....คิดเหมือนกันกับผมเลยครับพี่นัด....สวดยอดครับผม
ที่คุณ นุ ว่ามามันก็ถูกครับ แต่ที่ทุกท่านทำกันอยู่ในขณะนี้นั้น ทำเพราะใจรักครับ ถ้าไม่มีใจ หวังแต่จะค้ากำไร ทำไม่ได้หรอกครับ
ชอบคำเปรียบเปรือย ของคุณนัดจัง ปรบมือให้ครับ
คืนทุนกี่ปีคงไม่มีใครตอบได้ครับ เพราะทําหนังมันคงเหมือน
การซื้อสินทรัพย์อะไรสักอย่าง ที่มันสามารถงอกเงยได้
โดยการรับงานแล้วมีส่วนที่เหลือเป็นกําไร มีการซ่อมบํารุง
หรือการตกแต่งเพิ่มเติมบ้างเป็นระยะ การลงทุนก็จะมีเรื่อย
ส่วนตัวคิดว่าเป็นเงินหมุนมากกว่า แต่เป็นอุปกรณ์ชุดฉาย
ไม่ใช่เงิน ส่วนตัวผมทําหนังเพื่อให้หายอยากและอยากเก็บ
ความทรงจําเวลาฉายหนัง คนดูมีความสุข เห็นเด็กๆลุ้น เวลา
มีฉากตื่นเต้น เท่านี้ความสุขของผมก็เต็มเปี่ยมแล้วครับ อ้อ
ทําหนังทุกวันนี้ เผื่อทําใจด้วยครับ ด้วยเทคโนโลยีที่เปลี่ยน
แปลงไป ความสะดวกในการดูหนังง่ายขึ้น หนังกลางแปลง
ความนิยม ยังมี แต่อาจลดน้อยลงไปบ้างตามแต่ท้องที่ ทํา
แล้วมีความสุข ไม่ลําบากครอบครัว ก็ทําไปเถอะครับ คืนทุน
กี่ปี คําถามนี้ คําตอบหายากมากครับ
เราต้องดูพื้นที่ๆเราอยู่ด้วยถ้าเขตภาคเหนือไม่ต้องทำหน่วยใหญ่หรอกนะ ปานกลางก็ได้ ขอให้แสงดีเสียงดีก็มีงานได้ เมื่อก่อนอาตมาก็มีงานมาเรื่อยๆ แต่โดนหลอกเอาชุดฉายไปทั้งชุดก็เลยไม่มีหน่วยฉายแต่เวลามีงานก็จะให้ หน่วยภาคิณ ไปแทนตลอด ส่วนทางเชียงราย พะเยา ก็ส่งงานให้ลุงทัศน์ไป ส่วนหนังก็เช่าที่ ดนัย จ.อุตรดิตถ์
ขอแจมด้วยคนครับ เพิ่งเห็นกระทู้
ผมเองก็ลงทุนไปหลายบาทกับการทำหน่วยที่ยังไม่เสร็จครับ
โดยที่ไม่ได้เอาผลกำไรเป็นที่ตั้งแต่เป็นการทำเพื่อสนองความอยากในตัวเอง
ถ้าจะมองในมุมของการทำธุรกิจ เราต้องมีวัตถุดิบครับ
สมมุติว่าเราเป็นโรงงานผลิตน้ำให้คนดูละกันครับ
อย่าลืมว่าน้ำที่เราใช้
เราเป็นปลายน้ำครับ บางที่ก็เริ่มเน่าด้วยซ้ำ
ต้นน้ำเขาเก็บเกี่ยวกันมาหมดแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นโรงภาพยนตร์ แผ่น เคเบิล หรืออื่นๆ
รวมถึงต้นน้ำในป่าดงดิบ เช่น โหลดบิท HD แผ่นผี
ดังนั้นหากเรายังต้องใช้น้ำในธุรกิจนี้ที่ผ่านมาตลอดสายอย่างทุกวันนี้
ก็ต้องยอมรับในรสชาติและความขมขื่นครับ
และที่สำคัญคือความต้องการของผู้บริโภคว่าเขาอยากจะดื่มน้ำรสชาติแบบนี้หรือไม่ครับ
นอกเสียจากว่าเราพยายามไปหาต้นน้ำ สายอื่นๆที่เขายังหากันไม่เจอดีกว่าครับ
ปล. มีแนวโน้มว่าน้ำจะหมดเขื่อนอีกไม่กี่ปีนี้แล้วครับ
คิดแค่วันนี้ก็พอครับพรุ่งนี้ยังมาไม่ถึง.....อย่าไปคิดให้ท้อทำไมครับ..สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆครับทุกท่าน...(ไม่เข้าใจจะตั้งกระทู้ให้เครียดทำไม)นะครับ
ขอให้กำลังใจครับ แต่ปัจจุบัน ณ พ.ศ. 2554 นี้ ปัจจัยความเสียงสูงมาก ในการประกอบอาชีพหนังกลางแปลง เพราะว่ามีเทคโนโลยีที่ทันสมัย เข้ามา และบริบทในสังคมชนบทได้เปลี่ยนแปลงไป คือ คนชนบทเริ่มไม่นิยมดูหนังกลางแปลงแล้ว เพราะมี ทีวีจอแบบ และโปรเจกเตอร์ที่มีความเข้มของแสง มากหรือเท่าเตาฮารค์ หรือหลอดซีนอน และมีระบบเสียงแบบโฮมเธียรเตอร์ ความสุนทรความทางบันเทิงที่อยู่ในบ้าน ในเรื่องความชัดเจนมีระบบ ไฮเอ็น ดีวีดี และมูเลย์ ประมาณนั้น
ฝรั่งจะพาชาวโลกไปดูหนังโปรเจกเตอร์หรูๆแบบ3ดีในโรงหนัง
มองฟิล์มเป็นของล้าสมัยฉายไปนานๆมีเส้น มีรอยต่อหัวม้วน
เสียอรรถรถในการชม ดูคําโฆษณาชวนเชื่อมัน อีกไม่นานโรงหนัง
ในประเทศที่เจริญแล้ว จะเป็นดิจิตอลทั้งหมด ไทยก็บ้าตามมันไป
ลงทุนใหม่ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันล้าน ชาติไหนจะได้ทุนคืนยังไม่รู้เลย
ถึงเวลานั้นดูหนังโรงหรูๆ แพง ก็คงไม่ต่างจากการดูโปรเจกเตอร์
ทั่วๆไปนี่เอง อย่าพึ่งเชื่อผม เพราะผมก็อ่านเขามาอีกที .............
รักหนังกลางแปลงถึงทําครับ หนังกลางแปลงดูแล้วได้อะไรมากกว่า
ที่ฝรั่งมันคิดอีกครับ โธ่หาเรื่องขายของ ดู y2k กับ THX เป็นตัวอย่างก็แล้วกัน
แต่ละมลรัฐของอเมริกา และแคนาดา มลรัฐหนึ่งจะมีโรงภาพยนตร์แบบซีนีเพล็กซ์อยู่ 1 - 2 แห่ง แต่ละแห่งจะมีโรงย่อย 3 - 5 โรง ยกเว้นมลรัฐใหญ่ๆ จะมีถึง 5 โรงย่อยขึ้นไป สูงสุดไม่เกิน 15 โรงย่อย (กล่าวถึงเฉพาะโรงที่ฉายหนัง Mass วงกว้าง หรือหนัง Mass จำกัดโรง)
ทุกโรงย่อย จะมีเครื่องฉายภาพยนตร์ฟิล์ม 35 ม.ม. และเครื่องฉายโปรเจคเตอร์ ระดับ 2K - 4K ติดตั้งคู่ขนานกันเลย
ส่วนระบบ 3 มิติทั้งหลาย จะอยู่ในโรงภาพยนตร์ตามมลรัฐสำคัญๆ ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเท่านั้นครับ ประมาณ 1 - 2 โรง ส่วน "ไอแม็กซ์" ขอไม่เอ่ยถึงครับ
ช่วงแรกๆ ที่เริ่มมีการฉายระบบดิจิตอล ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งจาก "อนุรักษ์นิยม" และ "สมัยใหม่" เหมือนอย่างเราๆ ท่านๆ นี่แหละครับ แต่สุดท้ายก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ธุรกิจภาพยนตร์ในอเมริกาก็ยังดำเนินต่อไป
ส่วนธุรกิจภาพยนตร์ในบ้านเราก็ต้องน้อมรับเทคโนโลยีอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง จากแรกๆ ที่ยังพัฒนาในระยะขั้นต้น สุดท้ายก็ไปแบบก้าวกระโดด และยังมีแนวโน้มว่าจะยังไม่หยุดอยู่กับที่ด้วย
สำหรับประสบการณ์การดูหนังของผมดูมาหมดทุกระบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบฟิล์ม แบบดิจิตอล (ทั้งแบบธรรมดา และแบบ 3 มิติ) ก็เลยรู้สึกเฉยๆ เพราะสายตาสามารถปรับตัวได้หมด ทั้งหนัง Mass วงกว้าง และหนังนอกกระแส ล่าสุดก็มี ศพไม่เงียบ (ดิจิตอล ธรรมดา) / เซ็กซ์ แอนด์ เซ็น ดูทั้งแบบ 3 มิติที่เอสเอฟ และที่ House ซึ่งเป็นฟิล์ม เสียงจีน ซับไทย / เดอะ ไลอ้อน คิง 3D (ดิจิตอล 3 มิติ) และ 30 กำลังแจ๋ว (ดิจิตอล ธรรมดา)
สิ่งที่ตามมาคู่ขนานกัน นั่นคือ การบริการจัดการธุรกิจการจัดหน่ายภาพยนตร์แบบ "ผูกขาดเบ็ดเสร็จ" ซึ่งคำนี้น่าจะใช้ได้กับยุคนี้ แต่สำหรับผมนั้น เริ่มสังเกตเห็นมาตั้งแต่ตอนทำงานเป็นเด็กส่งฟิล์ม เป็นเช็คเกอร์ตั้งแต่ตอนเรียน ป. ตรีแล้วครับ ช่วงเวลาว่างก็ศึกษาเก็บเกี่ยวความรู้ไปด้วย และเห็นลางร้ายที่จะเกิดขึ้นข้างหน้าก่อนที่เว็บนี้จะเกิดเสียอีก
ผมเชื่อว่าหลายคนที่ทำ "หนังกลางแปลง" ต่างก็ทราบกันดีครับ ว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนี้ และที่สำคัญก็ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นสิ่งที่จะทำได้ในตอนนี้ นั่นคือ การปรับตัวตามสถานการณ์ เพราะถ้าจะหวังรายได้จากหนังกลางแปลงเป็นเรื่องที่ยากครับ
ส่วนผมนะเหรอครับ เตรียมพร้อมไว้ก่อนหน้าแล้ว ก็เดินหน้าไปตามกำลัง และสิ่งที่ผมดำเนินอยู่นั้น มันก็ค่อยๆ ต่อยอดออกไปได้เรื่อยๆ
เหนตามพี่สถิตยนะพี่ ฉายฟิล์มดีกว่าอะไรใหม่ๆพี่ไทยเห่อ ประเภทรู้มั่งไม่รู้มั่งยิ่งเห่อดีครับไม่ได้ว่าใครนะครับเปนความคิดผมครับ
เล่นเครื่องไฟ ยังพอจะมีโอกาสได้ทุนคืนบ้างครับ แต่นานหน่อยนะ