City of Life and Death ( 2009 ) ชีวิตและความตาย ภายใต้เงาแห่งจักรวรรดิพระอาทิตย์

เรื่องราวแห่งโศรกนาฎกรรมอันเศร้าสลดและหดหู่ใจยิ่ง ซึ่งเกิดขึ้นในปลายปี 1937 ช่วงเดือนธันวาคม จนถึงเดือนมกราคม กองทัพอันเกรียงไกรของญี่ปุ่นหลังจากมีชัยพิชิตเซี่ยงไฮ้แล้ว กองทัพญี่ปุ่น 50000 คน ได้ยาตราทัพเข้าสู่ นานกิง ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจีนในขณะนั้น กำลังทหารจีนกว่า 90000 คน ไดรับคำสั่งให้ยอมแพ้ต่อกองทัพของญี่ปุ่น ซึ่งล้อมเมืองเอาไว้แล้ว นานกิงในเวลานั้นเหลือพลเมืองอยู่ราว 600000 คน จากเดิมที่เมืองหลวงแห่งนี้มีประชากรอยู่มากถึง 1200000 คน ประชาชนมากกว่าครึ่งของเมืองได้อพยพหนีไปก่อนหน้านั้นแล้ว เหลือไว้เพียงแต่คนยากจน และคนไร้หนทางไม่มีที่ไป เมืองหลวงเก่าแก่ ที่ยังคงความสง่างาม ตั้งมั่นมานานนับหลายพันปีแห่งนี้ กำลังจะกลายเป็นสุสานที่เต็มไปด้วยซากศพและกองเลือด 
กองทัพญี่ปุ่นเดินทัพเข้าสู่ตัวเมืองภายหลังจากที่ทหารจีนยอมจำนน เพื่อทำการปลดอาวุธทหารจีน และแล้วความโหดร้ายอำมหิตได้เริ่มขึ้นทันที ทหารญี่ปุ่นได้ทำการฆ่าทุกคนที่พบเห็นในเมืองนานกิง พวกทหารทำการฝังทั้งเป็นพลเรือนและทหารจีน เผาชาวจีนโดยการต้อนให้เข้าไปอยู่รวมกันในอาคารหลังจากนั้นจึงสุมไฟเผา การข่มขืนและฆ๋าอย่างเหี้ยมโหด ในขณะที่โลกทั้งโลกไม่ได้รับรู้และจินตนาการได้เลยถึงความโหดเหี้ยมอำมหิตที่ทหารญี่ปุ่นได้กระทำต่อชีวิตผู้บริสุทธิ์ชาวจีน ไม่ว่าจะเป็นเด็กทารก คนแก่ หญิงสาว การฆ่าอย่างไร้สตินี้ได้ถูกกระทำให้เป็นกีฬาแข่งขันกันระหว่างนายทหาร โดยมีสื่อมวลชนในญี่ปุ่นติดตามข่าวอย่างไกล้ชิด เพื่อเสนอถึงจำนวนหัวมนุษย์ที่ถูกบั่นจากคอชาวจีนว่า ผู้ใดจะเก่งกล้าสามารถตัดหัวมนุษย์ได้มากกว่ากัน ในท่ามกลางความโกลาหลนี้กลุ่มชาวต่างประเทศในนานกิง นำโดย จอห์น ราเบ้ ผู้แทนนาซีประจำนานกิง พร้อมด้วยหมอและบาทหลวงชาวอเมริกาและชาวจีนรวมตัวกัน 25 คน ได้จัดตั้งเขตปลอดภัยสำหรับประชาชน เพื่อปกป้องชีวิตผู้บริสุทธิ์ โดย ราเบ้ ได้ใช้ความเป็นพันธมิตรของนาซีดำเนินการช่วยชีวิตชาวจีนไว้ได้กว่า 300000 คน ถึงแม้จะต้องคอยขับไล่ทหารญี่ปุ่นที่เข้ามาฉุดคร่าหญิงสาวออกไปฆ่าข่มขืนอยู่ตลอดเวลา รวมไปถึงการเข้ามากวาดต้อนชายชาวจีนออกไปฆ่าไม่เว้นแต่ละวัน แม้น้ำแยงซีเกียงที่ไหลผ่านนานกิงเปลี่ยนเป็นสีเลือด กองซากศพสูงท่วมถนน ศพส่วนหนึ่งถูกโยนลงแม่น้ำ สภาพนานกิงในเวลานั้นไม่ต่างจากนรกบนดิน นานกิงที่พินาศสิ้นไม่เหลือเค้าโครงแห่งความเกรียงไกรที่ยืนยงมานานนับสี่พันปี 
ภาพยนตร์เรื่อง City of Life and Death หนังสะท้อนภาพเหตุการณ์เศร้าสลดแห่งนานกิง จากฝีมือของ ผกก คลื่นลูกใหม่ของจีน ลู่หยวน ถ่ายทอดภาพเหตุการณ์ครั้งนั้นออกมาเป็นภาพขาวดำ ด้วยมุมกล้องแบบมือถือ เพื่อสร้างความสมจริงยิ่งขึ้น ตัวละครหลายคนในหนังล้วนมีชีวิตอยู่และตายที่นั่น ภาพของความโหดเหี้ยมที่ปรากฏในหนังถ่ายทอดอออกมาอย่างมีชั้นเชิง ด้วยการหลีกเลี่ยงภาพสยดสยอง แต่ใช้ภาพกึ่งสัญลักษณ์ในการสื่อความแทน ซึ่งได้ผลดีกว่า เพราะสามารถสร้างความตื่นตระหนกในห้วงความคิดและจินตนาการของผู้ชม ซึ่งภาพในห้วงความคิดนั้นจะน่ากลัวกว่าภาพที่ปรากฎจริงบนจอมากมาย ฉากการข่มขืนและฆ่าหญิงสาวชาวจีนถูกสื่อออกมาด้วยภาพของซากศพที่เปลือยเปล่าซึ่งถูกกองสุมมาในรถเข็นผ่านกลุ่มทหารญี่ปุ่นที่กำลังนั่งพักผ่อนเล่นไพ่กันอย่างสบายอารมณ์ โดยที่ไม่แยแสสนใจต่อกองซากศพที่กำลังถูกเข็นผ่านพวกเขาไป มันสะท้อนให้เห็นถึงความต่ำทรามอย่างถึงที่สุดของจิตใจทหารญี่ปุ่น สะท้อนให้เห็นถึงศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของชาวนานกิงที่ถูกย่ำยีอย่างถึงที่สุดแล้ว ภาพเหตุการณ์ในหนังดำเนินไปอย่างถึงพร้อมด้วยรายละเอียดและความปราณีต ความสมจริงของงานสร้างที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าหนังจากฮอลลีวู้ด เหตุการณ์ทั้งหมดในหนังถูกถ่ายทอดออกมาผ่านสายตาของนายทหารญี่ปุ่นชั้นประทวนนายหนึ่ง ผู้หมู่คูโดคาวา ที่เฝ้ามองเหตุการณ์อัปยศที่ทหารญี่ปุ่นกระทำต่อผู้คนนานกิง ถึงแม้จะไม่เห็นด้วย แต่เขาก็ไม่สามารถหยุดการกระทำนั้นได้ เขาถึงกับยอมที่จะยิงทิ้งหญิงชาวจีนที่กำลังถูกพาไปข่มขืน เธอขอร้องเขาให้ยิงเธอเสีย เพื่อจะได้ไม่ต้องถูกย่ำยีความเป็นมนุษย์ จนท้ายที่สุดแล้ว คุโดกาวา ไม่อาจปฎิเสธได้ว่าเขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งของความเลวร้ายที่เกิดขึ้น ด้วยเครื่องแบบที่สวมใส่อยู่ การทดแทนให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นมีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น 
ในชั่วระยะเวลาเพียงเดือนเดียว มีชาวนานกิงถูกสังหารไปกว่า 300000 คน กว่าที่ความบ้าคลั่งหนนี้จะยุติลงได้ หลังจากนั้นทหารญี่ปุ่นพยายามที่จะปกปิดความโสมมครั้งนี้ด้วยการเผา ทำลายซากศพ ตลอดจนการห้ามสื่อมวลชนชาวจีนและตะวันตกเข้าไปในนานกิง พร้อมทั้งทำการโฆษณาชวนเชื่อสารพัดวิธี เพื่อให้โลกเห็นว่า ไม่มีการสังหารหมู่เกิดขึ้นที่นั่น แต่เรื่องราวหนนี้ได้ถูกประกาศออกไปจากผู้รอดชีวิต และชาวตะวันตกที่อยู่ในเหตุการณ์หนนั้น แม้ปัจจุบันเหตุการณ์นี้ผ่านมาบรรจบครบรอบ 80 ปี มีเอกสาร ภาพถ่ายมากมายยืนยันถึงความโหดร้ายที่เคยเกิดขึ้น หนังเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ได้สะท้อนภาพ ความจริงที่เคยเกิดขึ้น อย่างทรงพลังและตรงไปตรงมา อาจกล่าวได้ว่านี่คือหนังที่ถ่ายทอดภาพแห่งประวัติศาสตร์ในครั้งนั้นที่ชัดเจนที่สุด หลังจากดูหนังเรื่องนี้จบลง ข้าพเจ้าได้แต่นั่งนิ่ง จมปลักอยู่ในความเงียบงัน ไม่อยากคิดว่า เมื่อ 80 ปีที่แล้ว เพราะอะไร และทำไม คนเราถึงเหี้ยมอำมหิตได้มากมายเพียงนี้ 
ข้าพเจ้าได้นำส่วนหนึ่งจากหนังเรื่องนี้ มาให้ได้ทัศนากันแล้ว ณ บัดนี้ ขอเชิญทัศนาเถิด