Mobile Version / สำหรับโทรศัพท์มือถือ ยินดีต้อนรับท่านผู้มาเยือน www.peoplecine.com ท่านยังไม่ได้ log in นะครับ เข้าใช้งานระบบ / สมัครสมาชิก/ ลืมรหัสผ่าน

ประธานกรรมการ :ปวีณ เขื่อนแก้ว
เวบมาสเตอร์:อนุกูล วิมูลศักดิ์ 084-819-7374,095-308-6840


= ภายใน24ชั่วโมง , = ภายใน 3 วัน = ทั่วไป , = คลาส2 , = คลาส3 ,
รูป
หนังฝรั่งในอดีต ทุกยุค ทุกสมัยเจ้าของ อ่าน ตอบ ผู้ตอบหลังสุด
-ชาลี แชปลิน-ตอน ละครสัตว์ (เสียงต้นฉบับ)105079.. 30/5/2555 9:35
-โปสเตอร์หนัง AV สมัยก่อน Classic มากครับ113286.. 24/5/2555 23:09
-1992 film "Sister Act". 93499.. 14/5/2555 22:55
-กราบเรียนท่านอาจารย์ จาทีเอ42052.. 14/5/2555 12:25
-Lock Up - ล็อคอำมหิต 9197183.. 14/5/2555 9:32
- Street of fire"ถนนโลกีย์ ปี1984" หนังดีเพลงเพราะครับ 1493318.. 11/5/2555 14:44
-ฝากท่านพี่แอ๊ดครับ1715221.. 11/5/2555 14:22
-PLATOON1360019.. 11/5/2555 9:15
-ซุปเปอร์โซนิคแมน - Supersonic Man78848.. 10/5/2555 7:42
-Walt Disney's Kidnapped At Sea 40180ยังไม่มีคนตอบ
-vcd ชื่อใหม่..ปกใหม่...74408.. 8/5/2555 12:37
-ขอเสียงแฟนหนังหรั่งหน่อยครับ ... ว่าด้วยเรื่อง PIF1465729.. 5/5/2555 21:14
-A Separation ชนะเลิศออสการ์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม77052.. 2/5/2555 19:44
-dirty mary crazy larray39737.. 2/5/2555 12:42
-ยังจำ A Trip to the Moon กันได้ไม40291.. 2/5/2555 11:31
-บทวิจารณ์หนัง BONNIE AND CLYDE (1967) หนุ่มห้าวสาวเหี้ยม 52378.. 30/4/2555 9:00
เลือกหน้า
[<<] [46] [47] [48] [49] [50]
จำนวนหัวข้อทั้งหมด 793

(ID:11995) บทวิจารณ์หนัง BONNIE AND CLYDE (1967) หนุ่มห้าวสาวเหี้ยม


เป็นบทวิจารณ์ของคุณประวิทย์  แต่งอักษร  ในคอลัม หนังคลาสิคของหนังสือสตาร์พิคส์ อันว่าด้วยเรื่องของหนังแก๊งสเตอร์  ที่โด่งดังที่สุดเมื่ออกฉายในปี ค.ศ 1967  ฉายในไทยใช้ชื่อไทยว่า หนุ่มห้าวสาวเหี้ยม  ผมเห็นว่าน่าจะมีสาระประโยชน์สำหรับ สมาชิกพีเพิลซีน และผู้ที่ชื่นชอบภาพยนตร์ดังในอดีต..ก็เลยขอขอบคุณและ ขออนุญาตถ่ายทอดบทวิจารณ์หนังเรื่องนี้ ของคุณประวิทย์  แต่งอักษร มานำเสนอเป็นข้อมูลให้ได้รับทราบกันครับ

กำกับ-อาร์เธอร์ เพนน์/อำนวยการสร้าง-วอร์เรน เบ็ตตี้/บทภาพยนตร์-เดวิด นิวแมน, โรเบิร์ต เบนตั้น/กำกับภาพ-เบอร์เน็ทท์ กัฟฟี่/ลำดับภาพ-ดีดี้ อัลเลน/ดนตรี-ชาร์ลส์ สเตราส์/กำกับศิลป์-ดีน ทาวูลาริส/ออกแบบฉาก-เรย์มอนด์ พอล/ผู้แสดง-วอร์เรน เบ็ตตี้, เฟย์ ดันนาเวย์, ไมเคิล เจ. พอลลาร์ด, จีน แฮ็คแมน, เอสเทลล์ พาร์สัน, เดนเวอร์ พายล์, จีน ไวลเดอร์/สี/ความยาว 111 นาที







ความเห็น

[1]


(ID:127360)


ฐานะของ Bonnie andClyde(1967) ไม่ได้เป็นเพียงหนังที่ได้รับตอบรับอย่างกระตือรือร้นจากคนหนุ่มสาวในช่วง ครึ่งหลังของทศวรรษที่ 1960 จนกระทั่งติดหนึ่งในยี่สิบอันดับแรกของหนังทำเงินตลอดกาลช่วงนั้น แต่อิทธิพลของมัน-ทั้งในแง่ของการนำเสนอภาพของสองโจรปล้นแบงค์ในมุมที่ผู้ชม เห็นอกเห็นใจและผูกพัน การเลือกใช้เทคนิคทางด้านภาพหยาบๆ เหมือนตั้งใจไม่กลั่นกรองหรือขัดเกลา ตลอดจนการถ่ายทอดความรุนแรงอย่างตรงไปตรงมา ปราศจากการบันยะบันยัง ได้ก่อให้เกิดแนวโน้มใหม่กับรูปแบบการผลิตภาพยนตร์ในฮอลลีวู้ดในช่วงเวลา นั้นโดยปริยาย

นักประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ถึงกับสถาปนาให้ Bonnie andClyde(ร่วมกับ The Graduate ของไมค์ นิคอลส์ นำแสดงโดยดัสติน ฮอฟฟ์แมนซึ่งสร้างและออกฉายในช่วงไล่เลี่ยกัน) เป็นเสมือนจุดเริ่มต้นของหนังในแบบ New Hollywood หรืออีกนัยหนึ่ง หนังที่เพิกเฉยต่อแบบแผนการสร้างหนังที่ยึดถือกันมาช้านานภายใต้ระบบสตูดิโอ ขณะเดียวกัน-ก็อ้าแขนต้อนรับไอเดียใหม่ๆที่หมิ่นเหม่และท้าทายต่อกรอบสังคม และขนบธรรมเนียมอันดีงาม อีกทั้งบ่อยครั้งก็คลุมเครือทางด้านจริยธรรม

                 

หนังเรื่องสำคัญที่ถูกสร้างภายใต้แนวคิดของการตั้งตนเป็น ?ขบถ? เดียวกัน และยังคงได้รับการจดจำจนบัดนี้  อาทิ 2001 : A Space Odyssey (1968),  Rosemary?s Baby (1968), The Wild Bunch (1969), Midnight Cowboy (1969), Easy Rider (1969) ไปจนถึง M*A*S*H (1970), The Last Picture Show (1971), The Godfather (1972)

กล่าวอย่างรวบรัด ?นิวฮอลลีวู้ด? ที่อ้างถึงนี้(ซึ่งกินเวลาราวสิบกว่าปี หรือตั้งแต่ปี 1967-1981)นับได้ว่าเป็นยุคทองของหนังอเมริกันในแง่ของศิลปะและความคิดสร้าง สรรค์โดยแท้ ข้อสำคัญ แทบไม่ปรากฏว่า-เคยมียุคไหนที่ผู้ชมได้เห็นผลงานที่หนักแน่นในแง่ของ คุณภาพ-ถูกสร้างออกมาอย่างพร้อมเพรียงและต่อเนื่องเพียงนี้

จุดเริ่มต้นของการสร้างหนังเรื่อง Bonnie andClydeมาจากเดวิด นิวแมนกับโรเบิร์ต เบนตั้น สองนักเขียนบทหน้าใหม่ที่ไปได้อ่านหนังสือที่ชื่อว่า The Dillinger Days ของจอห์น โทแลนด์ เนื้อหาส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนั้น-บอกเล่าเรื่องราวการปล้นอันคึกคะนองของ บอนนี่ พาร์คเกอร์กับไคลด์ แบร์โรว์ สองโจรชื่อดังในช่วงต้นทศวรรษที่ 1930





(ID:127361)



เหตุผลสำคัญที่เรื่องของสองคนนี้เย้ายวนความรู้สึกของทั้งนิวแมนกับเบน ตั้น-ไม่ใช่การปล้นแบงค์ ซึ่งทั้งสองบอกว่า ฝีไม้ลายมือของพวกเขาอยู่ในขั้นย่ำแย่ แต่เพราะ ?การใช้ชีวิตแบบคนนอกกรอบและกฎเกณฑ์ของพวกเขา-มันสื่อสารกับ ?คนในยุคสมัยต่อต้านสงคราม (เวียดนาม)??



อย่างที่ข้อมูลหลายๆแหล่งมักจะระบุตรงกัน นิวแมนกับเบนตั้นคาดหวังว่าฟรังซัวส์ ทรุฟโฟต์จะเป็นคนกำกับหนัง เพราะพวกเขาชื่นชอบหนังของทรุฟโฟต์ที่เกี่ยวกับ ?คนที่ใช้ชีวิตโดยปราศจากกฎเกณฑ์? สองเรื่อง อันได้แก่ Jules and Jim (1961) และ Shoot the Piano Player (1962) แต่สุดท้าย โครงการสร้างหนังเรื่อง Bonnie andClydeก็ตกมาอยู่ในมือของคนที่กล่าวได้ว่าเหมาะสมน้อยที่สุด นั่นคือ ดาราหนุ่มเจ้าเสน่ห์ที่ชื่อวอร์เรน เบ็ตตี้

วอร์เรน เบ็ตตี้เป็นเสมือนผลผลิตของระบบสตูดิโอแบบเก่าโดยสมบูรณ์ กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาเติบโตมากับการปลุกปั้นของบริษัทวอร์เนอร์ บราเธอร์ส แต่ภายหลังจากสร้างแรงกระเพื่อมทางด้านชื่อเสียงได้พอสมควรจากผลงานชิ้นแรก เรื่อง Splendor in the Grass (1961) ของอีเลีย คาซาน ทีละน้อย ข่าวคราวเรื่องการควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า-ก็เปลี่ยนภาพลักษณ์ของเขาจากนักแสดง ดาวรุ่งที่น่าจับตามอง กลายเป็นเพลย์บอยหนุ่มเจ้าสำราญ



แย่ไปกว่านั้นก็คือ หนังที่เขาร่วมแสดง 2-3 เรื่องหลังจากนั้น ไม่ได้ไปเพิ่มคะแนนบวกให้กับตัวเอง อันที่จริง มันไม่ได้เป็นหนังเลวร้ายอะไร แต่ก็ไม่มีใครนึกอยากจดจำ และถึงแม้ว่าเบ็ตตี้จะพยายามฉีกบทบาทครั้งสำคัญ ด้วยการไปรับบทตัวตลกในไนต์คลับที่ปรารถนาจะเปลี่ยนแปลงตัวเองใน Mickey One (1965) ของโรเบิร์ต เพนน์ แต่ ?หนังอาร์ท? เรื่องนั้นก็ได้รับการกล่าวขวัญน้อยเกินไป และแทบไม่มีใครเคยดู



สถานภาพการเป็นดาราของเบ็ตตี้กำลังสั่นคลอน เขากำลังต้องการความสำเร็จของหนังสักเรื่องมาดึงคะแนนนิยมในตัวเขากลับคืน เหนืออื่นใด เขามุ่งหวังให้ใครๆมองเขาในฐานะนักแสดงที่ซีเรียสจริงจัง เหมือนมาร์ลอน แบรนโด หรือเจมส์ ดีน ไม่ใช่หนุ่มรักสนุกที่ใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าไปวันๆ



(ID:127362)


ทรุฟโฟต์เป็นคนเล่าโครงการหนังเรื่อง Bonnie andClydeให้เบ็ตตี้พิจารณา และหลังจากที่เขาได้อ่านบทหนังฉบับร่างแรกของนิวแมนกับเบนตั้น ชายหนุ่มก็กระโจนเข้าใส่หนังเรื่องนี้ทันที และไม่ใช่แค่ในฐานะของผู้แสดงเท่านั้น แต่เบ็ตตี้ยังควบรวมตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างด้วย อันหมายถึงการเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการหาเงินทุนมาสร้าง ตลอดจนคัดเลือกคนทำงานในระดับคีย์แมน

แม้ว่า Bonnie andClydeจะเป็นหนังในตระกูลแกงสเตอร์ซึ่งในตอนนั้น เชื่อกันว่ามัน ?ลงหลุม? ไปนานแล้ว แต่อย่างที่นิวแมนกับเบนตั้นบอกไว้ก่อนหน้า เนื้อแท้ของหนังมันสื่อสารกับผู้ชมที่เป็นคนหนุ่มคนสาวในยุคปลายทศวรรษที่ 1960 ด้วยเหตุนี้เอง โฟกัสของหนังจึงไม่ได้เน้นหนักที่การพาตัวเองมาเกี่ยวข้องกับโลกของ อาชญากรรม หรือการ ?ขึ้นและลงของตัวอาชญากร? เหมือนกับหนังแกงสเตอร์โดยมาตรฐานทั่วไป แต่เน้นหนักที่ความมีสีสันและชีวิตชีวาของตัวละครที่ใช้ชีวิตในฟากที่อยู่ ตรงกันข้ามกับกฎเกณฑ์


ขณะเดียวกัน หนังมุ่งสะท้อนให้ผู้ชมได้เห็นว่า บรรดาสถาบันทางสังคมทั้งหลาย-ล้วนแล้ว แห้งแล้ง เย็นชา นั่นรวมถึงพวก ?คนมีอายุ? ในหนังเรื่องนี้-ที่ไม่มีสักคนเดียวที่ดูเป็นมิตร

หนังไม่เคยบอกถึงเหตุผลที่นำพาให้บอนนี่ พาร์คเกอร์(เฟย์ ดันนาเวย์)กับไคลด์ แบร์โรว์(เบ็ตตี้)รวมหัวกันปล้นแบงค์อย่างจริงจัง และถึงแม้ว่าตัวหนังสือในตอนต้นจะระบุว่า ทั้งสองมาจากครอบครัวที่ยากจน บอนนี่เป็นสาวเสิร์ฟในร้านอาหาร ส่วนไคลด์เป็นลูกชาวนาที่รับจ้างปลูกพืชผลทางการเกษตรให้กับพวกนายทุน แต่ความยากจนข้นแค้นในทางเศรษฐกิจก็ยังคงไม่ใช่แรงจูงใจหลักอยู่นั่นเอง

ตอนที่ทั้งสองพบกัน บอนนี่ซึ่งอยู่ในสภาพกึ่งเปลือย-กำลังเบื่อหน่ายและอึดอัดกับความเป็นอยู่ รอบข้างเต็มที นอกจากสีหน้าท่าทางของเธอจะส่อแสดงไปทางนั้น การจับภาพของตัวละครในระยะประชิด ยิ่งช่วยเน้นบรรยากาศดังกล่าวให้ยิ่งเด่นชัด ดูเหมือนว่าสิ่งที่เธอต้องการอย่างเร่งด่วนในตอนนี้-ก็คือความตื่นเต้นอะไร สักอย่างในชีวิต

ด้วยเหตุนี้เอง ทันทีที่เธอเห็นไคลด์กำลังด้อมๆมองๆเหมือนทำท่าจะขโมยรถยนต์ของแม่ของเธอ แทนที่หญิงสาวจะร้องโวยวาย กลับตรงรี่ไปพูดคุยกับเขาด้วย จุดประสงค์เพื่อยั่วเย้าและหยอกล้อ โดยที่ใช้เวลาไม่นาน ทั้งสองก็พบว่าต่างฝ่ายมีแง่มุมที่ชวนดึงดูดกันและกัน ไคลด์แทบไม่ต้องเสียเวลาคาดเดา-ก็รู้ได้ทันทีว่า บอนนี่ทำงานอะไร ขณะที่ชายหนุ่มแนะนำตัวเองอย่างอวดๆว่า เขาเพิ่งออกมาจากเรือนจำของรัฐด้วยคดีปล้น แถมยังคุยเขื่องเสริมเข้าไปอีกว่า ที่เขาเดินขาเขยกๆนี้-ก็เพราะใช้ขวานจามนิ้วเท้าตัวเองทิ้งไปสองนิ้วซึ่งมัน ช่วยให้เขา ?ไม่ต้องถูกส่งไปทำงาน?

และเพื่อยืนยันว่า-เรื่องที่เพิ่งจะเล่าให้ฟังเป็นความจริง เขาไม่ได้เพียงแค่ชักปืนออกมาโชว์-ซึ่งหนังจงใจเน้นให้เห็นว่า มันเป็นเหมือนเครื่องประกาศ ?ความเป็นชายชาตรี? ที่เจ้าตัวภูมิอกภูมิใจ (แถมบอนนี่ยังลูบไล้มันอย่างมีนัยหยาบโลน) หากเขายังลงมือปล้นร้านขายของชำให้หญิงสาวได้เห็นเป็นขวัญตา





(ID:127363)



ซีเควนซ์เปิดเรื่องนี้ควรจะจบลงด้วยการที่ทั้งสองแนะนำชื่อเสียงเรียงนาม ของตัวเอง และพากันขับรถหนีไปท่ามกลางเสียงดนตรีแนวบลูกราสส์ที่ให้ความรู้สึกสนุกสนาน ร่าเริง แต่หนังกลับไม่ได้ยุติเพียงแค่นั้น หากยังแสดงให้เห็นว่า ความตื่นเต้นที่หญิงสาวร่ำร้องเรียกหามาช้านาน-มันไปปลุกเร้าอารมณ์ทางเพศ ของเธอ และเธอพยายามจะมีเซ็กซ์กับชายหนุ่มในระหว่างทาง แต่กลายเป็นว่า ถูกฝ่ายหลังบ่ายเบี่ยงปัดป้อง จนสุดท้าย ความต้องการของเธอก็ถูกปล่อยให้ค้างคา

ไคลด์ออกตัวทันทีว่า เขาไม่ใช่ทั้งนักรัก หรือพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน สิ่งที่ถูกละไว้ฐานเข้าใจก็คือ ชายหนุ่มมีปัญหาเรื่องสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งเดียวที่หนังเน้นด้านที่คาดไม่ถึงนี้ของตัวละคร ในอีกไม่นานจากนี้ ไคลด์ยังแกล้งทำเป็นกรนเสียงดังเพื่อหลบเลี่ยงโอกาสที่จะนำพาให้เขาต้องตก อยู่ในภาวะกระอักกระอ่วนอีกครั้ง และอีกสองสามฉากถัดจากนั้น หลังจากที่บอนนี่ยืนยันว่าไม่ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร เธอก็พร้อมจะขึ้นสวรรค์หรือลงนรกไปกับเขา ชายหนุ่มพยายามตอบสนองความภักดีของหญิงสาวด้วยเซ็กซ์ แต่มันก็ลงเอยเหมือนเดิม ภาพหนึ่งที่ผู้ชมได้เห็นในระหว่างนี้-ก็คือ บอนนี่ซบหน้ากับปืน-ซึ่งตอนนี้ มันเป็น ?สัญลักษณ์ทางเพศ? เพียงอย่างเดียวที่ยังคงสามารถพึ่งพา


หนังไม่ได้บอกกับผู้ชมตรงๆ หรือพยายามยกเหตุผลในทางจิตวิทยามาแจกแจงว่า ทำไม-ไคลด์ถึงมีอาการกามตายด้าน แต่พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว มันก็ไม่ได้ถึงกับไร้คำอธิบายโดยสิ้นเชิง บางที ไคลด์ แบร์โรว์อาจจะไม่ได้ผิดปกติอะไร เพียงแต่เขาก็เหมือนกับคนหนุ่มทั่วไป-ที่ความไม่ประสีประสาในหลายๆเรื่องราว ส่งผลให้สิ่งที่ลงมือทำเป็นครั้งแรกๆล้มเหลวไม่เป็นท่า แน่นอนว่า มันไม่ได้จำกัดเฉพาะเรื่องเพศ

อย่างในการปล้นแบงค์ครั้งปฐมฤกษ์ หนังให้เห็นว่าท่าทางของเขาประสาท และคำพูดที่เขาพยายามปลอบให้บอนนี่คลายความกังวล-กลายเป็นการบอกกับตัวเอง

ผลลัพธ์ของการปล้นธนาคารครั้งแรกลงเอยด้วยการที่ไคลด์ทะเล่อทะล่าเข้าไป ในแบงค์ที่เพิ่งจะเจ๊งไปได้สามสัปดาห์ และเพื่อไม่ให้เสียหน้าซึ่งเป็นเรื่องที่คนหนุ่มถือสายิ่งกว่าอะไร เขาต้องบังคับให้พนักงานที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวมาอธิบายข้อเท็จจริงให้บอน นี่ ซึ่งทันทีที่เธอได้ยิน-ก็ขำกลิ้ง

ยังมีอีกสองสามเรื่องที่ผู้ชมจับได้ว่าไคลด์เพิ่งจะได้ลิ้มรสชาติเป็น ครั้งแรก อย่างเช่นในการปล้นร้านขายของชำฉากถัดมา นอกจากมันไม่ราบรื่นง่ายดายเหมือนตอนต้น เขายังเกือบจะถูกคนขายเนื้อสับด้วยมีดเล่มโต หลังจากกอดรัดฟัดเหวี่ยงอย่างทุลักทุเล สุดท้าย ชายหนุ่มต้องใช้ด้ามปืนฟาดที่หัวของหมอนั่นจนเลือดกระจาย ก่อนที่เขาจะหนีขึ้นรถที่บอนนี่ติดเครื่องรอ คำพูดระล่ำระลักของไคลด์ในทำนองว่า เขาไม่เข้าใจว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร(?ทำไมเขาถึงพยายามจะฆ่าผม ผมไม่ได้ต้องการจะทำร้ายเขาสักนิดเดียว?) สะท้อนถึงความอ่อนหัดและไร้เดียงสาอย่างชัดเจน






(ID:127364)




แต่เหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจของไคลด์อย่างหนักหน่วงรุนแรง-ก็คือ ตอนที่เขาฆ่าคนตายเป็นครั้งแรก ฉากนี้เริ่มต้นอย่างเบาๆ กระทั่งคนทำหนังตั้งใจให้ผู้ชมขบขันด้วยซ้ำ เมื่อซี.ดับลิว.มอสส์(ไมเคิล เจ. พอลลาร์ด) ผู้ช่วยจอมทึ่มพยายามจอดรถชิดขอบทางเพื่อให้ถูกกฎจราจรในระหว่างที่เฝ้ารอ บอนนี่กับไคลด์บุกจู่โจมเข้าไปปล้นธนาคาร แต่แล้ว ในท่ามกลางความโกลาหลของเหตุการณ์และสัญญาณเตือนภัย เจ้าหนุ่มก็ต้องถอยเข้าถอยออกอยู่นานกว่าที่จะเคลื่อนรถออกมาได้ แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น หนึ่งในเจ้าหน้าที่ธนาคารกระโดดเกาะท้ายรถของทั้งสาม ไคลด์ซึ่งไม่มีทางเลือกต้องยิงใส่ใบหน้าในระยะเผาขน แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ได้สั่งให้หยุดรถเพื่อดูผลงานของตัวเอง แต่ทั้งเขาและผู้ชมก็แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเหยื่อเคราะห์ร้ายคนนั้น-คงไม่ รอด

ฉากถัดมาในโรงภาพยนตร์-ตอกย้ำกับผู้ชมอีกครั้งว่า ถึงแม้ไคลด์จะโลดแล่นอยู่ในโลกอาชญากรรมมาพอสมควร แต่อาการประสาทเสียและควบคุมตัวเองแทบไม่ได้-สำทับความจริงที่ว่า เขาไม่เคยถลำลึกมาไกลถึงเพียงนี้ มันเป็นบรรยากาศที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงกับภาพบนจอที่บรรดานางระบำกำลัง ร้องและร่ายรำไปกับเพลง ?We?re in the Money? จากหนังเรื่อง Gold Diggers of 1933


ในทางกลับกัน บอนนี่เป็นคนเดียวที่กุมสติของตัวเองไว้ได้ กระทั่งปล่อยตัวปล่อยใจไปกับภาพเคลื่อนไหวเบื้องหน้า แต่กล่าวไปแล้ว ผู้ชมได้เห็นความเด็ดเดี่ยวและเยือกเย็นของเธอมาตั้งแต่ก่อนหน้า และทั้งๆที่ยังพอมีช่องทางเล็กๆให้เธอได้กลับเนื้อกลับตัว และไคลด์ก็แสดงความปรารถนาดีด้วยการขอให้เธอแยกทางไปเพื่อสวัสดิภาพของตัว เอง แต่หญิงสาวก็ไม่เคยแสดงท่าทีลังเล

ดังที่ได้ระบุไว้แล้ว หนังไม่เคยบอกตรงๆว่า สองหนุ่มสาวตัดสินใจปล้นแบงค์ด้วยเหตุผลกลใด แต่ไอเดียนี้ผุดขึ้นมาหลังจากที่ไคลด์ได้รับรู้เรื่องของชาวนาคนหนึ่งกับ ครอบครัวของเขา-ต้องสูญเสียบ้านและที่ทำกินของตัวเองให้กับธนาคาร คำพูดของไคลด์ในตอนที่เขาแนะนำตัวบอนนี่และตัวเองกับคนเหล่านั้นก็คือ ?นี่คือบอนนี่ พาร์คเกอร์ ส่วนผมไคลด์ แบร์โรว์ ?พวกเราปล้นธนาคาร?


สีหน้าของไคลด์ ไม่ได้บ่งชี้ไปในทางที่ว่าเขาเห็นอกเห็นอกใจพวกชาวนา และต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้แค้นแทน แต่มันเหมือนกับเขาเพิ่งคิดออกว่า พวกเขาควรจะทำอะไรที่จะสร้างชื่อให้กับตัวเอง ความต้องการที่จะได้เป็น ?ตำนาน? ของไคลด์ ได้รับเน้นอย่างเป็นรูปธรรมในตอนท้าย เมื่อบอนนี่เขียนบทกวีที่เล่าเรื่องราวของทั้งสอง ภายใต้ชื่อ ?The Story of Bonnie andClyde? ส่งไปลงหนังสือพิมพ์ ชายหนุ่มไม่ปิดบังความเบิกบาน เขาบอกบอนนี่ว่า-เธอได้ให้ในสิ่งที่เขาต้องการ และนั่นคือ ?เธอทำให้ฉันกลายเป็นคนที่พวกเขาต้องจดจำ? เพื่อยืนยันความสำคัญของฉากนี้ ทั้งสองร่วมรักกันอีกครั้ง และคราวนี้ มันลุล่วงไปด้วยดี






(ID:127365)



ตรงกันข้ามกับความมีชีวิตชีวาของสองหนุ่มสาว ผู้คนในฟากกฎหมายเต็มไปด้วยแห้งแล้งเย็นชา นอกจากไม่มีใครสักคนที่ดูมีเสน่ห์เย้ายวน ผู้ชมยังไม่นึกอยากผูกพัน แต่นั่นไม่ร้ายเท่ากับหนังตั้งใจให้เห็นว่า คนพวกนั้นเลือกใช้วิธีการ ?ไม่ซื่อ? และ ?แฝงด้วยเล่ห์เหลี่ยม? ในการจัดการกับแก๊งของบอนนี่กับไคลด์

หัวเรี่ยวหัวแรงได้แก่มือปราบเท็กซัส(เดนเวอร์ ไพล์)ที่ครั้งหนึ่ง เคยเสียท่าให้กับคนทั้งสอง และไม่ลดละความพยายามที่จะจัดการกับสองหนุ่มสาวให้ได้ เขาไม่เพียงบีบให้แบลนช์(เทลล์ พาร์สัน) เมียของบัค(จีน แฮ็คแมน) พี่ชายของไคลด์-เปิดเผยชื่อจริงของมอสส์ เพื่อใช้เป็นช่องทางในการเข้าถึงเป้าหมาย หากยังต่อรองกับพ่อของมอสส์-ให้ฝ่ายหลังร่วมมือในเล่นงานบอนนี่กับไคลด์ โดยแลกกับการที่ลูกชายของเขาได้รับโทษที่เบาลง


อันที่จริง ผู้ชมทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้อยู่แล้วว่า จุดจบของบอนนี่กับไคลด์เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่พ้น และหนังก็แทรก ?ลางร้าย? ไว้หลายครั้ง อย่างในฉากที่พวกเขาหยอกล้อกับหนุ่มบ้านนอก(จีน ไวลเดอร์)และแฟนสาว-โดยหารู้ไม่ว่าหมอนั่นเป็นสัปเหร่อ หรือในคำพูดของแม่ของบอนนี่ในช่วงที่ทั้งสองร่ำลากัน

แต่สิ่งที่หลายคนอาจจะนึกไม่ถึงก็คือ ระดับความป่าเถื่อนและโหดเหี้ยมของการฆ่า อันที่จริง สถานการณ์ของทั้งบอนนี่กับไคลด์ในขณะนั้น-ก็พาตัวเองมาติดกับอยู่แล้ว และโอกาสหนีรอดก็น้อยเหลือเกิน แต่ความจริงข้อนี้-ไม่ได้ทำให้ฝ่ายรักษากฎหมาย(ซึ่งผู้ชมแทบไม่ได้เห็นโฉม หน้า)หันไปใช้วิถีทางที่ละมุนละม่อม ทว่ากลับยิงถล่มด้วยกระสุนนับร้อยๆนัดโดยที่อีกฝ่ายไม่มีโอกาสที่จะต่อสู้


เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่ใครจะรู้สึกว่า พวกผู้รักษากฎหมายในหนังเรื่องนี้ไม่ใช่มนุษย์มนา แต่มีฐานะไม่แตกต่างจากสัตว์ร้ายที่น่าสะพรึงกลัว เหนืออื่นใด หนังประสพความสำเร็จอย่างเหลือล้นในการสะท้อนด้านที่เลวร้ายของบรรดาสถาบัน ที่ยึดถือกันในสังคม-ซึ่งมักจะมาพร้อมกับกรอบความคิดแบบอนุรักษ์นิยมที่ โบราณคร่ำครึ และครอบงำ



(ID:127366)



กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว ความสำเร็จในระดับปรากฏการณ์ของหนังเรื่อง Bonnie andClydeและหนังที่ว่าด้วยเรื่องของคนหนุ่มสาวอีกหลายเรื่องที่ออกฉายในช่วง ไล่เลี่ยกัน-ถือเป็นการส่งสัญญาณตรงๆว่า พวกเขาทั้งไม่พอใจและไม่เห็นด้วยกับอะไรต่ออะไรที่พวกผู้ใหญ่วางกรอบให้เดิน และสิ่งที่พวกเขาต้องการ-ก็คือ การสังคายนาครั้งมโหฬาร

ประการสำคัญ มันเป็นเหมือนกับเพลงสำคัญของยุค 1960 ที่บ็อบ ดีแล่นร้องไว้ นั่นคือ ?The Times, They Are A-Changin?? ช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงได้มาถึงแล้ว





(ID:127396)
      หวังว่าแฟนๆหนังคลาสิคคงจะได้สาระประโยชน์จากบทวิจารณ์ของคุณประวิทย์  แต่งอักษร ไปบ้าง ไม่มากก็น้อย  และถ้าหากชื่นชอบและต้องการข้อมูลบทวิจารณ์หนังคลาสิคเรื่องอื่นๆ..ถ้ามีโอกาสผมก็จะหาข้อมูลมานำเสนอให้เพื่อนสมาชิกพีเพิลซีนได้รับทราบอีก...หากท่านใดมีข้อมูลจะแบ่งปันหรือเสนอแนะก็...แจ้งมาได้เลยในกระทู้นี้ครับ





เลือกหน้า
[1]
จำนวนหัวข้อทั้งหมด 8

กลับขึ้นข้างบน / กลับหน้าแรก

ค้นกระดานข่าว:


ถูกเปิด: ถูกคลิ๊กแล้ว: 116016237 ตอนนี้มีผู้เข้าชม : 1 ล่าสุด :elibuskamogew , LUGlen , RonaldBuh , Snawnaderry , CarlTW , RonnieIC , Frankdieme , LeroyMes , MarylnNar , AnthonyFah ,