Girl Don't Cry (2018, dir: นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์)
ชอบมวลๆ ความรู้สึกของการดูเรื่องนี้นะ เรารู้สึกว่าเป็นหนังที่มนุษย์ที่สุดเรื่องหนึ่งของพี่เต๋อ คงเพราะมันพูดเรื่องความเปราะบาง อ่อนไหวของผู้หญิง เราชอบการเรียงให้ตัวปูเป้เป็นคนคอยทอนมู้ดเรื่องลงด้วย เวลากำลังเครียดๆ ปูเป้ก็จะมาตัดอารมณ์ทำให้รู้สึกว่าเออ มันก็ไม่หนักขนาดนั้นน่า มันยังมีคนที่ไม่แคร์แล้วสร้างหนทางให้ตัวเองได้อยู่ ขณะที่เวลาเรื่องมันเบาใสๆ ปูเป้ก็กลายเป็นตัวเปิดเพื่อเข้าสู่มู้ดดราม่าของคนอื่นๆ
ส่วนบทบาทของ เฌอปราง และมวลน้องๆ คนอื่นๆ ในเรื่อง ดูแล้วนึกถึง "เบญจงค์ 5 สี" (ฉบับละครรับบทโดย จินตหรา) เฌอเป็นพี่ใหญ่ที่ดูดุๆ เหมือนจะเป็นคนใจร้ายสุดในบ้าน แต่จริงๆ แล้วเฌอก็ต้องแบกรับอะไรหลายอย่างไว้ไม่น้อยกว่าใครๆ แลกกับโอกาสที่ได้รับ ขณะที่คนอื่นๆ ก็มีสิทธิตั้งคำถามกับทั้งตัวเอง และต่อคนอื่นๆ ในวงด้วยเหมือนกัน โดยโครงสร้างมันถูกออกแบบมาเพื่อเล่าเรื่องกว้างๆ มากๆ ของการเป็น "กลุ่มก้อน" ของเด็กผู้หญิงกลุ่มใหญ่ๆ นี้ มันจึงไม่แปลกที่จะไม่โฟกัสไปที่ปัญหาคนใดคนหนึ่ง แต่โฟกัสไปที่ปัญหาหลักๆ ท่ี่เป็นปัญหาร่วมของกลุ่มมากกว่า เช่น ระบบเลือกเซ็นบัตสึ หรือการพูดถึงการพยายามเปลี่ยนตัวเองไปเป็นอีกคน เพื่อจะได้เป็นที่รักของคนวงกว้างมากขึ้น น้องๆ จะเลือกข้ามเส้นความเป็นตัวเองไปมากได้แค่ไหนกัน
ถ้าตัดความเป็น BNK48 ออกไป มันก็คือหนังเรื่องหนึ่งที่พยายามสำรวจความลำบากลำบนของวัยรุ่นผู้หญิงไทยยุคนี้ ที่ต้องอยู่กับการสร้างตัวเองบนโซเชียลเพื่อให้เป็นที่จดจำ ในขณะเดียวกันก็ต้องพยายามหาพื้นที่ให้ความเป็นตัวของตัวเองยังอยู่ อย่างการพูดถึง "ความแบ๊วๆ" ที่กลายเป็นเกณฑ์วัดว่าจะเข้าถึงวงกว้างได้มากรึเปล่า ดูเป้นคำถามง่ายๆ แต่เราชอบมากที่มันนำพาไปสู่คำตอบที่หลากหลายของน้องๆ เพราะน้องๆ เองคือคนที่ถูกคำนิยามว่าแบ๊วๆ นั้นครอบเอาไว้อยู่ มันจึงมีทั้งความพึงพอใจ ความไม่พอใจ ไปจนถึงความรำคาญ และนำมาสู่การพยายามสู้เพื่อเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง
ระหว่างดูจะพลอยนึกถึงข่าวดาราวัยรุ่นในอดีตต่างๆ ที่ผ่านวัยเรามา อย่างยุค 90 ถือเป็นยุคทองของดาราวัยรุ่น แต่ในขณะเดียวกันมันก็ข่าวโหดมากๆ ที่เราไม่คาดคิดว่าดาราคนนั้นคนนี้จะเป็นอย่างที่ข่าวบอก เหมือนยุคนั้นช่องว่างระหว่างดารากับคนนอกวงการมันห่างกันมาก ดาราคือคนอยู่ในทีวีน่ะ คนดูจะจำได้จากสิ่งที่เราเห็นเขาในทีวี เขาไม่มีช่องทางอื่นที่จะสื่อสารกับคนดูเลย ฉะนั้นตัวเขาเองก็ถูกผูกติดกับความคาดหวังว่า เขาจะเป็นเหมือนในทีวี เราไม่มีทางรับรู้ความกดดันในชีวิต สิ่งที่เขาต้องเผชิญ เขาแข่งขันกับใคร ทำอะไร มีชีวิตของตัวเองอยู่หรือเปล่า เราดูไปด้วยความนึกถึงใบหน้าหลายๆ ใบหน้าในอดีตที่พวกเขาไม่มีโอกาสมาพูดต่อหน้าเราแบบนี้
พอหนังจบ นึกๆ ดูอีกทีอยากเห็นสารคดีเรื่องนี้วนเวียนกลับมาสำรวจชีวิตน้องๆ ในทุกๆ รอบหมดสัญญา ในเมื่อหนังพูดเรื่องสัญญา 6 ปี และ "ช่วงวัยรุ่นของพวกหนูที่อาจสูญหายไป"
เมื่อวันนั้นมาถึง วันที่พวกน้องๆ สามารถเลือกทางเดินได้ด้วยตัวเองจริงๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้จะกลายเป็นเพียงอดีต พวกน้องๆ จะเป็นอย่างไร จะเติบโตไปอย่างที่ฝันไหม พื้นที่ส่วนตัวและแฟนคลับจะเติบโตยังอยู่เคียงข้างพวกเธอไปถึงไหน ฯลฯ
รอกันต่อไป...