ความเห็น |
ฐานะของ Bonnie andClyde(1967) ไม่ได้เป็นเพียงหนังที่ได้รับตอบรับอย่างกระตือรือร้นจากคนหนุ่มสาวในช่วง ครึ่งหลังของทศวรรษที่ 1960 จนกระทั่งติดหนึ่งในยี่สิบอันดับแรกของหนังทำเงินตลอดกาลช่วงนั้น แต่อิทธิพลของมัน-ทั้งในแง่ของการนำเสนอภาพของสองโจรปล้นแบงค์ในมุมที่ผู้ชม เห็นอกเห็นใจและผูกพัน การเลือกใช้เทคนิคทางด้านภาพหยาบๆ เหมือนตั้งใจไม่กลั่นกรองหรือขัดเกลา ตลอดจนการถ่ายทอดความรุนแรงอย่างตรงไปตรงมา ปราศจากการบันยะบันยัง ได้ก่อให้เกิดแนวโน้มใหม่กับรูปแบบการผลิตภาพยนตร์ในฮอลลีวู้ดในช่วงเวลา นั้นโดยปริยาย
นักประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ถึงกับสถาปนาให้ Bonnie andClyde(ร่วมกับ The Graduate ของไมค์ นิคอลส์ นำแสดงโดยดัสติน ฮอฟฟ์แมนซึ่งสร้างและออกฉายในช่วงไล่เลี่ยกัน) เป็นเสมือนจุดเริ่มต้นของหนังในแบบ New Hollywood หรืออีกนัยหนึ่ง หนังที่เพิกเฉยต่อแบบแผนการสร้างหนังที่ยึดถือกันมาช้านานภายใต้ระบบสตูดิโอ ขณะเดียวกัน-ก็อ้าแขนต้อนรับไอเดียใหม่ๆที่หมิ่นเหม่และท้าทายต่อกรอบสังคม และขนบธรรมเนียมอันดีงาม อีกทั้งบ่อยครั้งก็คลุมเครือทางด้านจริยธรรม
หนังเรื่องสำคัญที่ถูกสร้างภายใต้แนวคิดของการตั้งตนเป็น ?ขบถ? เดียวกัน และยังคงได้รับการจดจำจนบัดนี้ อาทิ 2001 : A Space Odyssey (1968), Rosemary?s Baby (1968), The Wild Bunch (1969), Midnight Cowboy (1969), Easy Rider (1969) ไปจนถึง M*A*S*H (1970), The Last Picture Show (1971), The Godfather (1972)
กล่าวอย่างรวบรัด ?นิวฮอลลีวู้ด? ที่อ้างถึงนี้(ซึ่งกินเวลาราวสิบกว่าปี หรือตั้งแต่ปี 1967-1981)นับได้ว่าเป็นยุคทองของหนังอเมริกันในแง่ของศิลปะและความคิดสร้าง สรรค์โดยแท้ ข้อสำคัญ แทบไม่ปรากฏว่า-เคยมียุคไหนที่ผู้ชมได้เห็นผลงานที่หนักแน่นในแง่ของ คุณภาพ-ถูกสร้างออกมาอย่างพร้อมเพรียงและต่อเนื่องเพียงนี้
จุดเริ่มต้นของการสร้างหนังเรื่อง Bonnie andClydeมาจากเดวิด นิวแมนกับโรเบิร์ต เบนตั้น สองนักเขียนบทหน้าใหม่ที่ไปได้อ่านหนังสือที่ชื่อว่า The Dillinger Days ของจอห์น โทแลนด์ เนื้อหาส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนั้น-บอกเล่าเรื่องราวการปล้นอันคึกคะนองของ บอนนี่ พาร์คเกอร์กับไคลด์ แบร์โรว์ สองโจรชื่อดังในช่วงต้นทศวรรษที่ 1930
เหตุผลสำคัญที่เรื่องของสองคนนี้เย้ายวนความรู้สึกของทั้งนิวแมนกับเบน ตั้น-ไม่ใช่การปล้นแบงค์ ซึ่งทั้งสองบอกว่า ฝีไม้ลายมือของพวกเขาอยู่ในขั้นย่ำแย่ แต่เพราะ ?การใช้ชีวิตแบบคนนอกกรอบและกฎเกณฑ์ของพวกเขา-มันสื่อสารกับ ?คนในยุคสมัยต่อต้านสงคราม (เวียดนาม)??
อย่างที่ข้อมูลหลายๆแหล่งมักจะระบุตรงกัน นิวแมนกับเบนตั้นคาดหวังว่าฟรังซัวส์ ทรุฟโฟต์จะเป็นคนกำกับหนัง เพราะพวกเขาชื่นชอบหนังของทรุฟโฟต์ที่เกี่ยวกับ ?คนที่ใช้ชีวิตโดยปราศจากกฎเกณฑ์? สองเรื่อง อันได้แก่ Jules and Jim (1961) และ Shoot the Piano Player (1962) แต่สุดท้าย โครงการสร้างหนังเรื่อง Bonnie andClydeก็ตกมาอยู่ในมือของคนที่กล่าวได้ว่าเหมาะสมน้อยที่สุด นั่นคือ ดาราหนุ่มเจ้าเสน่ห์ที่ชื่อวอร์เรน เบ็ตตี้
วอร์เรน เบ็ตตี้เป็นเสมือนผลผลิตของระบบสตูดิโอแบบเก่าโดยสมบูรณ์ กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาเติบโตมากับการปลุกปั้นของบริษัทวอร์เนอร์ บราเธอร์ส แต่ภายหลังจากสร้างแรงกระเพื่อมทางด้านชื่อเสียงได้พอสมควรจากผลงานชิ้นแรก เรื่อง Splendor in the Grass (1961) ของอีเลีย คาซาน ทีละน้อย ข่าวคราวเรื่องการควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า-ก็เปลี่ยนภาพลักษณ์ของเขาจากนักแสดง ดาวรุ่งที่น่าจับตามอง กลายเป็นเพลย์บอยหนุ่มเจ้าสำราญ
แย่ไปกว่านั้นก็คือ หนังที่เขาร่วมแสดง 2-3 เรื่องหลังจากนั้น ไม่ได้ไปเพิ่มคะแนนบวกให้กับตัวเอง อันที่จริง มันไม่ได้เป็นหนังเลวร้ายอะไร แต่ก็ไม่มีใครนึกอยากจดจำ และถึงแม้ว่าเบ็ตตี้จะพยายามฉีกบทบาทครั้งสำคัญ ด้วยการไปรับบทตัวตลกในไนต์คลับที่ปรารถนาจะเปลี่ยนแปลงตัวเองใน Mickey One (1965) ของโรเบิร์ต เพนน์ แต่ ?หนังอาร์ท? เรื่องนั้นก็ได้รับการกล่าวขวัญน้อยเกินไป และแทบไม่มีใครเคยดู
ทรุฟโฟต์เป็นคนเล่าโครงการหนังเรื่อง Bonnie andClydeให้เบ็ตตี้พิจารณา และหลังจากที่เขาได้อ่านบทหนังฉบับร่างแรกของนิวแมนกับเบนตั้น ชายหนุ่มก็กระโจนเข้าใส่หนังเรื่องนี้ทันที และไม่ใช่แค่ในฐานะของผู้แสดงเท่านั้น แต่เบ็ตตี้ยังควบรวมตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างด้วย อันหมายถึงการเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการหาเงินทุนมาสร้าง ตลอดจนคัดเลือกคนทำงานในระดับคีย์แมน
แม้ว่า Bonnie andClydeจะเป็นหนังในตระกูลแกงสเตอร์ซึ่งในตอนนั้น เชื่อกันว่ามัน ?ลงหลุม? ไปนานแล้ว แต่อย่างที่นิวแมนกับเบนตั้นบอกไว้ก่อนหน้า เนื้อแท้ของหนังมันสื่อสารกับผู้ชมที่เป็นคนหนุ่มคนสาวในยุคปลายทศวรรษที่ 1960 ด้วยเหตุนี้เอง โฟกัสของหนังจึงไม่ได้เน้นหนักที่การพาตัวเองมาเกี่ยวข้องกับโลกของ อาชญากรรม หรือการ ?ขึ้นและลงของตัวอาชญากร? เหมือนกับหนังแกงสเตอร์โดยมาตรฐานทั่วไป แต่เน้นหนักที่ความมีสีสันและชีวิตชีวาของตัวละครที่ใช้ชีวิตในฟากที่อยู่ ตรงกันข้ามกับกฎเกณฑ์
ขณะเดียวกัน หนังมุ่งสะท้อนให้ผู้ชมได้เห็นว่า บรรดาสถาบันทางสังคมทั้งหลาย-ล้วนแล้ว แห้งแล้ง เย็นชา นั่นรวมถึงพวก ?คนมีอายุ? ในหนังเรื่องนี้-ที่ไม่มีสักคนเดียวที่ดูเป็นมิตร
หนังไม่เคยบอกถึงเหตุผลที่นำพาให้บอนนี่ พาร์คเกอร์(เฟย์
ดันนาเวย์)กับไคลด์ แบร์โรว์(เบ็ตตี้)รวมหัวกันปล้นแบงค์อย่างจริงจัง
และถึงแม้ว่าตัวหนังสือในตอนต้นจะระบุว่า ทั้งสองมาจากครอบครัวที่ยากจน
บอนนี่เป็นสาวเสิร์ฟในร้านอาหาร
ส่วนไคลด์เป็นลูกชาวนาที่รับจ้างปลูกพืชผลทางการเกษตรให้กับพวกนายทุน
แต่ความยากจนข้นแค้นในทางเศรษฐกิจก็ยังคงไม่ใช่แรงจูงใจหลักอยู่นั่นเอง
ตอนที่ทั้งสองพบกัน บอนนี่ซึ่งอยู่ในสภาพกึ่งเปลือย-กำลังเบื่อหน่ายและอึดอัดกับความเป็นอยู่ รอบข้างเต็มที นอกจากสีหน้าท่าทางของเธอจะส่อแสดงไปทางนั้น การจับภาพของตัวละครในระยะประชิด ยิ่งช่วยเน้นบรรยากาศดังกล่าวให้ยิ่งเด่นชัด ดูเหมือนว่าสิ่งที่เธอต้องการอย่างเร่งด่วนในตอนนี้-ก็คือความตื่นเต้นอะไร สักอย่างในชีวิต
ด้วยเหตุนี้เอง
ทันทีที่เธอเห็นไคลด์กำลังด้อมๆมองๆเหมือนทำท่าจะขโมยรถยนต์ของแม่ของเธอ
แทนที่หญิงสาวจะร้องโวยวาย กลับตรงรี่ไปพูดคุยกับเขาด้วย
จุดประสงค์เพื่อยั่วเย้าและหยอกล้อ โดยที่ใช้เวลาไม่นาน
ทั้งสองก็พบว่าต่างฝ่ายมีแง่มุมที่ชวนดึงดูดกันและกัน
ไคลด์แทบไม่ต้องเสียเวลาคาดเดา-ก็รู้ได้ทันทีว่า บอนนี่ทำงานอะไร
ขณะที่ชายหนุ่มแนะนำตัวเองอย่างอวดๆว่า
เขาเพิ่งออกมาจากเรือนจำของรัฐด้วยคดีปล้น
แถมยังคุยเขื่องเสริมเข้าไปอีกว่า
ที่เขาเดินขาเขยกๆนี้-ก็เพราะใช้ขวานจามนิ้วเท้าตัวเองทิ้งไปสองนิ้วซึ่งมัน
ช่วยให้เขา ?ไม่ต้องถูกส่งไปทำงาน?
และเพื่อยืนยันว่า-เรื่องที่เพิ่งจะเล่าให้ฟังเป็นความจริง เขาไม่ได้เพียงแค่ชักปืนออกมาโชว์-ซึ่งหนังจงใจเน้นให้เห็นว่า มันเป็นเหมือนเครื่องประกาศ ?ความเป็นชายชาตรี? ที่เจ้าตัวภูมิอกภูมิใจ (แถมบอนนี่ยังลูบไล้มันอย่างมีนัยหยาบโลน) หากเขายังลงมือปล้นร้านขายของชำให้หญิงสาวได้เห็นเป็นขวัญตา
ซีเควนซ์เปิดเรื่องนี้ควรจะจบลงด้วยการที่ทั้งสองแนะนำชื่อเสียงเรียงนาม ของตัวเอง และพากันขับรถหนีไปท่ามกลางเสียงดนตรีแนวบลูกราสส์ที่ให้ความรู้สึกสนุกสนาน ร่าเริง แต่หนังกลับไม่ได้ยุติเพียงแค่นั้น หากยังแสดงให้เห็นว่า ความตื่นเต้นที่หญิงสาวร่ำร้องเรียกหามาช้านาน-มันไปปลุกเร้าอารมณ์ทางเพศ ของเธอ และเธอพยายามจะมีเซ็กซ์กับชายหนุ่มในระหว่างทาง แต่กลายเป็นว่า ถูกฝ่ายหลังบ่ายเบี่ยงปัดป้อง จนสุดท้าย ความต้องการของเธอก็ถูกปล่อยให้ค้างคา
ไคลด์ออกตัวทันทีว่า เขาไม่ใช่ทั้งนักรัก หรือพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน สิ่งที่ถูกละไว้ฐานเข้าใจก็คือ ชายหนุ่มมีปัญหาเรื่องสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งเดียวที่หนังเน้นด้านที่คาดไม่ถึงนี้ของตัวละคร ในอีกไม่นานจากนี้ ไคลด์ยังแกล้งทำเป็นกรนเสียงดังเพื่อหลบเลี่ยงโอกาสที่จะนำพาให้เขาต้องตก อยู่ในภาวะกระอักกระอ่วนอีกครั้ง และอีกสองสามฉากถัดจากนั้น หลังจากที่บอนนี่ยืนยันว่าไม่ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร เธอก็พร้อมจะขึ้นสวรรค์หรือลงนรกไปกับเขา ชายหนุ่มพยายามตอบสนองความภักดีของหญิงสาวด้วยเซ็กซ์ แต่มันก็ลงเอยเหมือนเดิม ภาพหนึ่งที่ผู้ชมได้เห็นในระหว่างนี้-ก็คือ บอนนี่ซบหน้ากับปืน-ซึ่งตอนนี้ มันเป็น ?สัญลักษณ์ทางเพศ? เพียงอย่างเดียวที่ยังคงสามารถพึ่งพา
หนังไม่ได้บอกกับผู้ชมตรงๆ หรือพยายามยกเหตุผลในทางจิตวิทยามาแจกแจงว่า ทำไม-ไคลด์ถึงมีอาการกามตายด้าน แต่พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว มันก็ไม่ได้ถึงกับไร้คำอธิบายโดยสิ้นเชิง บางที ไคลด์ แบร์โรว์อาจจะไม่ได้ผิดปกติอะไร เพียงแต่เขาก็เหมือนกับคนหนุ่มทั่วไป-ที่ความไม่ประสีประสาในหลายๆเรื่องราว ส่งผลให้สิ่งที่ลงมือทำเป็นครั้งแรกๆล้มเหลวไม่เป็นท่า แน่นอนว่า มันไม่ได้จำกัดเฉพาะเรื่องเพศ
อย่างในการปล้นแบงค์ครั้งปฐมฤกษ์ หนังให้เห็นว่าท่าทางของเขาประสาท และคำพูดที่เขาพยายามปลอบให้บอนนี่คลายความกังวล-กลายเป็นการบอกกับตัวเอง
ผลลัพธ์ของการปล้นธนาคารครั้งแรกลงเอยด้วยการที่ไคลด์ทะเล่อทะล่าเข้าไป ในแบงค์ที่เพิ่งจะเจ๊งไปได้สามสัปดาห์ และเพื่อไม่ให้เสียหน้าซึ่งเป็นเรื่องที่คนหนุ่มถือสายิ่งกว่าอะไร เขาต้องบังคับให้พนักงานที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวมาอธิบายข้อเท็จจริงให้บอน นี่ ซึ่งทันทีที่เธอได้ยิน-ก็ขำกลิ้ง
ยังมีอีกสองสามเรื่องที่ผู้ชมจับได้ว่าไคลด์เพิ่งจะได้ลิ้มรสชาติเป็น ครั้งแรก อย่างเช่นในการปล้นร้านขายของชำฉากถัดมา นอกจากมันไม่ราบรื่นง่ายดายเหมือนตอนต้น เขายังเกือบจะถูกคนขายเนื้อสับด้วยมีดเล่มโต หลังจากกอดรัดฟัดเหวี่ยงอย่างทุลักทุเล สุดท้าย ชายหนุ่มต้องใช้ด้ามปืนฟาดที่หัวของหมอนั่นจนเลือดกระจาย ก่อนที่เขาจะหนีขึ้นรถที่บอนนี่ติดเครื่องรอ คำพูดระล่ำระลักของไคลด์ในทำนองว่า เขาไม่เข้าใจว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร(?ทำไมเขาถึงพยายามจะฆ่าผม ผมไม่ได้ต้องการจะทำร้ายเขาสักนิดเดียว?) สะท้อนถึงความอ่อนหัดและไร้เดียงสาอย่างชัดเจน
แต่เหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจของไคลด์อย่างหนักหน่วงรุนแรง-ก็คือ ตอนที่เขาฆ่าคนตายเป็นครั้งแรก ฉากนี้เริ่มต้นอย่างเบาๆ กระทั่งคนทำหนังตั้งใจให้ผู้ชมขบขันด้วยซ้ำ เมื่อซี.ดับลิว.มอสส์(ไมเคิล เจ. พอลลาร์ด) ผู้ช่วยจอมทึ่มพยายามจอดรถชิดขอบทางเพื่อให้ถูกกฎจราจรในระหว่างที่เฝ้ารอ บอนนี่กับไคลด์บุกจู่โจมเข้าไปปล้นธนาคาร แต่แล้ว ในท่ามกลางความโกลาหลของเหตุการณ์และสัญญาณเตือนภัย เจ้าหนุ่มก็ต้องถอยเข้าถอยออกอยู่นานกว่าที่จะเคลื่อนรถออกมาได้ แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น หนึ่งในเจ้าหน้าที่ธนาคารกระโดดเกาะท้ายรถของทั้งสาม ไคลด์ซึ่งไม่มีทางเลือกต้องยิงใส่ใบหน้าในระยะเผาขน แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ได้สั่งให้หยุดรถเพื่อดูผลงานของตัวเอง แต่ทั้งเขาและผู้ชมก็แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเหยื่อเคราะห์ร้ายคนนั้น-คงไม่ รอด
ฉากถัดมาในโรงภาพยนตร์-ตอกย้ำกับผู้ชมอีกครั้งว่า ถึงแม้ไคลด์จะโลดแล่นอยู่ในโลกอาชญากรรมมาพอสมควร แต่อาการประสาทเสียและควบคุมตัวเองแทบไม่ได้-สำทับความจริงที่ว่า เขาไม่เคยถลำลึกมาไกลถึงเพียงนี้ มันเป็นบรรยากาศที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงกับภาพบนจอที่บรรดานางระบำกำลัง ร้องและร่ายรำไปกับเพลง ?We?re in the Money? จากหนังเรื่อง Gold Diggers of 1933ในทางกลับกัน บอนนี่เป็นคนเดียวที่กุมสติของตัวเองไว้ได้ กระทั่งปล่อยตัวปล่อยใจไปกับภาพเคลื่อนไหวเบื้องหน้า แต่กล่าวไปแล้ว ผู้ชมได้เห็นความเด็ดเดี่ยวและเยือกเย็นของเธอมาตั้งแต่ก่อนหน้า และทั้งๆที่ยังพอมีช่องทางเล็กๆให้เธอได้กลับเนื้อกลับตัว และไคลด์ก็แสดงความปรารถนาดีด้วยการขอให้เธอแยกทางไปเพื่อสวัสดิภาพของตัว เอง แต่หญิงสาวก็ไม่เคยแสดงท่าทีลังเล
ดังที่ได้ระบุไว้แล้ว หนังไม่เคยบอกตรงๆว่า สองหนุ่มสาวตัดสินใจปล้นแบงค์ด้วยเหตุผลกลใด แต่ไอเดียนี้ผุดขึ้นมาหลังจากที่ไคลด์ได้รับรู้เรื่องของชาวนาคนหนึ่งกับ ครอบครัวของเขา-ต้องสูญเสียบ้านและที่ทำกินของตัวเองให้กับธนาคาร คำพูดของไคลด์ในตอนที่เขาแนะนำตัวบอนนี่และตัวเองกับคนเหล่านั้นก็คือ ?นี่คือบอนนี่ พาร์คเกอร์ ส่วนผมไคลด์ แบร์โรว์ ?พวกเราปล้นธนาคาร?
สีหน้าของไคลด์ ไม่ได้บ่งชี้ไปในทางที่ว่าเขาเห็นอกเห็นอกใจพวกชาวนา และต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้แค้นแทน แต่มันเหมือนกับเขาเพิ่งคิดออกว่า พวกเขาควรจะทำอะไรที่จะสร้างชื่อให้กับตัวเอง ความต้องการที่จะได้เป็น ?ตำนาน? ของไคลด์ ได้รับเน้นอย่างเป็นรูปธรรมในตอนท้าย เมื่อบอนนี่เขียนบทกวีที่เล่าเรื่องราวของทั้งสอง ภายใต้ชื่อ ?The Story of Bonnie andClyde? ส่งไปลงหนังสือพิมพ์ ชายหนุ่มไม่ปิดบังความเบิกบาน เขาบอกบอนนี่ว่า-เธอได้ให้ในสิ่งที่เขาต้องการ และนั่นคือ ?เธอทำให้ฉันกลายเป็นคนที่พวกเขาต้องจดจำ? เพื่อยืนยันความสำคัญของฉากนี้ ทั้งสองร่วมรักกันอีกครั้ง และคราวนี้ มันลุล่วงไปด้วยดี
ตรงกันข้ามกับความมีชีวิตชีวาของสองหนุ่มสาว ผู้คนในฟากกฎหมายเต็มไปด้วยแห้งแล้งเย็นชา นอกจากไม่มีใครสักคนที่ดูมีเสน่ห์เย้ายวน ผู้ชมยังไม่นึกอยากผูกพัน แต่นั่นไม่ร้ายเท่ากับหนังตั้งใจให้เห็นว่า คนพวกนั้นเลือกใช้วิธีการ ?ไม่ซื่อ? และ ?แฝงด้วยเล่ห์เหลี่ยม? ในการจัดการกับแก๊งของบอนนี่กับไคลด์
หัวเรี่ยวหัวแรงได้แก่มือปราบเท็กซัส(เดนเวอร์ ไพล์)ที่ครั้งหนึ่ง เคยเสียท่าให้กับคนทั้งสอง และไม่ลดละความพยายามที่จะจัดการกับสองหนุ่มสาวให้ได้ เขาไม่เพียงบีบให้แบลนช์(เทลล์ พาร์สัน) เมียของบัค(จีน แฮ็คแมน) พี่ชายของไคลด์-เปิดเผยชื่อจริงของมอสส์ เพื่อใช้เป็นช่องทางในการเข้าถึงเป้าหมาย หากยังต่อรองกับพ่อของมอสส์-ให้ฝ่ายหลังร่วมมือในเล่นงานบอนนี่กับไคลด์ โดยแลกกับการที่ลูกชายของเขาได้รับโทษที่เบาลง
อันที่จริง ผู้ชมทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้อยู่แล้วว่า จุดจบของบอนนี่กับไคลด์เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่พ้น และหนังก็แทรก ?ลางร้าย? ไว้หลายครั้ง อย่างในฉากที่พวกเขาหยอกล้อกับหนุ่มบ้านนอก(จีน ไวลเดอร์)และแฟนสาว-โดยหารู้ไม่ว่าหมอนั่นเป็นสัปเหร่อ หรือในคำพูดของแม่ของบอนนี่ในช่วงที่ทั้งสองร่ำลากัน
แต่สิ่งที่หลายคนอาจจะนึกไม่ถึงก็คือ ระดับความป่าเถื่อนและโหดเหี้ยมของการฆ่า อันที่จริง สถานการณ์ของทั้งบอนนี่กับไคลด์ในขณะนั้น-ก็พาตัวเองมาติดกับอยู่แล้ว และโอกาสหนีรอดก็น้อยเหลือเกิน แต่ความจริงข้อนี้-ไม่ได้ทำให้ฝ่ายรักษากฎหมาย(ซึ่งผู้ชมแทบไม่ได้เห็นโฉม หน้า)หันไปใช้วิถีทางที่ละมุนละม่อม ทว่ากลับยิงถล่มด้วยกระสุนนับร้อยๆนัดโดยที่อีกฝ่ายไม่มีโอกาสที่จะต่อสู้
กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว ความสำเร็จในระดับปรากฏการณ์ของหนังเรื่อง Bonnie andClydeและหนังที่ว่าด้วยเรื่องของคนหนุ่มสาวอีกหลายเรื่องที่ออกฉายในช่วง ไล่เลี่ยกัน-ถือเป็นการส่งสัญญาณตรงๆว่า พวกเขาทั้งไม่พอใจและไม่เห็นด้วยกับอะไรต่ออะไรที่พวกผู้ใหญ่วางกรอบให้เดิน และสิ่งที่พวกเขาต้องการ-ก็คือ การสังคายนาครั้งมโหฬาร
ประการสำคัญ มันเป็นเหมือนกับเพลงสำคัญของยุค 1960 ที่บ็อบ ดีแล่นร้องไว้ นั่นคือ ?The Times, They Are A-Changin?? ช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงได้มาถึงแล้ว