรัตน์)
กับผู้ใหญ่เขียน (ส.อาสนจินดา)
พิพาทบาดหมางกันเรื่องที่ฝ่ายแรกบุกรุกที่นาและแพ้ความ
ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งที่ไม่มีอยู่ในตัวนิยายก็คือการที่กำนันเรืองกับผู้ใหญ่
เขียนหลงรักผู้หญิงคนเดียวกัน อันได้แก่แม่เริ่ม (ศิรินทิพย์ ศิริวรรณ ที่แสดงได้อย่างยอดเยี่ยม)
ผู้ซึ่งลงเอยด้วยการเลือกอยู่กินกับกำนันเรือง
ทว่าไม่ใช่ด้วยเหตุผลของความรัก แต่เป็นเรื่องของเงิน และในเวลาต่อมา
นางก็ยอมรับว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งร้ายแรง
และนางต้องใช้ชีวิตในสภาพที่ไม่แตกต่างจากการ ‘ตกนรกทั้งเป็น’
แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่า บทของแม่เริ่มซึ่งไม่มีความสลักสำคัญในฉบับนิยาย
(อันที่จริง ตัวละครนี้ไม่มีทั้งชื่อให้เรียกและบทพูด)
ถูกขยายให้ใหญ่โตขึ้นมา-ก็เพื่อให้ผู้ชมและบางที รวมถึงเรียมได้ตระหนักว่า
ผลลัพธ์ของการปฏิเสธความรัก
และเลือกความสุขสบายในทางวัตถุ-มันทุกข์ทรมานเพียงใด
ทว่ายิ่งเวลาผ่านไป ลักษณะทีเล่นทีจริงในพฤติกรรมของตัวละครก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ และในที่สุด ทั้งขวัญกับเรียมก็พากันมาถึงจุดที่ต้องช่วยกันครุ่นคิดว่าจะจัดการกับ อุปสรรคที่ขัดขวางความรักของทั้งสอง-อย่างไร และเพื่อตอกย้ำให้ผู้ชมได้ตระหนักถึงความคอขาดบาดตายของเหตุการณ์ที่เฝ้าคอยรูปแบบการเล่าเรื่องก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน
แจ้งชัดที่สุดได้แก่การตัดต่อที่ในช่วงก่อนหน้านี้-เน้นการรักษาความต่อเนื่อง หรือที่เรียกว่าcontinuity editing และการเปลี่ยนภาพ-ก็เป็นไปตามเหตุและผลของเวลา, สถานที่และเรื่องราว แต่ในฉากที่เรียมปรับทุกข์กับขวัญบริเวณชายคลองตอนกลางวัน-ทำนองว่า นางไม่รู้ว่าเรื่องจะลงเอยอย่างไร-ถ้าพ่อกับพี่ชายล่วงรู้เรื่องของคนทั้งสองเข้า ทันใดนั้นเอง หนังก็ใช้การตัดภาพแบบ dynamic cut (ที่เรียกร้องความสนใจในตัวมันเอง) ไปบนเวทีลิเกตอนกลางคืน และต่อเชื่อมประโยคที่เรียมเอ่ยค้างไว้ผ่านคำพูดของนักแสดงบนเวที อย่างได้ใจความสรุปได้ว่า เรื่องก็คงจะบานปลายถึงขั้นฆ่าแกงกัน
กล่าวในที่สุดแล้ว ในขณะที่หนังเรื่อง “แผลเก่า” ของคุณเชิด-มักจะถูกนึกถึงในฐานะอนุสรณ์ความรักอันซาบซึ้งตราตรึงของขวัญกับ เรียม แต่อย่างหนึ่งที่ถูกสอดแทรกไว้อย่างมีนัยสำคัญ-ก็คือด้านที่เลวร้ายและ อัปลักษณ์ของระบบทุนนิยม, วัตถุนิยมและวิถีชีวิตสมัยใหม่ของสังคมเมือง แม่เริ่มเป็นคนแรกที่เดินไปติดกับดักของเงินตรา และต้องลงเอยด้วยการตรอมใจตาย ถัดมาได้แก่กำนันเรืองที่นำที่นาไปจำนองไว้กับคุณนายทองคำ (สุพรรณ บูรณะพิมพ์) ที่บางกอกและนำเงินไปกินเหล้าและเล่นการพนัน จนในที่สุด ไม่มีปัญญาชดใช้หนี้สินที่พอกพูนและต้องเลือกวิธีขายลูกสาวให้ไปเป็นทาสคุณ นาย นั่นยังไม่ต้องเอ่ยถึงจ้อยที่อาศัยความได้เปรียบในฐานะทางเศรษฐกิจ-เป็น เล่ห์เหลี่ยมเพื่อให้ตัวเองได้ในสิ่งที่ต้องการ
หรือถ้าจะแจกแจงให้ครบถ้วนจริงๆ แม้กระทั่งตัวเรียมก็ไม่ได้วิเศษไปกว่าใคร เพราะผู้ชมได้เห็นว่าหลังจากเข้าไปอยู่พระนครได้สามปี หญิงสาวก็เปลี่ยนไปเกือบจะเป็นคนละคน คำที่เรียมเรียกขวัญว่า ‘นายขวัญ’ ในตอนที่พบกันครั้งหลัง-บอกถึงการยกฐานะทางชนชั้นของตัวเองเหนือกว่าหนุ่ม บ้านนอกโดยปริยาย รวมทั้งน้ำเสียงและคำพูดคำจา-ก็ยังแฝงไว้ด้วยท่าทีดูถูกเหยียดหยามในที แต่ก็ยังนับว่าทั้งคนเขียนเรื่องและคนทำหนังให้ความเมตตาปรานีกับตัวละครและ ผู้ชมตรงที่ในที่สุดแล้ว ก็เปิดโอกาสให้เรียมได้สติและตระหนักในคำสั่งเสียของผู้เป็นแม่ก่อนตายที่ บอกว่า ถ้าหากจะนางต้องเลือกระหว่างความรักกับเงินตรา ก็จงเลือกความรัก
นั่นส่งผลให้การที่เรียมกระโจนเข้าไปสู่ความตายในตอนท้าย-ไม่ใช่ความพ่าย แพ้หรือการยอมจำนนต่อโชคชะตาของตัวละคร หากเป็นการประกาศชัยชนะของความรักเหนืออำนาจเย้ายวนของทรัพย์สินเงินทอง และวิถีชีวิตในแบบวัตถุนิยม
“แผลเก่า” (2520)
กำกับ, อำนวยการสร้าง-เชิด ทรงศรี/บทภาพยนตร์-รพีพร, ธม ธาตรี จากบทประพันธ์ของไม้ เมืองเดิม/ถ่ายภาพ-กวี เกียรตินันท์, โสภณ เจนพานิช, สุทัศน์ บุรีภักดี, สมชัย ลีลานุรักษ์/กำกับศิลป์-อุไร ศิริสมบัติ/ดนตรี ประกอบ-เสรี หวังในธรรม/ผู้แสดง-สรพงษ์ ชาตรี, นันทนา เงากระจ่าง, ส.อาสนาจินดา, สุพรรณ บูรณะพิมพ์, เศรษฐา ศิระฉายา, ศรินทิพย์ ศิริวรรณ, สุวิน สว่างรัตน์, กิตติ ดัสกร, ชลิต เฟื่องอารมย์/สี/จัดจำหน่ายโดยสหมงคลฟิล์ม/ความยาว 130 นาที
เรื่องย่อ
ณ ท้องทุ่งบางกะปิ
ไอ้ขวัญลูกผู้ใหญ่เขียน หนุ่มเลือดนักเลงรูปงาม มีเพื่อนสนิท คือ
ไอ้เฉ่ง ไอ้เยื้อน ไอ้สมิง ไอ้เปีย ผู้ใหญ่เขียนรักไอ้ขวัญมาก
จึงไม่คิดที่จะมีเมียใหม่ แล้วความวุ่นวายก็เกิดขึ้นเมื่อ
นายเรืองและไอ้เริญ รุกล้ำที่นาของผู้ใหญ่เขียนและเกิดเป็นคดีความขึ้น
แต่นายเรืองแพ้จึงประกาศตัวเป็นศัตรูกับผู้ใหญ่เขียน
แต่เหมือนเป็นกรรมเก่าที่ทำร่วมกันมา เพราะขวัญเกิดไปชอบพอกับเรียม
ลูกสาวนายเรือง ซึ่งมีหนุ่มมารุมรักมากมาย รวมถึงไอ้จ้อยเศรษฐีมีเงิน
ขวัญกับเรียมแอบนัดพบกันเสมอ
ความรักของทั้งสองยิ่งแน่นแฟ้นขึ้นจนทั้งคู่แอบมีอะไรกัน
ขวัญพร่ำบอกว่ารักเรียมเท่าชีวิต
แต่เรียมนั้นไม่แน่ใจจึงพาขวัญไปสาบานต่อหน้าศาลเจ้าพ่อไทร
ขวัญโกรธที่เรียมไม่เชื่อใจจึงเอามีดกรีดแขนตัวเอง
เพื่อใช้เลือดเป็นเครื่องยืนยันความรัก
ทั้งคู่สาบานรักกันว่าจะซื่อสัตย์ต่อกันตลอดไป
จ้อยเห็นขวัญกับเรียมอยู่ด้วยกันจึงถีบหน้าขวัญอย่างจัง
ไอ้เริญได้ใช้ดาบฟันที่กกหูขวัญเป็นแผล
ขวัญจะฆ่าจ้อยแต่เรียมขอเอาไว้
อีกอย่างนายเรืองอนุญาตให้ขวัญยกขันหมากมาสู่ขอเรียม
ซึ่งสร้างความหวังให้กับทั้งคู่เป็นอย่างมาก
แต่แล้วทุกอย่างก็ไม่เป็นไปตามที่หวัง
เมื่อไอ้เริญและนางรวยเป่าหูนายเรืองให้กันขวัญออกจากเรียมแล้วยกให้ไอ้จ้อย
เพื่อยกฐานะให้กับตนเอง เรียมถูกขายให้คุณนายทองคำที่บางกอก
ขวัญจึงออกไปตามหาที่บางกอกแต่ไม่เจอ ไอ้ขวัญแทบคลั่ง
ด้วยความเป็นห่วงลูกชาย ผู้ใหญ่เขียนแอบเก็บเงินเพื่อช่วยไถ่ตัวเรียมอีกแรง
ขวัญคลั่งหนักเมื่อรู้ข่าวว่าไอ้จ้อยจะไปไถ่ตัวเรียมเพื่อมาแต่งงาน
ผู้ใหญ่เขียนจึงไปกราบเท้านายเรืองให้ขวัญมีสิทธิ์ไถ่ถอนตัวเรียมมาแต่งงาน
นายเรืองรับกราบ ขวัญเร่งทำงานหาเงินเพื่อไถ่ตัวเรียม
เรียมอยู่ที่บางกอกในฐานะทาสรับใช้แต่คุณนายทองคำเอ็นดูเรียมเพราะหน้าคล้าย
ลูกสาวที่ตายไป จึงรับเป็นลูกบุญธรรม โดยซื้อจากนายเรือง
นายเรืองบอกให้ขวัญนำเงินไปไถ่ถอนเรียมเอง
แต่แล้วขวัญก็ต้องคลั่งอีกครั้งเมื่อรู้ว่านายเรืองได้ขายเรียมให้กับคุณนาย
ทองคำไปแล้ว
แต่ขวัญยังเชื่อในคำสาบานว่าเรียมจะกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันผู้ใหญ่เขียนเห็น
ว่าน่าจะให้ขวัญบวชจะได้ทำให้ขวัญสงบลง
ฝ่ายเรียมเมื่อขยับขึ้นมาเป็นลูกบุญธรรม ชีวิตก็เปลี่ยนไป
สมชายอดีตคู่หมั้นของลูกสาวคุณนายทองคำสนใจเรียมแล้วทั้งสองคนก็ใช้ความ
ศิวิไลซ์ของบางกอกมัดใจเรียม เรียมพอใจกับความเป็นอยู่หรูหรา
เริ่มมองว่าสมชายรักจริง และเริ่มมองขวัญเป็นเพียงพวกป่าเถื่อนด้อยพัฒนา
ส่วนขวัญเฝ้าเวียนวนภาวนาต่อหน้าศาลเจ้าพ่อไทร
ให้ดลใจให้เรียมนึกถึงคำสัญญา แล้วคำภาวนาก็สัมฤทธิ์ผลเมื่อนางรวยป่วย
เรียมต้องกลับมาเยี่ยม ขวัญดีใจรีบไปหาเรียม
แต่ต้องผิดหวังเมื่อเรียมดูสูงส่งไม่เหมือนเรียมคนเดิม
และเรียมได้หนีขวัญกลับบางกอกทั้งที่สัญญาว่าจะมาพบในตอนกลางคืน
ขวัญเสียใจมากจะฆ่าตัวตายต่อหน้าศาลเจ้าพ่อไทร แต่ผู้ใหญ่เขียนมาขวางไว้
ผู้ใหญ่เขียนได้โอกาสตอนที่ขวัญกำลังซมซานจึงพูดเรื่องที่จะให้ขวัญบวช
ขวัญก็เออออตามพ่อ เพราะกำลังสับสน
เช่นเดียวกับเรียมที่ตอบตกลงแต่งงานกับสมชายเพราะกำลังสับสน
จนนางรวยเจ็บหน้าอกอีกครั้ง ทำให้เรียมต้องกลับมาดูแลแม่ ช่วงเวลา 3
วันที่อยู่บางกะปิ เรียมตัดสินใจคืนดีกับขวัญ
ทั้งคู่ร่าเริงเหมือนปลาได้น้ำ แต่เรียมไม่สามารถกำหนดชะตาชีวิตตัวเองได้
นอกจากคุณนายทองคำคนเดียว
เวลาผ่านมาถึงวันที่ 4 นางรวยตาย หลังจากเสร็จงานศพ
สมชายก็ตามเรียมกลับบางกอกเพราะคุณนายทองคำป่วย
เรียมจำใจต้องกลับทั้งที่วันนี้เป็นวันบวชของขวัญ
เรียมตั้งใจจะกลับไปบอกคุณนายทองคำว่าเป็นเมียขวัญ และจะไม่แต่งงานกับสมชาย
แต่เรียมไม่มีโอกาสที่จะไปบอกขวัญถึงการจากไปครั้งนี้
ที่บ้านผู้ใหญ่เขียนกำลังเตรียมงานบวชโดยที่ไม่รู้เลยว่างานบวชวันนี้จะเป็น
งานศพแทน
ขวัญเมื่อรู้เรื่องว่าเรียมจะไปบางกอกถึงกับสติแตกคว้ามีดซุยคู่ใจโดดออกจาก
เรือน สมชายให้เรียมพาไปเที่ยวท้องนา
เรียมตัดสินใจบอกว่าขวัญเป็นหนึ่งในดวงใจ และจะไม่แต่งงานกับสมชาย
แต่เขาไม่บังคับเพราะต้องการสมบัติของคุณนายทองคำอย่างเดียว
ขวัญมาพบการพูดคุยกัน
ทำให้ขวัญเข้าใจผิดคิดว่าเรียมจะหนีไอ้ขวัญไปชั่วชีวิต
ขวัญคลั่งทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้ารวมทั้งฆ่าไอ้เริญกับสมุนตาย
เรียมไม่คิดว่าเรื่องดีจะกลายเป็นเรื่องเลวร้าย
เพราะไอ้ขวัญยอดรักถูกสมชายยิงตายไปต่อหน้า
ตายไปพร้อมกับความเข้าใจผิดคิดว่าเรียมนอกใจ
ทางด้านผู้ใหญ่เขียนวิ่งถือผ้าไตรและเครื่องบวชตามไอ้ขวัญมา
ในขณะที่กระสุนปืนพุ่งใส่ร่างของไอ้ขวัญ
ผู้ใหญ่เขียนสะดุดรากไม้ล้มลงพร้อมผ้าไตรและเครื่องบวช
ผู้ใหญ่รู้ทันทีว่าไอ้ขวัญไม่มีวันกลับมาเป็นลูกชายของเขาอีก
ทำได้แต่ก้มหน้าลงร้องไห้จนสิ้นสติไป
เรียมตัดสินใจจะเป็นเมียไอ้ขวัญเพียงคนเดียวชั่วชีวิต
จึงตัดสินใจใช้มีดแทงตัวตายตามไอ้ขวัญไป ณ
ท้องน้ำอันเป็นที่เริงรักของทั้งคู่ ท้องน้ำที่ไหลสู่ศาลเจ้าพ่อไทร
สถานที่ที่ทั้งคู่เคยร่วมสาบานรักกันตราบจนกว่าความตาย
จะมาพรากทั้งคู่จากกันไป...
ที่มาของข้อมูล : www.http://pwttas.wordpress.com/
: http://mblog.manager.co.th/11arrows/th-39839/
ขอขุดกระทู้หนังไทยอมตะเรื่องนี้ขึ้นมาใหม่อีกรอบ.เป็นการต้อนรับปีใหม่ พ.ศ 2557 ซึ่งจะเป็นนิมิตรหมายอันดี สำหรับการที่จะได้มีโอกาสได้รับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ในระบบ HD1080Pที่คมชัดทั้งภาพและเสียงที่จะบังเกิดขึ้นในเร็วๆนี้..แม้ว่าโอกาสความเป็นไปได้แทบจะไม่น่าจะบังเกิดขึ้นมาได้เลย...ก็ต้องขอขอบคุณต่อความพยายามและไม่ย่อท้อในความยากลำบากสำหรับทีมงานและคณะบุคคลที่จะพยายามทำให้โครงการนี้บังเกิดขึ้นมา..ต้องขอชื่นชมว่า..หัวใจพวกคุณสุดยอดดดด.มากครับ.
![]() | ![]() |
![]() | ![]() |