Mobile Version / สำหรับโทรศัพท์มือถือ ยินดีต้อนรับท่านผู้มาเยือน www.peoplecine.com ท่านยังไม่ได้ log in นะครับ เข้าใช้งานระบบ / สมัครสมาชิก/ ลืมรหัสผ่าน
รูป
หนังไทยในอดีต ทุกยุค ทุกสมัยเจ้าของ อ่าน ตอบ ผู้ตอบหลังสุด
-เพลงสุดท้ายปี 2528 THE LAST SONG29121.. 5/12/2561 14:50
-หงษ์หยก ปี พ.ศ. 249920282.. 24/11/2561 20:03
-มหาวิทยาลัยเหมืองแร่ ปี 254817063.. 19/11/2561 22:07
-หอแต๋วแตกแหกต่อไม่รอแล้วนะ13273.. 19/11/2561 21:31
-สุภาพบุรุษเสือไทย ปี 249219792.. 8/11/2561 15:03
-ผีเสื้อและดอกไม้ ปี 252816491.. 29/10/2561 21:09
-โทน20691.. 27/10/2561 23:10
-คนเหนือคน ภาพยนตร์ไทย ปี 251018841.. 4/10/2561 21:31
- HOMESTAY14490ยังไม่มีคนตอบ
-จำปูน หนังไทย ปี 250728323.. 30/9/2561 21:00
- พ่อปลาไหล ปี251517890ยังไม่มีคนตอบ
-นาคี ๒13501.. 28/9/2561 18:42
-ปาหนัน ภาพยนตร์ไทยปี 250039361.. 25/9/2561 16:17
-แผลเก่า ปี 252025103.. 9/9/2561 11:27
-GOLD ทองภาค1 ปี พ.ศ. 251622725.. 7/9/2561 11:51
-ขุนพันธ์ ภาค 233861.. 24/8/2561 15:17
เลือกหน้า
[<<] [7] [8] [9] [10] [11] [12] [13] [14] [15] [16] [17] [18] [19] [20] [21] [22] [23] [24] [25] [26] [>>]
จำนวนหัวข้อทั้งหมด 535

(ID:24488) ขุนพันธ์ ภาค 2


ขอขอบคุณข้อมูลจาก...คุณชาญชนะ หอมทรัพย์
ขุนพันธ์ 2 (2018, dir: ก้องเกียรติ โขมศิริ) 

ประเด็นหลักที่หนังพูดถึงในภาคนี้แล้วเหมือนต่อเนื่องจากภาคก่อนได้ดีมากๆ คือการอธิบายสถานะของ "พุทธ+ไสยศาสตร์" ในเมืองไทยไปอีกสเต็ปหนึ่ง ในระดับที่ว่าถ้ามาพูดกันนอกเหนือจากตัวหนังออกไปแล้ว การต้องแยก พุทธะ ซึ่งมีความหมายว่า ผู้ตื่น ในขณะที่ ไสย แปลตามตัวก้คือ ผู้หลับ ในทางหนึ่งพุทธะจึงเป็นศาสตร์ที่เกี่ยวกับการอยู่ การใช้ชีวิต ขณะที่ ไสย เกี่ยวข้องกับผู้ที่ตายไปแล้ว ฉะนั้นศาสตร์ทั้งสองจึงเป็นคู่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิงตามรากศัพท์ 

ย้อนความถึงภาคแรกเล็กน้อย ในภาคแรกนั้นคู่ปรับของขุนพันธ์คือ จอมโจร อัลฮาวียะลู ซึ่งเปิดฉากเรื่องด้วยการบุกเข้าโบสถ์พระรูปหนึ่ง เป้าหมายเพื่อเอา "ของดี" ในกายพระรูปนี้ นั่นก็คือ "ฟันที่งอกกลางเพดานปาก" (หรือที่เรียกกันว่า เขี้ยวแก้ว) อันจัดเป็นหนึ่งใน "18 เครื่องรางกายสิทธิ์" ที่มักหาได้ในสัตว์ จะมีเพียง 3 ใน 18 เท่านั้นที่หาได้เฉพาะในคน เขี้ยวแก้วเป็นหนึ่งในนั้น อีกสองสิ่งคือ เคราทองแดง และตับเหล็ก 

มุมมองของเรื่องคุณไสย-อาคม ในภาคแรกผ่านตัวอัลฮาวียะลู จึงคือ "ของขลัง" ที่เป็นของซึ่งสามารถโยกย้าย ถ่ายโอนอำนาจจากเจ้าของเดิมมาสู่เจ้าของใหม่ได้ ฉะนั้นในภารกิจที่อัลฮาวียะลูพยายามตามหาของขลังนี้ ก็ไม่ต่างจากการติดอาวุธให้แก่ตัวเอง เป็นอาวุธที่เสริมสร้างอาคมจากภายนอก ใช้ห้อย, อม หรือฝังลงในร่างกาย และมีผลเปลี่ยนให้ร่างเนื้อของตนเป็นเกราะอาคมขึ้นมา 

อีกทั้งถ้ายังจำกันได้ ในภาคแรกพระผู้เป็นเจ้าของเขี้ยวแก้วนั้น แท้จริงได้เผยตัวว่าเป็นตำรวจปลอมตัวมา ฉะนั้นการกำจัดพระตอนต้นเรื่องสำหรับอัลฮาวียะลู คือการกำจัดทั้งอำนาจทางกฎหมายและอำนาจทางศาสนาพุทธ ที่ทรงอิทธิพลและเป็นตัวแทนของอำนาจส่วนกลางกระจายเข้าสู่ท้องถิ่น แล้วเลือกยึดเอาอำนาจอาคมคุณไสย อันเป็นอำนาจเหนือธรรมชาติประจำท้องถิ่น เพื่อใช้ต่อกรกับอำนาจส่วนกลางทั้งสองแทน 

สำหรับในภาคสองนี้ อาคมที่เหล่าตัวละครหลักทั้ง 3 ได้แก่ ขุนพันธ์, เสือฝ้าย และเสือใบ ใช้ประจำกายมีความแตกต่างจากอัลฮาวียะลูในภาคแรกค่อนข้างมาก และเป็นการยกระดับประเด็นเรื่องอาคมในฐานะส่วนหนึ่งของพุทธแบบไทยๆ ไปอีกระดับหนึ่งด้วย 

สำหรับขุนพันธ์ ภาคนี้อาคมหลักที่ขุนพันธ์ใช้คือ 
"วิชากำบังกาย" ที่เด่นชัดขึ้นมานอกเหนือจากวิชาคงกระพันที่ปรากฎให้เห็นในภาคแรกไปแล้ว เราชอบการให้คำอธิบายเรื่องวิชากำบังกายในภาคนี้มากๆ โดยคนอธิบายคือหลวงพ่อซึ่งปรากฎตัวในฉากแฟลชแบคเล่าย้อนที่มาที่ไปของขุนพันธ์ คำพูดของหลวงพ่อให้คำอธิบายว่า คาถาอาคม สำหรับตนนั้นก็คือ "การติดอาวุธให้แก่จิต" ซึ่งตรงข้ามกับวิธีการที่อัลฮาวียะลูใช้โดยสิ้นเชิง ในขณะที่ขุนโจรแห่งเทือกเขาบูโดผู้นี้เลือกติดอาวุธให้แก่ร่างกาย อาคมของขุนพันธ์กลับเป็นการติดอาวุธให้แก่จิตใจ โดยคำอธิบายต่อมาปรากฎในเรื่องจากปากของขุนพันธ์เองว่า หลักของวิชากำบังกายที่ตนใช้นั้น เคล็ดอยู่ที่การ "ควบคุมจิตของฝ่ายตรงข้าม" นั่นคือการสะกดให้ศัตรูไม่เห็นร่างตน เพื่อสามารถเข้าประชิด หรือลอบเร้นหนีจากภยันตรายได้อย่างใจนึก 

หลักของวิชานี้จึงผูกอยู่กับการควบคุมจิต สอดคล้องกับวิชาคงกระพันที่ถูกอธิบายเพิ่มเติมขึ้นมาในภาคนี้ เมื่อเราได้เห็นขุนพันธ์นั่งสมาธิและสามารถ "กำบังกาย" จนกระสุนทะลุผ่านไปได้ นั่นคือจิตของขุนพันธ์สามารถเปลี่ยนกายหยาบเป็นกายละเอียดชั่วขณะ จิตจึงเป็นตัวกำหนดการมีอยู่ของกายหยาบโดยแท้ 

คำอธิบายเช่นนี้ปรากฎในวิชาประจำตัวเสือฝ้ายเช่นกัน นั่นคือ "นะจังงัง" ที่เมื่อท่องคาถานี้แล้ว จะทำให้ศัตรูตกอยู่ในภาวะแข็งเป็นหิน เคลื่อนไหวไม่ได้ ทำให้หลายครั้งเสือฝ้ายแคล้วคลาดหรือสามารถทำอันตรายศัตรูได้โดยตนเองไม่จำเป็นต้องเสี่ยงภัย 

หรือแม้กระทั่งวิชา "กระสุนคต" ของเสือใบ ในภาคนี้ก็ถูกผูกเข้ากับจิตกลายๆ โดยกำหนดเงื่อนไขให้เสือใบจะยิงกระสุนคตได้ก็ต่อเมื่อ "เห็น" ศัตรูเสียก่อน และก่อนยิงแกจะต้องตั้งจิตท่องคาถาเพื่อเรียกกระสุนคตออกจากกาย 

เมื่อคอนเซปต์ของวิชาอาคมในภาคนี้กลายเป็นเรื่องการติดอาวุธให้จิต เราจึงเห็นดีไซน์ฉากต่อสู้ที่ต่างไปจากเดิมมาก ในภาคแรกการต่อสู้ถึงเลือดถึงเนื้อ เพราะร่างกายคืออาวุธ ในภาคนี้การต่อสู้ออกไปทางอภินิหาร มหัศจรรย์ เหนือมนุษย์ เพราะอาคมในภาคนี้เล่นกับเรื่องจิต เมื่อจิตมีอำนาจเหนือกายหยาบ สิ่งที่เกิดขึ้นจึงกลายเป็นเงื่อนไขของวิชาต่างๆ ที่เหล่าตัวเอกใช้ทั้งสะลายกายหยาบให้ล่องหน, การทำให้ฝ่ายตรงข้ามหยุดชะงักเคลื่อนไหวไม่ได้ หรือการบังคับกระสุนให้เคลื่อนไหวได้ตามใจนึกแม้จะยิงออกไปแล้วก็ตาม 

ส่วนลักษณะของแนวหนังแบบ "ระเบิดภูเขาเผากระท่อม" ก็ยังคงอยู่ครบถ้วน เพียงแต่ยกระดับไปอีกขั้นสู่การใช้อาคมเล่นงานกัน เนื้อหนังของมนุษย์ในภาคนี้กลายเป็น "ร่าง" ที่จิตใช้ควบคุมสั่งการ เราจึงเห็นว่าหนังมีฉากประเภท ตัวละครถูกยิงจนพรุนอยู่หลายหน ฉากที่ตัวละครต้องดิ้นทุรนทุรน ร่างเนื้อที่เต็มด้วยรูกระสุนมากมายกำลังขับเอากระสุนออกจากร่างด้วยความทรมาน หรือการที่ร่างมอดไหม้สิ้นสภาพความเป็นมนุษย์ แต่มนุษย์ที่เหนือมนุษย์เหล่านี้กลับยังคงอยู่ยงคงกระพัน ฟาดฟันกันให้ตายไปข้างหนึ่งกันได้ด้วยพลังของจิต 

คำว่า "จิต" นี้เป้นคำอธิบายที่คลาสสิคมากๆ ในหนังบู๊ภูธรไทยทำนองเหนือธรรมชาติ เราจะพบว่าตัวละครในหนังกลุ่มนี้ไม่ได้คงกระพันเพียงเพราะได้ของวิเศษมา แต่ต้องมีจิตที่ดีและเที่ยงธรรมด้วย ของวิเศษเหล่านั้นจึงจะเป็นคุณแก่พวกเขา กลุ่มพระเอกใน "เสาร์ ๕" แม้ทุกคนจะเกิดวันเดียวกันและมีพระเบญจภาคีประจำตัวตามถิ่นเกิด แต่พวกเขาก็มีจุดร่วมเดียวกันอีกประการคือ ความมีธรรมในใจ 

ดังนั้นคำว่า "อวิชชา" หรือ "ไสยศาสตร์" หรือ " เดรัจฉานวิชา" ที่ปรากฎในพระไตรปิฏก สำหรับคนไทยจึงไม่ใช่วิชาที่ว่าด้วยความชั่วร้ายและเกี่ยวพันกับความตายเท่านั้น แต่เป็นวิชาที่ดีหรือชั่ว ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ ทั้งยังมีบางส่วนควบรวมกับคุณไสยทางเขมรและคุณไสยท้องถิ่น เกิดเป็นคุณไสยที่มีทั้งสายขาว (เมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี ไปในทางป้องกันตัวเองหรือเรียกโชคลาภฯลฯ) และสายดำ (วิชาเสกหนังควายเข้าท้อง ตะปูเข้าร่าง เป็นวิชาทำร้ายผู้อื่น) 

เทียบกันแล้ว วิชาเหล่านี้เป็นเครื่องหมายแสดงความดิบเถื่อนของยุคสมัยด้วยเช่นกัน ลองจับสังเกตกันดูครับว่าในหนังขุนพันธ์ทั้ง 2 ภาค ปืนไม่ใช่อาวุธที่อันตรายเลย ตรงกันข้ามวิชาอาคมและจิตที่เหล่าตัวละครเอกมีติดตัวต่างหาก คืออาวุธหลักที่ใช้ประหัตประหารกัน นั่นเท่ากับว่าสำหรับบ้านเรา หมุดหมายสะท้อนถึงยุคสมัยดิบเถื่อนจะต่างจากหนังคาวบอยอเมริกาอยู่ตรงจุดหนึ่ง ตรงที่่ถ้าภาพแทนความดิบเถื่อนในหนังคาวบอยตะวันตกคือสภาพบ้านเมืองไร้กฎหมาย การดวลปืนกลางถนน ภาพแทนความดิบเถื่อนในหนังคาวบอยไทยๆ ก็คือ สภาพบ้านเมืองที่กฎหมายอยู่ภายใต้อาคม แม้แต่คนในกฎหมายก็ต้องมีวิชาเพื่อปราบอวิชชา 

อย่าลืมว่ากฎหมายในแบบฉบับตะวันตกเพิ่งถูกสร้างขึ้นในประเทศไทยในช่วงเวลาเพียงร้อยกว่าปี (หากนับเอาการก่อตั้งกรมตำรวจหรือกองโปลิศขึ้นเป็นครั้งแรกราวๆ รัชกาลที่ 4) ดังนั้นความรู้ความเข้าใจในกฎหมายแบบสมัยใหม่ก็เพิ่งมามีขึ้นไม่นาน ดังนั้นสิ่งใหม่เช่นกฎหมาย ก็ยากที่จะมีอำนาจท้าทายสิ่งที่อยู่ยงฝังรากลึกในความเชื่อคนมานานนมเป็นหลายร้อยหรือนับพันปีอย่าง ความเชื่อในภูติผี อวิชชา ดังนั้นการที่ตำรวจยุคเก่าๆ จำเป็นต้องลงพื้นที่ในต่างจังหวัด ที่ความเชื่อเรื่องทำนองนี้ยังคงมีอิทธิพลอยู่สูงมาก คนผู้นั้นก็จำต้องมี "วิชา" ที่แก่กล้าพอกัน เพื่อทำให้ได้รับความเกรงกลัว และเข้าใจในอำนาจที่มาใหม่(ในนามของกฎหมาย) มากขึ้นด้วยเช่นกัน 

มาถึงตรงนี้ ถ้าสิ่งที่หนังภาคแรกพูดถึงคือการที่โจรผู้มีวิชา คิดใช้วิชาไสยศาสตร์ต่อสู้กับทางการ ภาคนี้ก็ก้าวไปอีกขั้นด้วยการให้โจรผู้ถือวิชาอาคมคล้ายๆ กันนี้ กลับเจอยุคสมัยที่กำลังเปลี่ยนผ่านอย่างมีนัยสำคัญ นั่นคือการเข้ามาของอำนาจใหม่ที่เหนือกว่ากฎหมาย นั่นคืออำนาจในทางการเมือง อำนาจที่จะทรงอิทธิพลและสร้างความร่ำรวย โดยไม่ต้องใช้ร่างกายแลกเลือดเนื้อต่างอาวุธ แบบที่การเดินสายโจรต้องเสี่ยง เช่นเดียวกับ ฝั่งตำรวจอย่างขุนพันธ์เองที่เลือกติดอาวุธทางจิต แบบเดียวกับฝั่งผู้ร้ายเพื่อจะได้ต่อกรอย่างสมน้ำสมเนื้อ ลึกๆ ขุนพันธ์เป็นตัวแทนคนไทยที่อยู่ตรงกลางระหว่างความเชื่อแบบเก่ากับการต้องอยู่ในระบบยุคใหม่ ที่ความเชื่อเปลี่ยนอย่างรุนแรง ระบบกลไกทางราชการและการเมือง ซับซ้อนขึ้นจนทำให้เส้นแบ่งระหว่างคนดีกับคนเลวรางเลือน ความถูกต้องกับความถูกกฎหมายไม่ใช่เรื่องเดียวกันอีกต่อไป เส้นแบ่งสองเส้นนี้ขีดชะตาให้คนที่ถือวิชาเดียวกัน แต่อยู่คนละฟากฝั่งของกฎหมายต้องมาห้ำหั่นกัน เพราะคำว่ากฎหมาย ทั้งที่ในช่วงเวลานั้น ตัวกฎหมายเองก็ใช่ว่าจะสามารถยืนยันตัวเองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ามีบรรทัดฐานวัดความดี-ชั่วของคนในสังคมได้จริงๆ

เวลาดูหนังไทยในตระกูลนี้ เราเลยรู้สึกลำเอียงค่อนข้างมาก และเอาใจช่วยเสมอ เพราะการใช้คำอธิบายสังคมไทยได้ดีที่สุดอย่างหนึ่ง คือการหวนกลับไปศึกษาที่มาของความรุนแรงและความเชื่อเรื่องลี้ลับ-อวิชชานี่แหละ หนังแบบนี้มันทำให้เส้นแบ่งระหว่างโม้ๆ กับสมจริงไม่เป็นประเด็นอีกต่อไป มันทำให้การอธิบายเรื่องคนดี - คนชั่ว ชัดมากขึ้นตรงที่เราไม่ได้ถูกกฎหมายหรือศาสนาอธิบาย แต่การกระทำต่างหากที่อธิบายตัวเอง การพูดถึงปัญหาชาวบ้านๆ ตำรวจคอรัปชั่น โจรดันมีคุณธรรมมากกว่าตำรวจ ตั้งคำถามกับกฎหมายและการเมือง เป็นสิ่งที่หนังกลุ่มนี้ทำเสมอมาและน่าดีใจที่อย่างน้อยในยุคสมัยนี้ ยังมีหนังแบบนี้ทำหน้าที่นี้อยู่ ไม่ได้เลือนหายไป หรืออยู่แค่ในจอทีวี ซึ่งมันน่าเสียดายถ้าการสืบทอดจากยุคหนังสุภาพบุรุษเสือไทย ซึ่งอาจนับเนื่องได้ว่าเป็นบิดาของหนังกลุ่มนี้ มาจนถึงยุคทองที่เรียกกันว่ายุคหนังบู๊ภูธรในช่วงยุคหวาดภัยคอมมิวนิสต์ (2508-2523) และการที่หนังประเคนความสะใจในฉากแอ็คชั่น ออกแบบตัวละครจัดจ้าน ผู้ร้ายเลวสุดขั้ว พระเอกเดินบนทางสีเทาระหว่างโจรกับตำรวจ 

มัันชัดมากขึ้นว่าความเชื่อเรื่องวิชาอาคมและการมีอยู่ของกลุ่มหนังบู๊ภูธรในแต่ละยุคสมัยของหนังไทย มันรับใช้อุดมการณ์ทางการเมืองในแต่ละยุคเช่นไร เราอาจนับได้ตั้งแต่การปรากฎตัวของ พระอาจารย์ธรรมโชค ที่นำผ้าประเจียดและสักอักขระบนเรือนร่างนักรบบางระจัน, ขุนพันธ์ นายตำรวจผู้มีวิชาอาคมปราบโจรอาคม, 5 พระเอกในเสาร์ ๕ จนถึง พิธีหลั่งน้ำทักษิโณทกและพระแสงปืนข้ามแม่น้ำสะโตง ในตำนานสมเด็จพระนเรศวร ล้วน "เป็นเรื่องเดียวกัน" แม้จะถูกอธิบายด้วยชุดคำที่ต่างกันระหว่าง "วิชาอาคม" กับ "กฤษดาภินิหาร" ก็ตาม

+

ความเห็น

[1]


(ID:203706)
https://www.youtube.com/watch?v=D7mTvhplGHo




เลือกหน้า
[1]
จำนวนหัวข้อทั้งหมด 1

กลับขึ้นข้างบน / กลับหน้าแรก

ค้นกระดานข่าว:


ถูกเปิด: ถูกคลิ๊กแล้ว: 115998762 ตอนนี้มีผู้เข้าชม : 1 ล่าสุด :elibuskamogew , EugenePut , Thomasdeant , MarionUS , JoshuaVab , zlibuskamogew , Loriehyw , GaryMN , samsam , DavidSip ,