ขอเกริ่นนำเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ

แต่แรกนั้น บรรดาฟิล์มภาพยนตร์ตัวอย่างหนังไทยเหล่านี้ ผมไปเจอที่พิพิธภัณฑ์วัดหนองกลับ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2549 เนื่องจากได้แนะนำหนังเก่าให้ผู้ผลิตหนังแผ่นรายหนึ่งไว้ เผื่อหวังเล็กๆ ว่าจะได้เห็นในรูปแบบวีซีดีอีกครั้ง

ส่วนฟิล์มภาพยนตร์ตัวอย่างดังกล่าวนั้น ผมตั้งใจ (แบบหวังลึก ๆ) ว่าจะนำไปให้บริษัท SOHO ASIA (ซึ่งเป็นบริษัทที่ ผู้ผลิตหนังไทยเก่า ก็คือ ทริปเปิ้ล เอ็กซ์ ได้ไปใช้บริการเทเลซีน ล่าสุดได้ปิดกิจการไปแล้ว) ทำการเทเลซีนเผื่อไว้เป็นสมบัติส่วนตัวและส่วนรวม แต่...ปัญหาก็คือ ราคาค่าเทเลซีน แพงมากครับ ชั่วโมงเป็นหมื่นบาทเลยทีเดียว ยิ่งถ้ามีการปรับแต่งสีด้วย ค่าใช้จ่ายก็จะบานปลายมากขึ้นกว่าเดิม และปัญหาอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ เทปที่ใช้ในการเทเลซีนนั้น เป็นเทปเบต้าแคมครับ ไม่ได้รองรับระบบ DV สรุป...เรื่องการเทเลซีนนี้เป็นอันตกไป ส่วนฟิล์มหนังตัวอย่างนั้น ผมเลยเก็บไว้ก่อน จนกว่าทางผู้ผลิตแผ่นเค้าเทเลซีนเสร็จแล้ว ก็จะส่งฟิล์มคืน

จนเวลาผ่านไปเมื่อฟิล์มภาพยนตร์ 16 ม.ม. ส่งกลับคืนมา ท้ายที่สุด ฟิล์มชุดนี้ก็ไม่ได้ทำ และได้นำกลับไปคืนที่พิพิธภัณฑ์ ฯ ตามเดิม

อย่างไรก็ตาม ตอนที่นำฟิล์มมาตรวจสอบ - ทำความสะอาด - ซ่อมแซม ก็ได้นำเศษฟิล์มที่ถูกตัด สั้นบ้าง ยาวบ้าง เพราะมีบางท่อนเริ่มบิดเบี้ยวเนื่องจากใกล้หมดอายุ เก็บไว้ เผื่อหวังจะนำภาพเศษฟิล์มดังกล่าวมาโชว์อย่างที่จะนำเสนอต่อไปนี้ครับ

W/M Edit: 25 กันยายน พ.ศ. 2556

ส้มตำ (พ.ศ. 2516)

ผู้กำกับ        สุพรรณ พราหมณ์พันธ์

นำแสดง       สมบัติ เมทะนี , พิศมัย วิไลศักดิ์

ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้มีส่วนคล้ายกับที่ออกฉายเมื่อปีที่แล้วนะครับ อันนี้เป็นหนังแอ๊คชั่นเกี่ยวกับสายลับ ตามสไตล์ของผู้กำกับ ที่เคยมีผลงานมาแล้วอย่าง เล็บครุฑ , เก้ายอด , ตะบันไฟ ตะไลเพลิง (2 เรื่องสุดท้ายนี้ เคยผลิตเป็น VCD มาแล้ว ยังพอหาได้แถว ๆ คลองถมครับ)

สำหรับฟิล์มภาพยนตร์ที่คุณสุพรรณ พราหมณ์พันธ์ สร้างออกมานั้น ตอนแรกก็ได้พบฟิล์มเนกาตีฟต้นฉบับที่เคยส่งไปล้างและพิมพ์ฟิล์มฮ่องกงทุกเรื่อง แต่...เนื่องจากไม่ได้เก็บรักษาอย่างถูกวิธี ทำให้ฟิล์มเนกาตีฟเสียหายทั้งหมดจนไม่สามารถนำไปพิมพ์ใหม่ได้แล้ว รวมทั้งเรื่องนี้ด้วย ไม่งั้นคงได้เห็นหนังในฉบับที่สวยสดกว่านี้ ส่วนเรื่อง เก้ายอด และตะบันไฟ ตะไลเพลิง นั้น เป็นการเทเลซีนฟิล์มฉบับฉายซึ่งใช้งานมาอย่างโชกโชน

แดงอังคาร (พ.ศ. 2519)

ผู้กำกับ        เนรมิต

นำแสดง       กรุง ศรีวิไล , สรพงษ์ ชาตรี , อรัญญา นามวงษ์ , เรวดี ปัตตพงศ์

มีฟิล์มอยู่ที่หอภาพยนตร์แห่งชาติ และยังไม่มีการทำ VCD ครับ

ดับเครื่องชน (พ.ศ. 2520)

ผู้กำกับ        ชาย มีคุณสุต

นำแสดง       กรุง ศรีวิไล , สรพงษ์ ชาตรี , อรัญญา นามวงษ์ , เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์

ทางชีวิต (พ.ศ. 2520)

ผู้กำกับ        สมวงศ์ ทิมบุญธรรม

คนหลายเมีย (พ.ศ. 2521)

ผู้กำกับ        วินิจ ภักดีวิจิตร

จำเลยรัก (พ.ศ. 2521)

ผู้กำกับ        เผด็จ ภักดีวิจิตร

นำแสดง       ไพโรจน์ สังวริบุตร , เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์

สังเกตเส้นเสียงบนฟิล์ม เป็นแบบโมโน ครับ แต่เสียดายอีกท่อนหนึ่งซึ่งเป็นภาพของนางเอกหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ปัจจุบันมี VCD ขายแล้ว โดย Happy Time

แรกรัก (พ.ศ. 2521)

ผู้กำกับ        ไมค์ โพธินาน

นำแสดง       มนัสชนก ส่งศรีสุข , ไพโรจน์ สังวริบุตร

หัวใจห้องที่ 5 (พ.ศ. 2521)

ผู้กำกับ        ชุติมา สุวรรณรัต

จริง ๆ ยังมีมากกว่านั้นนะครับ เพียงแต่ว่าฟิล์มไม่ได้มีรอยเสียหาย เช่น 12 สิงห์สยาม , แม่ปลาช่อน และ ดอกคูณ เสียงแคน ซึ่งเรื่องหลังนี้ฟิล์มเป็นเส้นฝนมากจนมองไม่เห็นภาพครับ ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ตอนนี้อยู่ในพิพิธภัณฑ์ ฯ แล้ว ผมไม่อาจที่จะไปขอยืมได้อีกแล้วครับ

ส่วนภาพฟิล์ม 35 มม. หนังขาว-ดำ กับ ภาพเดินแฟชั่นนั้น เป็นภาพยนตร์ข่าวซึ่งผมเจอพร้อม ๆ กับฟิล์มตัวอย่างเหล่านี้ และปิดท้ายด้วยฟิล์มภาพยนตร์ 16 มม. เรื่อง "สันกำแพง" (ประมาณ พ.ศ. 251... ไม่แน่ใจครับ) ซึ่งตัวฟิล์มได้เทเลซีนแล้ว กระทั่งล่าสุดทางบริษัท ฯ ได้ระงับการผลิตไว้ก่อน เนื่องจากหาบทพากย์ฉบับสมบูรณ์ไม่ได้ อีกทั้งตัวฟิล์มถูกตัดสลับฉาก ทำให้ไม่ตรงกับเนื้อเรื่องอีกต่างหาก ที่หนักยิ่งกว่านั้น ฟิล์มหนังถูกซอยออกไปด้วย คุณมนัสเล่าว่า ส่วนที่หายไปนั้นล้วนเป็นฉากที่มีความสำคัญทั้งสิ้น เพราะอารมณ์ของหนังจะต่อเนื่อง เพราะหนังจะเล่าเรื่องคนทั้ง 2 รุ่น ก็คือ รุ่นผู้ใหญ่และรุ่นลูก นอกจากนี้ยังมีช่วงที่เป็นฉากร้องเพลงได้ถ่ายทำเป็นฟิล์ม 35 มม. ด้วย ก็ไม่พบอีกเช่นกัน เลยยังไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ดูหรือไม่ แม้ว่าจะมีเสียงเรียกร้องให้ทำออกมาก็ตาม เพราะคนดูรุ่นใหม่เคยดูฉบับที่สร้างเป็นครั้งที่สอง โดยผู้อำนวยการสร้างคนเดิม แต่นำแสดงโดย สรพงษ์ , นันทิดา ครับ

ตะกี้นี้พิมพ์ไปเยอะมาก จู่ ๆ ไฟดับซะแล้ว

ที่เอามาโชว์นี้เป็นเศษฟิล์มท่อนสั้น ๆ ครับ ความยาวตั้งแต่ 1 คืบ (ประมาณ 5 - 6 เฟรม) ไปจนถึงประมาณ 1 ศอก นอกนั้นผมกลับคืนพิพิธภัณฑ์ ฯ ไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 แล้วครับ

พอได้อ่านบทความของครูนุจบแล้วทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าความจริงแล้วที่สตูดิโอของผมก็พอจะมีเครื่องไม้เครื่องมือในการแปลงสัญญานฟิมล์หนังไปเป็นแผ่นดีวีดีได้เหมือนกันนี่หว่าแล้วทำไม๊ไม่ทำว่ะเนี่ย 555 ทุกวันนี้ผมมัวแต่ไปนั่งทำหนังเก่าๆใส่เสียงพากย์หนังสายอีสานในยุคที่โด่งดัง อาทิเช่นโกญจนาท วราลักษณ์ มหาราช พงษ์พิทักษ์ ศุภชัย และนันทวันและท่านอื่นๆอีกนับร้อยๆเรื่องแต่ทำไมมองข้ามหนังของครูนุไปได้นี่ เอางี้ดีไม๊ครูนุผมว่าเรามาทำโครงการเล็กๆไว้ดูในบ้านกันดีกว่าโดยเริ่มจากหนังตัวอย่างโฆษณาสินค้าเก่าๆในอดีตและภาพข่าวในอดีตจะเป็นฟิมล์ 8 ม.ม. 16 ม.ม. 35 ม.ม. ทางเราทำได้หมดครับเอาไว้เผื่อถ้าในอนาคตเกิดฟิมล์ที่มีค่าเหล่านี้ได้สูญเสียไปเราก็ยังเหลือแผ่นดีวีดีเอาไว้เก็บเป็นประวัติศาสตร์ให้รุ่นลูกหลานเราได้ดูต่อไปดีกว่าครับเพราะถ้าไปจ้างเขาทำผมว่าต้องมีค่าใช้จ่ายมากแน่ๆเลย ถ้าครูนุไปร่วมงานที่โรงหนัง BMC ก็อย่าลืมถือฟิมล์ไปด้วยเลยผมจะได้จัดการให้นะครับ (ข้อสำคัญขอให้เช็คสภาพฟิมล์และต่อให้เรียบร้อยเวลาเอาเข้าเครื่องฉายจะได้ไม่มีปัญหาครับหรืออาจจะมีน้อยที่สุด)  สรุปยินดีที่เป็นหนึ่งในส่วนร่วมการอนุรักษ์ฟิมล์เก่ากับครูนุนะครับ (จะเป็นหนังของอินเดีย ฝรั่ง ไทย จีนก็ได้นะครับแต่ต้องเป็นหนังที่เก่าๆจริงๆครับ)

เมื่อคืนผมเอาฟิล์มชุดดังกล่าวมาต่อรวมกัน (แบบลวก ๆ) ไว้ก่อน เพื่อที่จะถ่ายภาพและนำมาโพสต์ในอีก 2 - 3 วันครับ

ขณะนี้อยู่ระหว่างการเลือกหนังตัวอย่างเก่าอยู่ เพราะกระจัดกระจายไปทั่ว ดั่งรูปที่เห็นในหัวข้อ ครอบครัวอบอุ่น นั่นแล (ห้องชายโสด ก็รกแบบนี้ละครับ อิอิ)

ครูนุ ผมก็มีตัวอย่างเก่าอยู่ม้วนนึงครับ แต่ไม่เก่าขนาดของครูนุที่ Post เป็นม้วนที่ผมซื้อเก็บไว้ในครั้งแรกเลย

เมื่อ เกือบๆ 15-20 ปีที่แล้ว สียังไม่ fade ไว้มีโอกาสได้เจอกันจะเอาไปฝากนะครับ (ม้วนนี้เป็นที่มาของคำว่า

POP FILM ครับ) เพราะว่าอยู่กับครูนุน่าจะมีประโยชน์มากกว่าอยู่กับผม อีกอย่างเมื่อก่อนมันเป็น Idol ของผมเอง

แต่เดี๋ยวนี้มีหลายม้วนแล้วครับ มันเลยอยู่ในตู้โชว์เฉยๆ เอาม้วนอื่นมาโชว์แทนได้ครับ

ปล. สมัยล้อต๊อก และหนังกำลังภายใน หรือหนังไทยยุคตำรวจมาทีหลังตอนจบนะครับ (Scope ทั้งม้วน)

โฮ่ๆๆ ยังงัวเงยอยู่ พิมพ์ชื่อตัวเองผิดซะงั้น POP FILM ครับผม