น้อง.พี่.ที่รัก (2018, dir: วิทยา ทองอยู่ยง)
มีความรู้สึกทั้งรักทั้งชังหนังเรื่องนี้ ส่วนจะเทไปทางไหนมากกว่าถึงตอนนี้ก็ยังไม่แน่ใจ แต่หนังมีแนวโน้มที่พอเวลาผ่านไป มันอาจจะค่อยๆ งอกงามขึ้นในความรู้สึกอีกครั้งเหมือน "ความจำสั้นแต่รักฉันยาว" "บ้านฉันตลกไว้ก่อนฯ" เคยทำไว้ก็ได้
สปอยล์ร้อยเปอร์เซ็นต์
แนะนำว่าดูหนังจบแล้วค่อยมาอ่านนะครับ
-ตอนแรกมีปัญหามาก รู้สึกผิดที่ผิดทางกับซันนี่ที่สุด หนักกว่าตอนดูแกใน "พรจากฟ้า" ด้วย อาจจะเพราะไปเลือกเปิดที่ร้านยาดองมั้ง แล้วมวลๆ ของตัวละคร บรรยากาศ จังหวะ ทุกอย่างในซีนเปิดที่เราไม่เชื่อ เราเลยค่อนข้างมีปัญหาหนัก
- ทีนี้มากลับจูนได้ตอนญาญ่าเข้ามาในเรื่อง ไปเดินเรื่องตอนสมัครงาน เจอนิชคุณ ตรงนั้นเริ่มรู้สึกว่าเออ หนังน่าจะมีส่วนที่ทำงานกับเราได้แล้วแหละ ด้วยความที่เส้นยาย่ามันจริงจัง มันถกเถียงและพูดถึงปัญหาของชีวิตจริงๆ เป็นการตั้งคำถามถึงสถานการณ์เฉพาะหน้าที่ต้องการการตัดสินใจ (การทำงาน, การแก้ปัญหางาน, การแก้ปัญหาชีวิตรัก ฯลฯ) ในขณะที่พาร์ทซันนี่เหมือนตัวละครที่ติดอยู่กับอดีต ไม่ยอมเคลื่อนที่ไปไหน ตรงข้ามตัวญาญ่าเค้าเคลื่อนตลอดเวลา เลยค่อนข้างจูนกับน้องมากกว่า
-อีกนัยหนึ่ง หรือเพราะเรายืนอยู่ในจุดเดียวกับที่ซันนี่ยืนอยู่ด้วยมั้ง เราเลยรู้สึกสนใจมุมมองของ "คนเป็นน้อง" มากกว่า ยิ่งหนังใช้ตัวน้องมองสะท้อนให้เห็นตัวพี่ชัดขึ้นเรื่อยๆ แล้วปัญหาของเรื่องที่เกิดมันเป็นปัญหาที่กระจุกอยู่กับฝ่ายน้องเป็นหลัก โดยพี่เป็นคนก่อ เลยยิ่งชัดในการจะตาม
-แต่ทั้งนี้ไม่ใช่ความผิดของซันนี่นะ ที่เราตามเค้าไม่ได้ ในแง่หนึ่งถ้าซันนี่ไม่เล่นแบบนี้เพื่อประครองให้มุมจากฝั่งน้องมันออกมาชัด เราก็อาจพลอยไม่เข้าใจน้องไปอีกคนเลยก็ได้ ปัญหาของเรากับตัวละครซันนี่ในเรื่อง เลยสรุปกับเพื่อนที่ได้ดูด้วยกันว่าเป็นปัญหาของ "ผู้ชายคนละแบบ" หมายถึงว่าเราจะไม่เข้าใจธรรมชาติของเค้าเลย ในเมื่อเราเป็นคนละแบบกับเค้า วิธีคิด การตัดสินใจ การเลือกจะทำหรือไม่ทำอะไรต่างๆ ของตัวละครนี้ตลอดเรื่อง ตรงข้ามกับความเชื่อที่เรามี เราเลยไม่ซื้อ
-ดูๆ ไปมีช่วงที่เราสนุกคือช่วงญาญ่า ประทะซันนี่ ดูแล้วคุ้มทุกฉาก พอช่วงหลังที่เค้าต้องแยกไปเรื่องตัวเอง เราก็จะเผลอไปตามเรื่องของญาญ่ามากกว่าตลอด คงเป็นเพราะเหตุผลข้างต้น อีกประการเราว่าปัญหาที่ตัวละครนี้มันเผชิญนอกจากจะจริงแล้ว มันยังเป็นผลพวงที่สั่งสมมาทั้งเรื่องที่คนดูเข้าใจได้ มันมีทั้งปัญหาจากปัจจัยภายนอก-ภายใน ในขณะที่ปัญหาของตัวละครซันนี่มันมีแต่ปัญหาพฤติกรรมเสียส่วนใหญ่ ซึ่งเราพอไม่เข้าใจตัวละครอย่างแกแล้ว เราเลยหลุดยาวเลย
-แต่พอหนังเลิกตลก และเลือกจริงจังขึ้นมาโดยเฉพาะไปญี่ปุ่นแล้ว เริ่มรู้สึกว่าหนังให้เวลาเราเข้าใจตัวละครนี้มากขึ้น ถึงจะไม่เข้าใจการกระทำ แต่ก็เข้าใจธรรมชาติของแกได้ว่า แกเป็นคนประเภทที่ไม่คิดเปลี่ยนตัวเองเลย ซึ่งเป็นปัญหาหลักที่หนังพร่ำบอกมาตลอดถึงตัวละครนี้ ส่วนน้องสาวคือคนตรงกันข้าม นี่คือคนที่พยายามเรียนรู้ ปรับตัว และเอาตัวรอดจากสถานการณ์ต่างๆ ตลอดเวลา
-มันมีประเด็นหนึ่งในหนังที่เราชอบมาก และรู้สึกไปเองว่าอาจอธิบายตัวละครนี้ให้เราเข้าใจมากขึ้นคือ ธรรมชาติของพี่ชาย-น้องสาว มักจะมีปัญหาคลาสสิคร่วมกันตรง พี่ชายจะไม่สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของน้องสาว จาก "เด็กสาว" ไปสู่ "หญิงสาว" ได้ กล่าวคือเมื่อน้องอายุถึงวัยที่เริ่มแตกสาวแล้ว ความสนิทสนม ความสัมพันธ์ระหว่างกันจะเปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน จนตัวพี่ชายปรับตัวไม่ทัน เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ขึ้นซึ่งเราไม่สามารถถมเต็มได้ทัน เช่น เราไม่สามารถให้คำปรึกษาเรื่องความรักได้ เราไม่สามารถให้คำปรึกษาเรื่องสภาพร่างกายที่เปลี่ยนไปได้ เราไม่สามารถเข้าใจสภาวะอารมณ์ที่ขึ้นๆ ลงๆ ตามอาการผู้หญิงได้ ฯลฯ เหล่านี้อาจช่วยอธิบายความสัมพันธ์ของคู่นี้สำหรับเราขึ้นมาได้
-อีกประการที่หนังปูไว้ในซีนเล็กๆ แล้วดี แต่ไม่เห็นอีกเลย (แอบเสียดาย) คือซีนที่ซันนี่เตะยากันยุงเข้าไปใกล้ๆ ญาญ่าระหว่างนั่งคุยกันในโรงเรียนเก่า เรารู้สึกว่ามันเป็นซีนที่อธิบายความกระอักกระอ่วนของประเด็นที่เพิ่งพูดไปข้างต้นได้ดี คือพี่ชายที่ไม่รู้จะ "ดูแลน้องที่กลายเป็นสาวไปแล้วอย่างไรดี" หรือในอีกทางหนึ่ง มันเข้ากับธรรมชาติผู้ชายเหมือนกันตรงที่แสดงความรักไม่เป็น ฉะนั้นหนังเลยให้ตัวละครซันนี่มีปัญหาเรื่องความรักไปด้วย ไม่ใช่คนที่ไม่มีความสัมพันธ์กับใคร อันนั้นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เป็นคนที่มีความรักไม่เป็น เพราะไม่รู้ว่าจะบอกความรู้สึกรักและทำอย่างไรให้อีกฝ่ายเชื่อในสิ่งเดียวกัน ตรงข้ามกับตัวละครนิชคุณที่เพียรทำสิ่งนี้มาทั้งเรื่อง
-เปรียบเป็นนิชคุณคือผู้ชายที่แสดงความรักออกมาเป็น และพร้อมจะเป็นที่รัก แต่ผู้ชายแบบซันนี่ในเรื่องคือคนที่แสดงความรักไม่เป็น และยังไม่พร้อมจะเป็นที่รัก ยอมให้คนเกลียดดีกว่า เพราะเชื่อว่าอย่างน้อยๆ อีกคนก็ยังมีความรู้สึกต่อตนอยู่
-อย่างไรก็ตาม ถึงจะไม่ชอบช่วงงานแต่ง ลามไปจนถึงช่วงญี่ปุ่นแทบทั้งก้อนเลย แต่มีซีนเล็กๆ ซีนหนึ่งที่ดันชอบมากๆ อยู่ เป็นซีนที่ซันนี่นั่งคุยกับหลานตัวเอง (ลูกชายคนโตของญาญ่า) ว่าให้ดูแลน้องสาวดีๆ นะ เป็นพี่คนแล้ว ซีนนี้มันดีมากตรงที่มันอุ้มประเด็นที่เราอยากให้ตัวละครพูดมาทั้งเรื่อง คือ แกไม่ใช่พี่ชายที่ห่วยแตกสุดอย่างที่ตัวละครแทบทุกตัวในเรื่องพูด ไม่เว้นแม้กระทั่งน้องสาวตัวเอง แต่แกแค่โตตามน้องสาวไม่ทัน
-ความพ่ายแพ้ของตัวละครซันนี่สำหรับเราจึงไม่ใช่ความเป็นคนห่วยแตก มนุษยสัมพันธ์แย่ ขาก สถุล ไร้มารยาท แต่เป็นคนที่ติดกับความไม่ยอมโต คนประเภทที่กว่าจะรู้ตัวอีกที ทุกคนรอบด้านล้วนเติบโตไปไกลกว่าเขาแล้ว โดยเฉพาะน้องสาวตัวเอง แม้แต่น้องสาว ความทรงจำที่เธอมีต่อเขาจริงๆ คือการที่เขาเคยเป็นพี่ชายที่แสนดีในอดีต คนที่เคยเป็นแรงบันดาลใจให้เธอหลงรักการ์ตูนญี่ปุ่น หลงรักประเทศญี่ปุ่น และหลงรักคนญี่ปุ่นในที่สุด แต่เขากลับไม่เคยโตตามเธอ เขายังเป็นเด็กชายที่หลงไหลในการ์ตูนญี่ปุ่น หลงไหลกับการเป็นพี่ชายของน้องสาวคนนี้อยู่ ฉะนั้นการวางก้ามในหลายๆ ครั้งของตัวละครซันนี่ในเรื่อง ก็คือการเป็นตัวของตัวเองในอดีต เป็นคนที่คอยปกป้องและดูแลน้องสาวของเขาเหมือนสมัยเด็กๆ นั่นแหละ แต่เขาลืมไปว่า น้องสาวได้เติบโตและมีชีวิตจนมีชีวิตเป็นของตัวเองไปแล้ว
-สำหรับเราประเด็นนี้ค่อนข้างชัด ไม่ใช่แค่ตัวน้องสาวเองที่เติบโตแซงหน้าตัวพี่ชาย แต่ยังรวมถึงเด็กฝึกงานที่แกเคยหยอดหยอกมา กลับกลายเป็นคนทำงานทำการแข็งขัน ถึงขั้นมีส่วนสำคัญในการแก้ปัญหาการงานให้แกในบั้นปลายด้วย เพียงแค่แกยังไม่รู้ตัว
-และกว่าจะรู้ตัวอีกที น้องสาวก็ไปสร้างครอบครัวของเธอเอง ครอบครัวที่เหมือนจำลองครอบครัวเดิมของเธอ มีลูกชายและลูกสาว ฉากนั้นซันนี่จึงไม่ได้แค่ฝากภาระการเป็น "พี่ชาย" ให้กับหลานของเขาเพื่อดูแลหลานสาวอีกคนที่เพิ่งเกิด แต่ยังฝากภาระการเป็น "พี่ชาย" ให้คอยดูแลน้องสาวของเขา ที่บัดนี้กลายเป็นแม่คน
-เพราะแกรู้ตัวแล้ว .. ว่าแกไม่อาจเติบโตตามน้องสาวคนนี้ไปให้ทันกันจริงๆ